An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations “ความมั่งคั่งของประชาชาติ” เขียนโดย Adam Smith สรุปเนื้อหาในเล่มที่ 1-3 ครับ

อดัม สมิธ (Adam Smith) เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักปรัชญา ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์" หรือ "บิดาแห่งลัทธิทุนนิยม" มีผลงานสำคัญ 2 เล่มคือ
.
The Theory of Moral Sentiments และ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations
.
โดยเฉพาะเล่มหลัง ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1776 แม้จะผ่านมายาวนานยิ่งกว่าการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ แต่หลักคิดหลายประการยังคงเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมาจนถึงทุกวันนี้
.
หนังสือชุด An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือ“ความมั่งคั่งของประชาชาติ”ประกอบด้วยเนื้อหา 5 เล่ม ในบทความนี้จะสรุปเนื้อหาในเล่มที่ 1-3 ครับ
.
เล่มที่หนึ่ง Of the Causes of Improvement in the productive Powers of Labour
เล่มที่สอง Of the Nature, Accumulation, and Employment of Stock
เล่มที่สาม Of the different Progress of Opulence in different Nations
.
---------------------------------------------
.
สรุปแนวคิดสำคัญ 300 ข้อจากหนังสือเล่มหนึ่งถึงสาม
.

---------------------------------------------


#แรงงาน


1. การแบ่งงานช่วยเพิ่มทักษะ ความชำนาญ และประสิทธิภาพในการผลิตโดยรวม
2. ความสามารถในการแลกเปลี่ยนสินค้าส่งเสริมให้เกิดการแบ่งงานทำ
3. ผู้ผลิตที่มีความชำนาญในการผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง สามารถผลิตสินค้านั้นจำนวนมากเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าที่ผู้อื่นผลิตได้
4. ขนาดของตลาดเป็นปัจจัยจำกัดขอบเขตของการแบ่งงาน
5. การคมนาคมขนส่งทางน้ำช่วยขยายตลาด ส่งเสริมการค้าและการแบ่งงานทำ
6. เงินทองเข้ามามีบทบาทเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า แก้ปัญหาความไม่ลงตัวในการแลกเปลี่ยน
7. มูลค่าของสินค้ามาจากแรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้น และแรงงานเป็นมาตรวัดที่แท้จริงของมูลค่าสินค้า
8. ราคาตลาดของสินค้าเป็นราคาที่ซื้อขายกันจริง ซึ่งอาจไม่เท่ากับมูลค่าที่แท้จริงของสินค้านั้น
9. ในระยะยาว ราคาตลาดจะใกล้เคียงหรือเท่ากับราคาธรรมชาติ (มูลค่าที่แท้จริงตามต้นทุน)
10. กำไร ค่าเช่า และค่าจ้างแรงงาน เป็นองค์ประกอบหลักที่กำหนดราคาสินค้า

11. ระดับค่าจ้างแรงงานขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ ความต้องการแรงงาน มาตรฐานการครองชีพ และราคาสินค้าที่แรงงานบริโภค
12. ในยุคก่อน อัตราค่าจ้างยังชีพ (subsistence wage) จะครอบคลุมเฉพาะเพียงพอสำหรับคนงานและครอบครัวเท่านั้น
13. ในประเทศที่มั่งคั่ง แรงงานจะได้รับค่าจ้างเพียงพอกับค่าครองชีพที่สูงกว่า ทำให้มีครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นได้
14. ค่าจ้างแรงงานที่สูงกระตุ้นให้ประชากรขยายตัว ส่งผลให้มีแรงงานมากขึ้นในระยะยาว
15. อุปสงค์ต่อแรงงานเพิ่มขึ้นตามอัตราการสะสมทุน ทำให้ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น
16. ประเทศที่มั่งคั่งมักมีค่าจ้างแรงงานที่สูง ขณะที่ประเทศที่ยากจนมีค่าแรงต่ำ
17. ค่าแรงที่สูงกระตุ้นให้แรงงานมีความขยัน อุตสาหะ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่
18. ในปีที่ราคาสินค้าสูง แม้นายจ้างจะจ่ายค่าแรงได้น้อยลง แต่แรงงานก็มักใช้ความพยายามทำงานมากขึ้นเพื่อให้มีกำลังซื้อเท่าเดิม
19. ด้านกำไรของทุนนั้น อัตราเฉลี่ยจะขึ้นลงตามปริมาณทุนโดยรวมในสังคม และตามความเสี่ยงของธุรกิจ
20. อัตราดอกเบี้ยตลาดมีความสัมพันธ์กับอัตรากำไรของทุน เมื่อกำไรสูง ดอกเบี้ยกู้ยืมเงินก็มักสูงตามไปด้วย

21. ในประเทศที่มั่งคั่ง อัตรากำไรและดอกเบี้ยมักต่ำกว่า เมื่อเทียบกับประเทศที่ยากจนกว่า
22. ลักษณะของงานที่แตกต่างกัน ทั้งด้านความสุข ความสะดวก ความยากง่าย และความเสี่ยง ส่งผลให้ค่าจ้างและกำไรแตกต่างกันในแต่ละอาชีพ
23. นโยบายการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐไม่มีประสิทธิภาพ เพราะนายจ้างมักจ่ายค่าแรงตามอุปสงค์อุปทานของตลาด
24. กฎหมายการฝึกงานในสมัยก่อนเป็นการจำกัดและลดแรงจูงใจในการพัฒนาฝีมือแรงงาน
25. ผู้ที่มีพรสวรรค์และได้รับการศึกษาสูงจะได้รับการตอบแทนค่าจ้างในอัตราที่สูง เมื่อเทียบกับการลงทุนในการศึกษา
26. การผูกขาดส่งผลให้ราคาสูงกว่าราคาในสภาพการแข่งขันเสรี และทำให้สังคมต้องจ่ายในราคาที่สูงเกินควร
27. ตลาดเสรีเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการควบคุมราคาให้สอดคล้องกับอุปสงค์อุปทานที่แท้จริง
28. การร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตเพื่อควบคุมราคาให้สูงเกินควรเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและส่งผลเสียต่อประโยชน์ส่วนรวม
29. รัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาด ควรปล่อยให้เสรีตามกลไกราคาและการแข่งขัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค
30. ทุนมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนา เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลต่อความมั่งคั่งของประเทศ

31. การได้รับการศึกษาที่ดีช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของแรงงาน
32. การลงทุนในการศึกษาเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ เพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับการลงทุนในทุนทางกายภาพ
33. ผู้ที่ได้รับการศึกษาระดับสูง มักมีโอกาสและความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่ดีกว่า
34. งานบางอาชีพที่มีเกียรติ สังคมให้คุณค่าสูง มักได้รับผลตอบแทนที่ไม่สูงนัก เนื่องจากมีผู้ต้องการเข้าทำงานในสาขานั้นมาก
35. ความไว้วางใจและความรับผิดชอบที่สูงในงาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าจ้างในบางอาชีพสูงกว่าปกติ
36. โอกาสในความสำเร็จหรือความล้มเหลวมีผลต่อระดับค่าตอบแทนในแต่ละอาชีพด้วย
37. ประเทศที่มีระบบสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญาที่ดี ช่วยกระตุ้นการสร้างสรรค์และนวัตกรรม เพราะนักประดิษฐ์มีแรงจูงใจจากรางวัลทางการเงินที่จะได้รับ
38. ระบบการเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในรากฐานที่จำเป็นสำหรับความมั่งคั่งของรัฐ
39. ภาษีควรจัดเก็บจากทุกคนอย่างเป็นธรรมตามสัดส่วนรายได้ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
40. การจัดเก็บภาษีควรมีความแน่นอน ชัดเจน และมีระบบป้องกันการฉ้อฉล

41. การจัดเก็บภาษีควรทำในช่วงเวลาที่สะดวกและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เสียภาษี
42. การเก็บภาษีควรมีประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บต่ำ โดยภาษีส่วนใหญ่ต้องนำมาใช้จ่ายเพื่อประโยชน์สาธารณะ
43. ในระยะยาว ระดับราคาและค่าเงินในประเทศ ขึ้นอยู่กับต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนแรงงานในการผลิตสินค้า
44. ปริมาณเงินตราในระบบเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กับระดับราคาสินค้า ถ้ามีเงินหมุนเวียนในระบบมาก ราคาก็มักจะสูงขึ้น
45. ดุลการค้าที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ค่าเงินของประเทศแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า
46. ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมากเกินไป มักได้รับผลกระทบมากจากการเปลี่ยนแปลงด้านอุปสงค์ในตลาดโลก
47. รัฐบาลควรส่งเสริมการออม การลงทุน และส่งเสริมการศึกษา เพื่อเป็นรากฐานของความมั่งคั่งในระยะยาว
48. การกำหนดโควตาการนำเข้า หรือการเก็บภาษีสินค้านำเข้าในอัตราสูง มีผลทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนลดลง เนื่องจากต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น
49. การแทรกแซงทางการค้าเสรีของรัฐอาจสร้างประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่ม แต่ส่วนใหญ่จะส่งผลเสียต่อประชาชนโดยรวม
50. การพัฒนาเศรษฐกิจที่ดีที่สุดควรเน้นการพัฒนาทุนมนุษย์ การตลาดที่แข่งขันเสรี การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

---------------------------------------------


#ที่ดิน


51. ค่าเช่าที่ดินเป็นราคาสูงสุดที่ผู้เช่าสามารถจ่ายได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
52. เจ้าของที่ดินมักพยายามเรียกเก็บค่าเช่าในอัตราสูงสุดเท่าที่ผู้เช่าจะรับได้
53. ที่ดินแม้ไม่ได้ปรับปรุงก็สามารถเรียกค่าเช่าได้ ส่วนที่เหลือจากการปรับปรุงจะเป็นส่วนเพิ่มจากค่าเช่าเดิม
54. ที่ดินบางแห่งได้ค่าเช่าแม้จะไม่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ เช่น พื้นที่ชายฝั่งที่มีสาหร่ายทะเล
55. ค่าเช่าที่ดินจึงเปรียบเสมือนราคาผูกขาดตามธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าของลงทุนไป แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้เช่าจ่ายได้
56. ผลผลิตจากที่ดินบางอย่างมีราคาสูงกว่าต้นทุนในการนำสินค้าสู่ตลาด ส่วนที่เกินจะกลายเป็นค่าเช่าที่ดิน
57. ผลผลิตส่วนเกินที่ให้ค่าเช่าเกิดจาก 2 ปัจจัยคือ ความอุดมสมบูรณ์ของดินและทำเลที่ตั้ง
58. ที่ดินใกล้เมืองให้ค่าเช่าสูงกว่าที่ดินห่างไกลแม้ความอุดมสมบูรณ์จะเท่ากัน เพราะประหยัดค่าขนส่ง
59. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมช่วยให้ที่ดินห่างไกลมีค่าเช่าสูงขึ้น
60. พืชอาหารและปศุสัตว์ให้ผลผลิตและค่าเช่าในสัดส่วนที่สูงกว่าพืชอื่นๆ

61. พืชผลที่สำคัญและจำเป็น เช่นข้าวสาลี มักให้ค่าเช่าที่สูงที่สุด
62. ในยุคแรก การล่าสัตว์และประมงเป็นแหล่งอาหารหลัก ที่ดินยังไม่ค่อยมีมูลค่า
63. เมื่อประชากรเพิ่มขึ้น ที่ดินที่ใช้เพาะปลูกจึงเพิ่มขึ้นและมีค่าเช่าสูงขึ้น
64. หากอุปสงค์ต่อผลผลิตเกินกว่าที่ที่ดินจะผลิตได้ ค่าเช่าก็จะเพิ่มขึ้นมาก
65. เนื้อสัตว์มีราคาสูงกว่าพืชผักในยุคแรก แต่เมื่อที่ดินเพาะปลูกขยายมากขึ้นทำให้ราคาพืชผักลดลง
66. ราคาเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงในทุ่งหญ้ากับในฟาร์มที่มีการพัฒนาจะมีราคาใกล้เคียงกันในตลาด
67. ที่ดินที่เหมาะสำหรับเพาะปลูกแต่เอามาเลี้ยงสัตว์จะทำให้ค่าเช่าสูงขึ้นจนเกือบเท่าการเพาะปลูก
68. เจ้าของที่ดินเลี้ยงสัตว์จะได้กำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคาปศุสัตว์
69. ในที่สุด ราคาเนื้อสัตว์ก็ถูกกำหนดโดยราคาของพืชอาหารสัตว์
70. ราคาเนื้อสัตว์จากทุ่งหญ้าและฟาร์มปศุสัตว์ในที่สุดก็จะสมดุลกัน

71. การเพิ่มประชากรและความต้องการอาหารส่งผลให้ค่าเช่าที่ดินสูงขึ้น
72. ผลผลิตจากทางทะเลเช่นปลาเป็นอีกแหล่งอาหารสำคัญ แต่ก็จำเป็นต้องพึ่งพาที่ดินด้วย
73. ทำเลที่ตั้งและปริมาณผลผลิตเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดราคาค่าเช่าที่ดินประมง
74. ปริมาณผลผลิตจากทะเลขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ส่วนจากฟาร์มขึ้นกับแรงงานที่ลงไป
75. ราคาสินค้าประมงจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของประชากร การขยายตลาด และผลผลิตที่ได้
76. ในประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ราคาสินค้าประมงจะแพงกว่าเนื่องจากต้องมีค่าขนส่ง
77. ปริมาณแร่ธาตุและโลหะมีค่าที่ขุดได้ไม่ได้ถูกจำกัดโดยที่ตั้ง แต่ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของเหมือง
78. ราคาของแร่โลหะขึ้นอยู่กับความต้องการใช้และความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งแร่ที่พบในขณะนั้น
79. ความต้องการแร่โลหะเพิ่มขึ้นตามความมั่งคั่งและการพัฒนาของประเทศนั้นๆ
80. ความสำเร็จในการสำรวจพบแหล่งแร่ใหม่ๆ เป็นเรื่องของความไม่แน่นอนและโอกาส ไม่ขึ้นกับทักษะหรืออุตสาหกรรม

81. หากพบแหล่งแร่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ ราคาของแร่นั้นก็จะตกลงมาก
82. แร่เงินและทองคำมีความเสี่ยงต่อการผันผวนของราคามากกว่าสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
83. แร่ที่มีความต้องการใช้ประโยชน์สูง และมีความงามในตัวเอง เช่นทองคำ จะมีราคาสูง
84. การนำแร่เงินและทองคำมาใช้ในการทำเหรียญกษาปณ์ ทำให้ราคาของมันสูงขึ้นอีก
85. อัญมณีมีราคาสูงเนื่องจากความงามและความหายาก ไม่ใช่ประโยชน์ใช้สอย
86. ค่าเช่าที่ดินไม่ได้มีส่วนมากนักในราคาแร่ธาตุ ซึ่งต่างจากสินค้าเกษตร
87. บางครั้งกษัตริย์ก็เรียกเก็บภาษีสูงจากผู้ทำเหมืองจนเหมืองไม่คุ้มทุนผลิต
88. ราคาของแร่โลหะแม้จะปรับตัวขึ้นตามความต้องการ แต่ก็ไม่เพิ่มขึ้นมากเท่าสินค้าอื่นๆ เมื่อขาดแคลน
89. ไม่ว่าเหมืองจะอุดมสมบูรณ์หรือแร่นแค้น ราคาแร่ก็มักจะปรับตัวเองตามอุปสงค์ในตลาดโลก
90. การมีทองคำและเงินมากมายไม่ได้เป็นประโยชน์มากนักต่อประเทศและโลก นอกจากความมั่งคั่งหรูหรา

91. การมีทองคำและเงินมากไม่ได้แสดงถึงความมั่งคั่งและความก้าวหน้าของประเทศ แต่การมีที่ดินพัฒนาดีนั้นสำคัญกว่า
92. คนยากจนไม่ได้ให้คุณค่ากับโลหะมีค่ามากเท่ากับอาหารที่จำเป็นในการดำรงชีพ
93. ปริมาณของทองคำและเงินไม่ได้บ่งบอกถึงความม่งคั่งของประเทศ แต่ปริมาณของสินค้าที่ผลิตได้ต่างหากเป็นตัวชี้วัดที่แท้จริง
94. ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ราคาทองคำและเงินเมื่อเทียบกับข้าวสาลีเคยสูงกว่าในสมัยอดัม สมิธ
95. ราคาข้าวสาลีเมื่อเทียบกับเงินมีเสถียรภาพกว่าราคาเนื้อสัตว์
96. ประเทศที่มีทองคำและเงินมาก แต่มีปัญหาการพัฒนาเกษตรกรรม ก็ถือว่ายากจนได้
97. ในประเทศที่เกษตรกรรมก้าวหน้า แรงงานจะมีค่าแรงและมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีกว่าประเทศที่ล้าหลัง
98. สัดส่วนระหว่างทองคำกับเงินส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 10-12 ในยุโรป
99. แม้ราคาโลหะมีค่าลดลงตั้งแต่มีการค้นพบเหมืองในอเมริกา แต่ก็ไม่ได้ลดลงในสัดส่วนเดียวกับการเพิ่มปริมาณ
100. ภาษีการนำเข้าโลหะมีค่าไม่ควรสูงเกินไป เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า


---------------------------------------------

#ทุน


101. ในยุคแรก คนยังไม่มีการสะสมทุน ทุกคนพึ่งพาแรงงานของตัวเองเพื่อผลิตสิ่งที่ต้องการ
102. เมื่อเริ่มมีการแบ่งงานกันทำ ผู้คนต้องพึ่งพาสินค้าที่ผลิตโดยผู้อื่นมากขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการกักตุนสินค้าไว้
103. ทุนของแต่ละคนแบ่งเป็นทุนเพื่อการบริโภคทันที และเงินทุนสำหรับใช้ดำเนินธุรกิจต่อไป
104. เงินทุนมีสองประเภทคือ ทุนหมุนเวียนที่ใช้ซื้อขายสินค้า และทุนคงที่เช่นเครื่องมือ เครื่องจักร ที่ดิน
105. สัดส่วนของทุนคงที่และทุนหมุนเวียนแตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ เช่น ผู้ค้าขายใช้ทุนหมุนเวียนเป็นหลัก
106. ทุนคงที่บางประเภทเช่นวัตถุดิบ ปศุสัตว์ อาจกลายเป็นทุนหมุนเวียนได้เมื่อนำไปขาย
107. ทุนรวมของสังคมประกอบด้วย 1) ทุนเพื่อการบริโภคโดยตรง 2) ทุนคงที่ 3) ทุนหมุนเวียน
108. บ้านพักอาศัยถือเป็นทุนบริโภคโดยตรง เพราะไม่ได้สร้างผลผลิตหรือกำไร จึงไม่ใช่ทุนการผลิต
109. ทุนคงที่มี 4 ประเภทคือ เครื่องมือการค้า อาคารสิ่งปลูกสร้าง การปรับปรุงที่ดิน และความสามารถของคนงาน
110. ทักษะของช่างฝีมือเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่ช่วยผลิตได้มากขึ้น แต่ต้องอาศัยการลงทุนฝึกฝนก่อน

111. ทุนหมุนเวียนประกอบด้วย เงินตรา วัตถุดิบ สินค้าคงคลัง และสินค้าสำเร็จรูปที่ยังไม่ได้ขาย
112. ทุนหมุนเวียนจะถูกนำไปใช้ในทุนคงที่และการบริโภคอย่างสม่ำเสมอ
113. ทุนคงที่จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากทุนหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถสร้างผลกำไรได้
114. จุดประสงค์สูงสุดของทุนคงที่และทุนหมุนเวียนคือเพื่อคงไว้และเพิ่มทุนสำหรับการบริโภคโดยตรง
115. ทุนหมุนเวียนมาจาก 3 แหล่งหลักคือ ผลผลิตจากที่ดิน เหมือง และการประมง เสริมด้วยการส่งออก
116. ที่ดิน เหมือง และการประมง ต้องการทั้งทุนคงที่และทุนหมุนเวียน และให้ผลผลิตที่มากกว่าทุนที่ลงไป
117. ธุรกิจต่างๆ มีแรงจูงใจในการนำเงินทุนไปหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด
118. คนส่วนใหญ่ใช้เงินซื้อสินค้ามากกว่าเก็บเงินไว้เฉยๆ ยกเว้นในประเทศที่ไม่มั่นคง
119. ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในประเทศทำหน้าที่เพียงส่งผ่านและกระจายสินค้า มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของผลผลิตประชาชาติ
120. มูลค่าที่แท้จริงของสินค้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงิน แต่ขึ้นกับปริมาณแรงงานที่ใช้ผลิตสินค้านั้น

121. เงินเปรียบเสมือนเครื่องมือการค้าที่ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าได้ง่ายขึ้น แต่ตัวมันเองไม่มีมูลค่าในตัว
122. การลดลงของราคาสินค้าไม่ได้หมายความว่ามูลค่าของเงินสูงขึ้น หากแต่มาจากการลดลงของค่าแรงและกำไร
123. สังคมไม่ได้ร่ำรวยขึ้นเพราะมีทองคำและเงินมากขึ้น แต่เป็นเพราะมีสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้นต่างหาก
124. การทำให้เงินตราในประเทศมีปริมาณมากเกินไป อาจทำให้มีการส่งออกทองคำและเงินไปนอกประเทศ
125. ธนาคารที่ออกธนบัตรมากเกินไปจะประสบปัญหาเงินสำรองไม่เพียงพอและอาจล้มละลายได้
126. ธนบัตรที่ออกโดยนายธนาคารที่เชื่อถือได้จะมีมูลค่าเท่ากับเงินตราจริง
127. ธนบัตรที่ออกโดยนายธนาคารที่ไว้ใจไม่ได้อาจมีมูลค่าต่ำกว่าเงินตรา
128. ธนบัตรและเงินตราเพียงพอต่อการหมุนเวียนได้เมื่อมีปริมาณเท่ากับปริมาณสินค้าที่ต้องแลกเปลี่ยน
129. ธนาคารที่ยืมเงินระยะสั้นจากลูกค้ามาปล่อยกู้ระยะยาวมักประสบปัญหาเงินสดไม่พอจ่ายคืนลูกค้า
130. ธนาคารเปรียบเสมือนบ่อน้ำที่ต้องรักษาระดับน้ำไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป

131. ธนบัตรที่ออกมามากเกินไปจะกลับสู่ธนาคารผู้ออกเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา แต่หากมีจำนวนมากธนาคารอาจมีปัญหา
132. ความเสียหายของธนาคารบางแห่งในสก็อตแลนด์ส่งผลดีต่อภาพรวม เพราะแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของธนาคาร
133. การเก็งกำไรผ่านการส่งเรือไปค้าขายสร้างปัญหาทั้งกับธนาคารและประเทศในระยะยาว
134. ธนบัตรที่ออกโดยไม่มีเงินตราหนุนหลัง เช่นในกรณีบริษัท Mississippi ย่อมนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด
135. การออกธนบัตรเพื่อการกู้ยืมระยะยาวนั้นอันตรายต่อธนาคาร ควรมีการกำกับดูแล
136. ปริมาณธนบัตรที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อได้ ต้องสัมพันธ์กับปริมาณเงินตราหมุนเวียน
137. ธนาคารที่ได้รับความไว้วางใจและมีเงินตราสำรองเพียงพอ สามารถทำหน้าที่หมุนเวียนเงินและปล่อยกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
138. ธนบัตรที่ใช้แทนเงินตราจะช่วยเพิ่มทุนหมุนเวียนในการผลิต เพราะทำให้เงินตราสามารถนำไปลงทุนเพิ่มได้
139. ปริมาณธนบัตรที่เหมาะสมสัมพันธ์กับมูลค่าการแลกเปลี่ยนสินค้าในแต่ละปี
140. ธนบัตรที่ออกมาต้องสามารถแลกกลับเป็นเงินตราได้เสมอ ไม่ควรมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับเงินตรา

141. ธนบัตรต้องได้รับความเชื่อถือจากประชาชน จึงจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้
142. ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (Bank of England) เป็นตัวอย่างความมั่นคงของธนาคารกลาง
143. การแข่งขันระหว่างธนาคารเอกชนทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพบริการที่ดีขึ้น
144. การกำหนดขั้นต่ำของมูลค่าธนบัตรช่วยจำกัดการแพร่กระจายของธนบัตรและเสถียรภาพของเงินตรา
145. การยอมรับธนบัตรแทนเงินตราในการจ่ายภาษีของรัฐบาลช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธนบัตร
146. ธนบัตรที่ได้รับความเชื่อถือสูงสามารถมีมูลค่าสูงกว่าเงินตราที่ใช้หนุนหลังเล็กน้อยได้
147. การแลกเปลี่ยนเงินตราท้องถิ่นเป็นเงินปอนด์หรือดอลลาร์ช่วยสะท้อนความน่าเชื่อถือของเงินตรานั้นๆ
148. เงินตราท้องถิ่นที่มีค่าต่ำกว่าเงินปอนด์หรือดอลลาร์มักเป็นผลจากการออกธนบัตรที่ไม่มีเงินตราหนุนหลังเพียงพอ
149. การกำหนดให้ธนบัตรเป็นสิ่งชำระหนี้ตามกฎหมายทำให้ประชาชนยอมรับธนบัตรได้ง่ายขึ้น
150. การแข่งขันที่เสรีและเปิดกว้างในธุรกิจธนาคารนำไปสู่ประโยชน์ต่อสาธารณะมากกว่าการผูกขาด

151. แรงงานแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แรงงานผลิตที่เพิ่มมูลค่าให้สินค้า และแรงงานที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า
152. แรงงานผลิตสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบและเป็นแหล่งกำไรของนายจ้าง ขณะที่แรงงานไร้ผลผลิตไม่ก่อให้เกิดมูลค่า
153. นายจ้างจำนวนมากทำให้เจ้าของกิจการร่ำรวย แต่คนรับใช้จำนวนมากกลับทำให้ยากจนลง
154. แรงงานผลิตสร้างคุณค่าให้กับสินค้า ขณะที่แรงงานไร้ผลผลิตมักไม่สร้างคุณค่าใดๆ
155. บางอาชีพที่มีเกียรติเช่น ข้าราชการ กองทัพ นักบวช ทนายความ แพทย์ ศิลปิน ถือเป็นแรงงานไร้ผลผลิตด้วย
156. ทั้งแรงงานผลิตและแรงงานไร้ผลผลิตต่างก็ได้รับค่าตอบแทนจากผลผลิตของประเทศเหมือนกัน
157. ผลผลิตที่มากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นอยู่กับสัดส่วนของแรงงานผลิตและแรงงานไร้ผลผลิตที่ใช้ในการผลิต
158. ผลผลิตที่ได้ในแต่ละปีส่วนหนึ่งนำมาทดแทนเงินทุน ส่วนที่เหลือกลายเป็นกำไรและค่าเช่า
159. ผลผลิตส่วนที่ใช้ทดแทนเงินทุนต้องนำไปจ้างแรงงานผลิตเท่านั้น จึงจะก่อให้เกิดมูลค่า
160. ผลผลิตส่วนที่เป็นกำไรและค่าเช่า สามารถนำไปจ่ายทั้งแรงงานผลิตและแรงงานไร้ผลผลิตได้

161. เงินทุนที่ถูกนำไปจ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานผลิตจะก่อให้เกิดผลผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นพร้อมกำไร
162. แรงงานไร้ผลผลิตอาศัยรายได้จากค่าเช่าที่ดินและกำไรในการครองชีพ
163. แรงงานทั่วไปอาจจ่ายค่าจ้างคนรับใช้หรือความบันเทิงได้เมื่อได้ค่าแรงมากพอ
164. ส่วนเกินจากรายได้ที่เป็นกำไรจากการผลิตเท่านั้นที่จะนำไปจ่ายแก่แรงงานไร้ผลผลิตได้
165. เจ้าของที่ดินและพ่อค้ามักชอบจ่ายเงินให้แรงงานไร้ผลผลิตมากกว่าแรงงานผลิต
166. ประเทศที่ร่ำรวยมักมีสัดส่วนของเงินทุนเพื่อทดแทนเงินทุนมากกว่าเงินที่กลายเป็นรายได้ เมื่อเทียบกับประเทศยากจน
167. ในสมัยก่อน ผลผลิตส่วนใหญ่มักถูกใช้ในฐานะรายได้มากกว่าการนำไปเป็นเงินทุนสำหรับการผลิตต่อ
168. การที่เงินทุนถูกนำมาลงทุนในการผลิตมากขึ้น ทำให้ผู้คนมีความขยันขันแข็งมากขึ้น
169. เมืองที่มีการค้าขายและการผลิตมักมีผู้อยู่อาศัยที่ขยันขันแข็งมากกว่าเมืองที่เน้นการบริโภคและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
170. ลักษณะของการใช้จ่ายมีผลต่อการเติบโตของความมั่งคั่งของสังคมที่แตกต่างกัน

171. เงินออมเป็นสาเหตุโดยตรงของการเพิ่มขึ้นของเงินทุน ในขณะที่ความขยันขันแข็งเป็นเพียงปัจจัยสนับสนุน
172. ถ้าไม่มีการออม ความขยันขันแข็งเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้เงินทุนเพิ่มขึ้นได้
173. เงินออมได้จากการลดรายจ่ายของตน แล้วนำไปลงทุนเพื่อให้เกิดผลผลิตมากขึ้น
174. เงินที่ถูกออมจะถูกนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาหนึ่ง โดยแต่ละช่วงเวลาจะใช้แตกต่างกันไป
175. การออมเป็นผลดีต่อสังคมในระยะยาว เพราะทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนและจ้างแรงงานผลิตได้อย่างต่อเนื่อง
176. คนที่ใช้จ่ายเกินตัวจนต้องไปกู้เงินนั้นเท่ากับไปลดทอนเงินทุนที่มีอยู่ในสังคมลง
177. การใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเปรียบเสมือนศัตรูต่อสังคม ขณะที่การประหยัดมัธยัสถ์เป็นเหมือนผู้มีพระคุณ
178. การใช้จ่ายอย่างประมาทและไม่ฉลาดในธุรกิจต่างๆ ก็ลดทอนเงินทุนที่ใช้ในการผลิตลงเช่นกัน
179. พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ปกติจะมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่าการฟุ่มเฟือย
180. แม้จะมีคนบางคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่ภาพรวมก็มีคนประหยัดและรอบคอบมากกว่า จึงชดเชยกันได้

181. ประเทศมักไม่ล้มละลายเพราะการใช้จ่ายของเอกชน แต่มักเป็นเพราะรัฐบาลใช้จ่ายเกินตัว
182. ความมั่งคั่งของประเทศมาจากจำนวนแรงงานผลิตที่มากขึ้นและอำนาจการผลิตที่เพิ่มขึ้น
183. การเพิ่มจำนวนแรงงานผลิตต้องอาศัยเงินทุนที่สะสมไว้สำหรับจ้างแรงงาน
184. อำนาจการผลิตที่เพิ่มขึ้นเกิดจากเครื่องมือเครื่องจักรที่ดีขึ้นและการแบ่งงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
185. การปรับปรุงเครื่องจักรและแบ่งงานใหม่ มักต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเสมอ
186. การที่ประเทศหนึ่งมีผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง แสดงว่ามีการสะสมเงินทุนมากขึ้นแม้จะเกิดวิกฤตบ้าง
187. ประเทศอังกฤษมีความมั่งคั่งมากขึ้นจากการสะสมทุนของเอกชนแม้รัฐจะเก็บภาษีสูง
188. รัฐไม่ควรไปจำกัดการใช้จ่ายของเอกชน ปล่อยให้ตลาดเสรีทำหน้าที่ควบคุมธรรมชาติ
189. หากรัฐใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนประเทศล้มละลาย การประหยัดของเอกชนเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถกู้วิกฤตได้
190. การใช้จ่ายของเอกชนแตกต่างกันตามวิถีชีวิตและความคงทนของสินค้า

191. สินค้าอุปโภคที่คงทนนานมักทำให้เกิดการสะสมเงินทุนมากกว่าสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป
192. สินค้าที่คงทนนานยังช่วยสร้างอุปสงค์ต่อเนื่องแก่แรงงานในการซ่อมแซมและบำรุงรักษา
193. บ้านเรือนถือเป็นสินค้าที่คงทนนานมากและเป็นแหล่งสะสมเงินทุนที่ดีอย่างหนึ่ง
194. การปรับปรุงที่ดินก็เป็นการลงทุนที่มีค่าและคงทนนาน สร้างรายได้ระยะยาว
195. เครื่องเรือนและเสื้อผ้ามักไม่สะสมทุนได้มากเท่าบ้านเรือนที่ดิน แต่ก็ดีกว่าสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป
196. สังคมจะมั่งคั่งขึ้นได้จากการมีที่ดินทำกิน บ้านเรือน เครื่องมือและเครื่องจักร สินค้าคงทนนานเป็นของตนเอง
197. คนรวยมักใช้จ่ายไปกับเสื้อผ้า เครื่องเรือน ของใช้ฟุ่มเฟือย มากกว่าการซื้อที่ดิน
198. การใช้จ่ายกับอาหารการกินไม่ช่วยสะสมทุน แต่ช่วยครอบครัวเกษตรกรและแรงงานได้มาก
199. ประเทศที่มีที่ดินกว้างขวางและราคาถูกจะสะสมทุนได้ง่ายกว่าประเทศที่มีที่ดินจำกัดและราคาแพง
200. ธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนจะเป็นตัวกำหนดการสะสมทุนของประเทศในแต่ละยุคสมัย


-------------------------------------------------------

#ผู้ประกอบการ


201. การค้าระหว่างคนในเมืองและชนบทเป็นพื้นฐานที่สำคัญของสังคมที่มีอารยธรรม
202. ชนบทจัดหาอาหารและวัตถุดิบให้แก่เมือง ขณะที่เมืองส่งสินค้าแปรรูปกลับไปให้ชนบท
203. ผู้คนในชนบทได้ประโยชน์จากการค้ากับเมือง เพราะได้ซื้อสินค้าราคาถูกกว่าทำเอง
204. เมืองมีสภาพเป็นตลาดถาวรให้ชนบทได้นำผลผลิตมาแลกเปลี่ยน
205. รายได้และจำนวนประชากรของเมืองจำกัดขอบเขตของตลาดสำหรับสินค้าจากชนบท
206. ปัจจัยยังชีพต้องมาก่อนสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริโภคฟุ่มเฟือย
207. การพัฒนาชนบทและการผลิตอาหารต้องเกิดขึ้นก่อนการขยายตัวของเมือง
208. ประชากรที่มาตั้งถิ่นฐานในเมืองได้รับอาหารจากส่วนเกินที่เหลือจากการบริโภคของเกษตรกร
209. การเจริญงอกงามของเกษตรกรรมและการผลิตในชนบทจำเป็นสำหรับการเติบโตของเมือง
210. แนวโน้มตามธรรมชาติของคนคือการลงทุนในที่ดินมากกว่าการผลิตและการค้า

211. ที่ดินได้ผลตอบแทนดีกว่าและมีความมั่นคงมากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่น
212. ผืนนาให้ความสุขในการใช้ชีวิต ความสงบทางจิตใจ และความเป็นอิสระ
213. การเกษตรเป็นอาชีพดั้งเดิมของมนุษย์ ดึงดูดผู้คนทุกเพศทุกวัย
214. คนในเมืองและชนบทต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
215. ราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ใกล้เมืองสูงกว่าสินค้าจากไกลเมือง
216. ช่างฝีมือรวมตัวกันในย่านใกล้เคียง สร้างเป็นชุมชนเล็กๆ หรือหมู่บ้าน
217. หมู่บ้านช่างฝีมือค่อยๆ ขยายตัวเติบโตกลายเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
218. คนในเมืองและชนบทต่างก็เป็นลูกค้าและผู้ให้บริการแก่กันและกัน
219. การค้าขายในเมืองช่วยหล่อเลี้ยงเมืองด้วยการจัดหาวัตถุดิบและปัจจัยยังชีพ
220. การว่าจ้างแรงงานในชนบทจำกัดอยู่เพียงการผลิตและแลกเปลี่ยนอาหาร

221. ในอาณานิคมของอเมริกาเหนือ ผู้คนลงทุนกับที่ดินมากกว่าการค้าขายระยะไกล
222. การส่งออกอาหารและผลิตผลส่วนเกินช่วยสร้างความมั่งคั่งให้แก่อียิปต์โบราณ จีน และอินเดีย
223. การเก็บภาษีและจำกัดจำนวนร้านค้าไม่เคยช่วยป้องกันอันตรายต่อสังคม
224. การแข่งขันกันระหว่างร้านค้าช่วยให้สินค้ามีราคาถูกลง
225. ความปลอดภัยในทรัพย์สินของร้านค้ามีความสำคัญต่อการเติบโตของชุมชน
226. การค้าขายที่เคลื่อนย้ายได้ ไม่ได้ผูกติดกับพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เกิดขึ้นตามการแลกเปลี่ยนทางการค้าในเมือง
227. การขนส่งทางทะเลมักใช้ต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งทางบก
228. ทองและเงินเป็นสินค้าที่ขนส่งง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีขนาดเล็กแต่มีมูลค่าสูง
229. การกู้ยืมเงินควรนำไปใช้เพื่อการลงทุน ไม่ใช่เพื่อการบริโภคส่วนตัว
230. ผู้ให้กู้เงินได้รับส่วนแบ่งจากผลกำไรจากการใช้เงินทุนนั้น ในรูปแบบของดอกเบี้ย

231. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงมีผลเสียมากกว่าผลดี ทำให้คนกู้ยืมเงินยากขึ้น
232. ความต้องการเงินทุนและอัตราดอกเบี้ยลดลงเมื่อมีเงินทุนไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
233. การลงทุนในภาคเกษตรก่อให้เกิดการจ้างงานและผลผลิตมากกว่าการผลิตอุตสาหกรรม
234. การลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตจ้างงานได้มากกว่าการค้าขายระหว่างประเทศ
235. การค้าขายภายในประเทศใช้เงินลงทุนหมุนเวียนเร็วกว่าการค้าระหว่างประเทศ
236. การส่งออกผลผลิตภายในประเทศไปขายต่างประเทศมักใช้เงินทุนจากพ่อค้าต่างชาติ
237. ประเทศที่มีที่ดินกว้างขวางมักลงทุนหนักในภาคเกษตรมากกว่าการค้าขาย
238. อาณานิคมอเมริกันเน้นการเกษตรและส่งออกสินค้าเกษตรไปยุโรป ไม่สนใจอุตสาหกรรม
239. แรงงานทาสมีผลผลิตต่ำ เพราะไม่มีแรงจูงใจในการทำงานหนัก
240. การลงทุนในภาคเกษตรด้วยแรงงานทาสให้ผลตอบแทนต่ำกว่าการใช้แรงงานอิสระ

241. เจ้าของที่ดินมักไม่พัฒนาที่ดินเอง แต่ปล่อยให้ชาวนาเช่ามาทำกิน
242. ชาวนาที่เช่าที่นามักไม่ลงทุนพัฒนาดินหรือเทคโนโลยี เพราะไม่ใช่เจ้าของที่ดิน
243. สิทธิการสืบทอดที่ดินมักเป็นอุปสรรคต่อการแบ่งขายที่ดินเป็นผืนเล็กลง
244. กฎหมายว่าด้วยที่ดินมักออกแบบมาเพื่อประโยชน์ของเจ้าของที่ดินมากกว่าชาวนา
245. การเก็บภาษีที่ดินและส่วยต่างๆ จากชาวนามักเป็นการขูดรีดและไม่ยุติธรรม
246. ชาวนาในยุโรปในอดีตมักถูกมองว่าด้อยกว่าชนชั้นพ่อค้าและช่างฝีมือ
247. อังกฤษมีนโยบายที่เอื้อต่อการเช่าที่ดินระยะยาวและการพัฒนาที่ดินของชาวนา
248. การห้ามส่งออกธัญพืชไปขายต่างประเทศเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาภาคเกษตร
249. การจำกัดการค้าขายธัญพืชภายในประเทศก็ฉุดรั้งการพัฒนาเกษตรกรรมเช่นกัน
250. การให้สิทธิพิเศษแก่ตลาดและงานเทศกาลบางแห่ง ทำให้การค้าขายไม่ทั่วถึง

251. หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ผู้อยู่อาศัยในเมืองและชนบทต่างไม่ได้รับความเอาใจใส่มากนัก
252. ผู้ครอบครองที่ดินมักจะอยู่ในปราสาทที่มีป้อมปราการบนที่ดินของตน ท่ามกลางผู้เช่าและผู้ติดตาม
253. คนในเมืองส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและช่างฝีมือที่มีสถานะต่ำต้อยเหมือนเป็นทาสรับใช้
254. กษัตริย์หรือขุนนางมักจะอนุญาตให้พ่อค้าบางคนได้รับการยกเว้นภาษี
255. ผู้ที่ได้รับยกเว้นเหล่านี้เรียกว่า "พ่อค้าเสรี" แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมประจำปีเพื่อแลกกับความคุ้มครอง
256. ค่าธรรมเนียมประจำปีนี้มักจะถูกเก็บโดยนายอำเภอหรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ในท้องถิ่น
257. พลเมืองในเมืองเริ่มได้รับเสรีภาพและความเป็นอิสระมากกว่าชาวนาในชนบท
258. พวกเขาได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสภาเทศบาลของตัวเอง ออกกฎหมายเอง และจัดการกับคดีความภายในเมือง
259. เมืองที่ได้รับอนุญาตให้เก็บภาษีของตนเองต้องการอำนาจยุติธรรมบังคับการจ่ายภาษี
260. กษัตริย์ยอมแลกรายได้จากภาษีที่ไม่คาดคิดกับค่าเช่าในอัตราคงที่ เพื่อให้พลเมืองในเมืองมีอิสระมากขึ้น

261. เนื่องจากกษัตริย์ในยุโรปไม่สามารถปกป้องประชาชนจากขุนนางมีอำนาจได้ ผู้คนจึงต้องหาที่พึ่งจากที่อื่น
262. พลเมืองในเมืองรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยขุนนาง
263. ขุนนางดูถูกและอิจฉาความร่ำรวยของพลเมืองในเมือง จึงพยายามปล้นสะดมทรัพย์สินของพวกเขา
264. กษัตริย์สนับสนุนให้พลเมืองในเมืองมีความมั่นคงและเป็นอิสระจากขุนนาง ซึ่งถือเป็นศัตรูของกษัตรย์
265. การให้ท้องถิ่นปกครองตนเองเป็นวิธีที่กษัตริย์ใช้เพื่อลดอำนาจของขุนนาง
266. กษัตริย์ John ของอังกฤษเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญในการให้สิทธิพิเศษแก่เมืองต่างๆ
267. กษัตริย์ Philip I ของฝรั่งเศสสูญเสียอำนาจเหนือขุนนาง จึงหันมาพัฒนาระบบยุติธรรมในท้องถิ่น
268. กลุ่มการค้า Hanseatic League ของเยอรมนีเริ่มมีอำนาจขึ้นในช่วงสมัยของกษัตริย์ราชวงศ์ Suabia
269. ในอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ที่กษัตริย์ไม่มีอำนาจมากนัก เมืองต่างๆ กลายเป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเองได้
270. เมืองในฝรั่งเศสและอังกฤษไม่สามารถเป็นอิสระได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ต้องส่งผู้แทนเข้าร่วมสภาแห่งรัฐ

271. ความมั่นคงและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลเริ่มมีในเมือง ขณะที่ชนบทยังคงมีความรุนแรงอยู่
272. อุตสาหกรรมในเมืองที่มุ่งสร้างผลผลิตเพื่อการค้า เกิดขึ้นก่อนการพัฒนาในชนบทเป็นเวลานาน
273. เกษตรกรที่ถูกกดขี่มักจะหลบหนีเข้าไปในเมืองเพื่อหาเสรีภาพและโอกาสทางเศรษฐกิจ
274. กฎหมายในเมืองยอมรับคนที่หนีเข้ามาหลังจากผ่านไปหนึ่งปี ทำให้คนอพยพเข้าเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ
275. การค้าขายทำให้เมืองที่อยู่ติดทะเลหรือแม่น้ำใหญ่เจริญรุ่งเรือง แม้ว่าชนบทรอบข้างจะยากจน
276. เมืองที่รุ่งเรืองสามารถดึงทรัพยากรจากดินแดนที่ห่างไกลได้ผ่านทางการแลกเปลี่ยนทางการค้า
277. เมืองท่าของอิตาลีเป็นเมืองแรก ๆ ในยุโรปที่มั่งคั่งจากการค้ากับแวดแคว้นอื่น ๆ
278. สงครามครูเสดช่วยสนับสนุนการค้าขายของเมืองเวนิส เจนัว และปิซาผ่านการขนส่งและจัดหาสินค้า
279. การค้าต่างประเทศนำสินค้าฟุ่มเฟือยมาสู่เมืองต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของขุนนางผู้ร่ำรวย
280. การค้าของยุโรปในยุคแรกมักเป็นการนำสินค้าดิบไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากที่อื่น

281. พ่อค้าเริ่มนำอุตสาหกรรมการผลิตสินค้ามาตั้งในพื้นที่ของตนเอง เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้า
282. อุตสาหกรรมประเภทเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์มักมีอยู่ในทุกประเทศแม้จะยากจนก็ตาม
283. การทอผ้าไหมและผ้ากำมะหยี่เริ่มต้นในอิตาลีจากการเลียนแบบการผลิตของต่างประเทศ
284. อุตสาหกรรมการทอผ้าในฟลันเดอร์เก่าแก่และใช้วัตถุดิบจากทั้งอังกฤษและสเปน
285. อุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นมักเกิดในเมืองที่อยู่ไกลจากทะเล รวมถึงดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์
286. ความอุดมสมบูรณ์ของดินทำให้ราคาอาหารถูก จึงดึงดูดช่างฝีมือให้เข้ามาทำงานในท้องถิ่น
287. การเพิ่มมูลค่าสินค้าดิบผ่านฝีมือช่างทำให้ขายได้ในราคาแพงแต่ต้นทุนขนส่งไม่สูงมากนัก
288. การผลิตสินค้าและการพัฒนาเกษตรกรรมมักขยายตัวไปพร้อมๆ กัน เพราะเอื้อประโยชน์ต่อกัน
289. อุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าคุณภาพเป็นลูกหลานของการพัฒนาทางการเกษตร
290. เมืองศูนย์กลางการค้าช่วยกระตุ้นการพัฒนาชนบทด้วยการเป็นตลาดสำหรับสินค้าเกษตร

291. ความร่ำรวยที่ได้จากการค้าขายในเมืองมักถูกนำไปซื้อที่ดินในชนบทเพื่อพัฒนาเป็นฟาร์ม
292. พ่อค้าวาณิชย์มักกลายเป็นเจ้าของที่ดินที่ดี เพราะรู้จักลงทุนเงินอย่างคุ้มค่าเพื่อสร้างผลกำไร
293. ความมั่งคั่งของเมืองนำความเป็นระเบียบ กฎหมายที่ดี และเสรีภาพ ความมั่นคงมาสู่ชนบท
294. ทาสรับใช้และผู้ติดตามจำนวนมากในชนบทต้องพึ่งพาเจ้าของที่ดินผ่านการเลี้ยงดูบริวาร
295. ขุนนางสูญเสียอำนาจเหนือชาวนาไร้ที่ดิน เมื่อพวกเขาเริ่มใช้จ่ายเงินเพื่อความฟุ่มเฟือยแทน
296. เงินที่ขุนนางนำมาซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยจากเมือง แทนที่จะแจกจ่ายให้กับผู้ติดตาม ทำให้พวกเขาพึ่งตัวเองมากขึ้น
297. ขุนนางเริ่มขายที่ดินออกไปเพื่อซื้อเครื่องประดับเพชรพลอย แทนที่จะเก็บไว้แจกจ่ายให้ผู้ติดตาม
298. ความฟุ่มเฟือยของเจ้าของที่ดินทำให้มีข้ารับใช้น้อยลง ผู้เช่าที่ดินเหลือเท่าที่จำเป็น แต่จ่ายค่าเช่าแพงขึ้น
299. สัญญาเช่าที่ดินระยะยาวเริ่มมีขึ้นเมื่อขุนนางต้องการรายได้คงที่เพื่อความฟุ่มเฟือยของตน
300. ระบบศักดินาในยุโรปพังทลายจากการพัฒนาการค้าขายและอุตสาหกรรมในเมือง
.
.

---------------------------------------------


อดัม สมิธได้วางรากฐานความคิดเศรษฐศาสตร์แบบตลาดเสรีที่ยังใช้ได้จนถึงยุคปัจจุบัน ผ่านการชี้ให้เห็นประโยชน์ของการแบ่งงานกันทำ บทบาทของทุน การค้าเสรี กลไกราคา และการพัฒนาเทคโนโลยี ในการช่วยเพิ่มความมั่งคั่งให้กับประเทศ มีเนื้อหาที่เป็นบริบทของปี ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นปีที่ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก ตรงกับช่วงที่ยุโรปกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และสหรัฐอเมริกากำลังประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 248 ปี ยาวนานกว่าการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ แต่หลักคิดหลายประการก็ยังเป็นรากฐานให้กับระบบทุนนิยมและวิชาเศรษฐศาสตร์ในทุกวันนี้

.

.

.

.

#SuccessStrategies

.

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

สรุปหนังสือ "One Up On Wall Street" เขียนโดย Peter Lynch

Next
Next

สรุป 30 แนวคิดสั้นๆจากหนังสือ How to Day Trade for a Living เขียนโดย Dr. Andrew Aziz