สรุปหนังสือ "One Up On Wall Street" เขียนโดย Peter Lynch

📚 สรุปหนังสือ "One Up On Wall Street" เขียนโดย Peter Lynch

🌟 บทนำ: ข้อได้เปรียบของ "นักลงทุนมือสมัครเล่น"

Peter Lynch เชื่อว่านักลงทุนทั่วไปมีข้อได้เปรียบเหนือผู้เชี่ยวชาญในวอลล์สตรีท เขากล่าวว่า "คนธรรมดาที่ใช้สมองเพียง 3% ก็สามารถเลือกหุ้นได้ดีเท่ากับหรือดีกว่าผู้เชี่ยวชาญในวอลล์สตรีท" เหตุผลคือ:

1. ประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน: จากการซื้อสินค้าและบริการ คุณพัฒนาความเข้าใจว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรขายดี

2. ความรู้เฉพาะทาง: ทุกคนมีความรู้เฉพาะด้านบางอย่าง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้

3. การรู้ก่อนวอลล์สตรีท: คุณอาจเห็นแนวโน้มหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก่อนที่วอลล์สตรีทจะรู้

🧠 การเตรียมตัวก่อนลงทุน

.

Lynch เน้นย้ำว่าปัจจัยสำคัญที่สุดในการลงทุนคือตัวนักลงทุนเอง ไม่ใช่ตลาดหุ้นหรือบริษัทที่เลือกลงทุน เขาแนะนำให้พิจารณาประเด็นต่อไปนี้:

1. คุณมีบ้านหรือยัง?: Lynch แนะนำให้ซื้อบ้านก่อนลงทุนในหุ้น เพราะบ้านเป็นการลงทุนที่ดีและมีข้อได้เปรียบทางภาษี

2. คุณต้องการเงินเร็วแค่ไหน?: ลงทุนเฉพาะเงินที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า

3. คุณมีคุณสมบัติส่วนตัวที่จำเป็นหรือไม่?: เช่น ความอดทน การพึ่งพาตนเอง สามัญสำนึก ความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวด การเปิดใจกว้าง ความมุ่งมั่น ความถ่อมตัว ความยืดหยุ่น และความสามารถในการยอมรับความผิดพลาด

📊 ประเภทของหุ้น

Lynch แบ่งหุ้นออกเป็น 6 ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกัน:

1. Slow Growers (ผู้เติบโตช้า)

- บริษัทขนาดใหญ่ที่เติบโตเพียงเล็กน้อยเหนือ GDP

- มักจ่ายเงินปันผลสูง

- ตัวอย่าง: บริษัทสาธารณูปโภค

2. Stalwarts (ผู้นำตลาด)

- บริษัทขนาดใหญ่ที่เติบโต 10-12% ต่อปี

- ให้การป้องกันที่ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอย

- ตัวอย่าง: Coca-Cola, Procter & Gamble

3. Fast Growers (ผู้เติบโตเร็ว)

- บริษัทที่เติบโต 20-25% ต่อปี

- มักเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ก้าวร้าว

- ต้องระวังบริษัทที่เติบโตเร็วเกินไป (มากกว่า 25%)

4. Cyclicals (หุ้นวัฏจักร)

- ธุรกิจที่ขึ้นลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ

- ต้องการจังหวะเวลาที่ดีในการซื้อและขาย

- ตัวอย่าง: บริษัทรถยนต์, สายการบิน, เหล็ก

5. Turnarounds (ผู้พลิกฟื้น)

- บริษัทที่กำลังฟื้นตัวจากปัญหา

- มีความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนสูง

- ตัวอย่าง: บริษัทที่เพิ่งออกจากการล้มละลาย

6. Asset Plays (หุ้นทรัพย์สิน)

- บริษัทที่มีสินทรัพย์มูลค่าสูงที่ยังไม่ถูกค้นพบ

- ต้องการการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อค้นหามูลค่าที่แท้จริง

- ตัวอย่าง: บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีที่ดินมูลค่าสูง

🔎 การค้นหาหุ้นที่ดี

Lynch แนะนำวิธีการค้นหาหุ้นที่ดีดังนี้:

1. เข้าใจธุรกิจ: ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จัก เช่น ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้หรืออุตสาหกรรมที่คุณทำงานอยู่

2. ชอบบริษัทที่ฟังดูน่าเบื่อ: บริษัทที่ทำธุรกิจน่าเบื่อมักมีการแข่งขันน้อย

3. มองหาบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดเฉพาะ (niche): บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมักมีกำไรสูง

4. ชอบบริษัทที่คนเกลียด: บางครั้งบริษัทที่มีภาพลักษณ์ไม่ดีอาจเป็นการลงทุนที่ดี

5. สนใจบริษัทที่ซื้อหุ้นคืน: แสดงถึงความมั่นใจของผู้บริหารในอนาคตของบริษัท

6. ดูการซื้อหุ้นของคนวงใน: ถ้าผู้บริหารกำลังซื้อหุ้น อาจเป็นสัญญาณที่ดี

ตัวอย่างการใช้ความรู้ในชีวิตประจำวัน: Lynch เล่าว่าเขาลงทุนใน Hanes หลังจากภรรยาชอบถุงน่อง L'eggs ของบริษัท ซึ่งทำให้เขาได้กำไรมหาศาล

💡 เคล็ดลับการลงทุน

1. อัตราส่วน P/E ที่เหมาะสม: Lynch ชอบหุ้นที่มี P/E ต่ำกว่าอัตราการเติบโต เช่น หุ้นที่เติบโต 20% ต่อปีควรมี P/E ไม่เกิน 20

2. ระวังหนี้สิน: ตรวจสอบงบดุลและอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน บริษัทที่ไม่มีหนี้ไม่มีทางล้มละลาย

3. ดู Free Cash Flow: เน้นบริษัทที่มีกระแสเงินสดอิสระสูง ซึ่งสามารถนำไปลงทุนต่อหรือจ่ายเงินปันผล

4. สนใจอัตรากำไรขั้นต้น: อัตรากำไรที่สูงและคงที่บ่งบอกถึงความสามารถในการแข่งขัน

5. ตรวจสอบสินค้าคงคลัง: ในบริษัทผลิตหรือค้าปลีก สินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่ายอดขายเป็นสัญญาณอันตราย

6. ดูประวัติการจ่ายเงินปันผล: บริษัทที่เพิ่มเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอมักมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง

🧠 จิตวิทยาการลงทุน

Lynch เน้นย้ำความสำคัญของจิตวิทยาการลงทุน:

1. อย่าตามกระแส: หุ้นที่ฮอตที่สุดในอุตสาหกรรมที่ฮอตที่สุดมักเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุด

2. อย่ากลัวตลาดขาลง: มองว่าเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นดีๆ ในราคาถูก

3. อย่าขายเพียงเพราะราคาลด: ตราบใดที่ปัจจัยพื้นฐานยังดี ให้ถือต่อหรือซื้อเพิ่ม

4. อย่าซื้อเพียงเพราะราคาขึ้น: ราคาที่เพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าเป็นการลงทุนที่ดี

5. มีความอดทน: ผลตอบแทนที่ดีที่สุดมักเกิดขึ้นในปีที่ 3 หรือ 4 ของการถือครอง

ตัวอย่าง: Lynch เล่าว่าเขาถือหุ้น Toys "R" Us เป็นเวลา 6 ปีก่อนที่มันจะให้ผลตอบแทนที่ดี แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความอดทนในการลงทุน

📈 การจัดการพอร์ตโฟลิโอ

Lynch ให้คำแนะนำในการจัดการพอร์ตโฟลิโอดังนี้:

1. จำนวนหุ้นที่เหมาะสม: สำหรับนักลงทุนทั่วไป ควรถือหุ้น 3-10 ตัว

2. การกระจายความเสี่ยง: กระจายการลงทุนในหุ้นประเภทต่างๆ เช่น

- 30-40% ในหุ้นเติบโต (Fast Growers)

- 10-20% ในหุ้นผู้นำตลาด (Stalwarts)

- 10-20% ในหุ้นวัฏจักร (Cyclicals)

- ที่เหลือในหุ้นพลิกฟื้น (Turnarounds) และหุ้นทรัพย์สิน (Asset Plays)

3. การปรับพอร์ต: ทบทวนพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าซื้อขายบ่อยเกินไป

4. อย่า "รดน้ำวัชพืช": อย่าขายหุ้นที่กำลังทำกำไรเพียงเพื่อ "เก็บกำไร" และอย่าซื้อเพิ่มในหุ้นที่ขาดทุน

5. ทบทวนเหตุผลการลงทุน: ถ้าเหตุผลที่คุณซื้อหุ้นยังคงใช้ได้ ให้ถือต่อไปแม้ราคาจะลดลง

ตัวอย่าง: Lynch เล่าว่าเขามักจะถือหุ้นไว้นานหลายปี โดยหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของเขามักเป็นหุ้นที่เขาถือไว้ 4 ปีขึ้นไป

🚫 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

1. "หุ้นฮอตในอุตสาหกรรมฮอต": มักจะราคาแพงเกินไปและมีการแข่งขันสูง

2. "หุ้นที่จะเป็น X รายต่อไป": เช่น "IBM รายต่อไป" มักไม่เป็นจริง

3. IPO ของบริษัทใหม่: มีความเสี่ยงสูงเพราะมีข้อมูลน้อย

4. หุ้นที่มีชื่อน่าตื่นเต้น: อย่าหลงกลชื่อที่ฟังดูดี

5. การคาดการณ์ทิศทางตลาด: เป็นเรื่องยากและไม่จำเป็น

6. การเทรดบ่อยเกินไป: ทำให้เสียค่าธรรมเนียมสูงและพลาดโอกาสการเติบโตระยะยาว

📊 ตัวเลขสำคัญที่ต้องดู

1. อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio): เปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตและค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

2. อัตราการเติบโตของกำไร: ดูความสม่ำเสมอและความยั่งยืน

3. อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน: ต่ำกว่า 25% ถือว่าดี

4. กระแสเงินสดอิสระ: ยิ่งสูงยิ่งดี แสดงถึงความสามารถในการจ่ายเงินปันผลหรือลงทุนต่อ

5. สินทรัพย์ที่ซ่อนอยู่: เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่บันทึกด้วยราคาทุนเดิม

6. อัตรากำไรขั้นต้น: เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน

🔄 การทบทวนการลงทุน

1. ทบทวนทุก 3-6 เดือน: ตรวจสอบว่าเรื่องราวของบริษัทยังเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่

2. ติดตามข่าวสาร: อ่านรายงานประจำปี ข่าวเกี่ยวกับบริษัท และการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม

3. ตรวจสอบตัวเลขสำคัญ: ดูการเปลี่ยนแปลงของยอดขาย กำไร และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ

4. ประเมินการแข่งขัน: ดูว่าบริษัทยังรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้หรือไม่

5. พิจารณาการเปลี่ยนแปลงภายใน: เช่น การเปลี่ยนผู้บริหาร หรือการเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจ

💼 การเลือกหุ้นที่สมบูรณ์แบบ

1. ธุรกิจที่น่าเบื่อหรือไม่น่าสนใจ: ยิ่งน่าเบื่อเท่าไหร่ยิ่งดี

2. ทำธุรกิจที่น่าเบื่อ: บริษัทที่ทำสิ่งน่าเบื่อมักมีการแข่งขันน้อย

3. ทำธุรกิจที่ไม่เป็นที่นิยม: เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวกับการจัดการขยะพิษหรือการฝังศพ

4. เป็นบริษัทแยกตัว (Spinoff): มักถูกมองข้ามโดยนักลงทุนสถาบัน

5. สถาบันไม่เป็นเจ้าของและนักวิเคราะห์ไม่ติดตาม: โอกาสที่จะพบหุ้นราคาถูก

6. มีข่าวลือไม่ดี: เช่น เกี่ยวข้องกับขยะพิษหรือมาเฟีย

7. อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เติบโต: การแข่งขันน้อย โอกาสทำกำไรสูง

8. มีส่วนแบ่งตลาดเฉพาะ (Niche): ยากที่คู่แข่งจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่ง

9. ผู้คนต้องซื้อผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง: เช่น ยา เครื่องดื่ม บุหรี่

10. เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี: ไม่ใช่ผู้ผลิตเทคโนโลยี เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา

11. ผู้บริหารซื้อหุ้นของบริษัท: แสดงถึงความมั่นใจในอนาคตของบริษัท

12. บริษัทซื้อหุ้นคืน: วิธีที่ดีที่สุดในการให้รางวัลแก่ผู้ถือหุ้น

🚫 หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง

1. หุ้นฮอตในอุตสาหกรรมฮอต: มักจะราคาแพงเกินไป

2. "หุ้นที่จะเป็น X รายต่อไป": เช่น "IBM รายต่อไป" มักไม่เป็นจริง

3. หุ้น Whisper: หุ้นที่มีข่าวลือว่าจะมีการค้นพบครั้งใหญ่

4. IPO ของบริษัทใหม่: มีความเสี่ยงสูงเพราะมีข้อมูลน้อย

5. หุ้นที่มีชื่อน่าตื่นเต้น: อย่าหลงกลชื่อที่ฟังดูดี

💰 ความสำคัญของกำไร

Lynch เน้นย้ำว่ากำไรเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินหุ้น:

1. หุ้นคือส่วนหนึ่งของธุรกิจ: ไม่ใช่ตั๋วลอตเตอรี่

2. เปรียบเทียบราคากับกำไร: ดูว่าราคาหุ้นสอดคล้องกับการเติบโตของกำไรหรือไม่

3. วิธีเพิ่มกำไร: ลดต้นทุน, ขึ้นราคา, ขยายตลาด, ขายมากขึ้น, ปิดส่วนที่ขาดทุน

🕵️ การตรวจสอบข้อมูล

1. อ่านรายงานประจำปี: แหล่งข้อมูลสำคัญ

2. โทรหาบริษัท: สอบถามข้อมูลจากฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์

3. เยี่ยมชมบริษัท: สังเกตบรรยากาศและวัฒนธรรมองค์กร

4. ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์: เพื่อเข้าใจธุรกิจจากมุมมองลูกค้า

🔢 ตัวเลขสำคัญที่ต้องรู้

1. เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย: ดูว่าผลิตภัณฑ์หลักมีสัดส่วนเท่าไหร่ของยอดขายทั้งหมด

2. P/E Ratio: เปรียบเทียบกับอัตราการเติบโตและค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

3. สถานะเงินสด: ดูว่ามีเงินสดเพียงพอหรือไม่

4. อัตราส่วนหนี้สิน: ดูความเสี่ยงทางการเงิน

5. มูลค่าตามบัญชี: แต่ต้องระวังเพราะอาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง

6. กระแสเงินสด: โดยเฉพาะ Free Cash Flow

7. สินค้าคงคลัง: ดูการเปลี่ยนแปลงเทียบกับยอดขาย

8. อัตราการเติบโต: ดูความสม่ำเสมอและความยั่งยืน

9. อัตรากำไรสุทธิ: เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม

.

.

.

.

#SuccessStrategies

.

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

The Black Swan อุบัติการณ์หงส์ดำ เขียนโดย Nassim Taleb

Next
Next

An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations “ความมั่งคั่งของประชาชาติ” เขียนโดย Adam Smith สรุปเนื้อหาในเล่มที่ 1-3 ครับ