Fooled by Randomness: ความสามารถหรือโชคชะตา อะไรมีผลต่อความสำเร็จ? (และเหตุผลที่คุณไม่ถูกหวยวันนี้) Part 1

Fooled by Randomness: ความสามารถหรือโชคชะตา อะไรมีผลต่อความสำเร็จ? (และเหตุผลที่คุณไม่ถูกหวยวันนี้) Part 1
.
ในหนังสือเล่มนี้ Nassim Taleb จะมาเปิดเผยว่าโชคชะตากำลังหลอกเราให้คิดว่าเราควบคุมทุกอย่างได้
.
ความสำเร็จที่เราภาคภูมิใจว่าสร้างขึ้นด้วยความพยายามของเราเองนั้น อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้เราเข้าใจผิดว่าทั้งหมดเกิดจากฝีมือ! ทั้งที่แท้จริงแล้ว…โชคอาจเป็นตัวแปรที่สำคัญกว่าที่เราคิด
.
และถ้าคุณอ่านบทความนี้แล้วไม่เห็นด้วย และคิดว่าแอดคนนี้จะมีคำตอบให้ทุกคำถามแล้วล่ะก็... แอดก็จะขอตอบว่า... แอดไม่รู้อะไรเลย และแอดระวังตัวอยู่เสมอ! (เมื่ออ่านจนจบคุณจะรู้ว่าทำไมแอดถึงตอบแบบนี้)
.
.
--------------------------------
.
ห้องบรรยายขนาดใหญ่ในมหาวิทยาลัยเงียบกริบ เมื่อ Nassim Taleb ก้าวขึ้นเวที เขาสวมสูทสีดำที่ดูเรียบหรูแต่ไม่ถึงกับเคร่งขรึม แววตาฉายประกายขบขันและท้าทาย ราวกับกำลังจะเล่าความลับบางอย่างที่น่าตื่นเต้น
.
.
"วันนี้หวยออกพอดี มีใครในห้องนี้เคยเล่นหวยไหม?" เขาถามพลางกวาดตามองนักศึกษา "ไม่ต้องยกมือหรอก"
.
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ
.
"แต่ผมรู้ว่าพวกคุณเล่นกันทุกคน... รวมถึงอาจารย์ที่นั่งอยู่หลังห้องด้วย"
.
"และผมพนันได้ว่า ทุกคนในห้องนี้มีเพื่อนสักคนที่เคยถูกหวย... แล้วเพื่อนคนนั้นบอกอะไรคุณ?"
.
เขาหยิบชอล์กขึ้นมาเขียนบนกระดาน:
.
"✓ ฝันเห็นเลขมาชัดเจน
✓ จำวันเกิดคนในบ้านมารวมกัน
✓ ดูเลขทะเบียนรถที่ชนกัน
✓ ตีความจากข่าวดัง
✓ นั่งสมาธิจนเห็นตัวเลข"
.
"มนุษย์เรามีพรสวรรค์พิเศษอย่างหนึ่ง..." เขาวงกลมรอบรายการทั้งหมด "นั่นคือการสร้างเรื่องราวที่มีเหตุผล... จากเหตุการณ์ที่ไม่มีเหตุผลเลย"
.
"เราทนไม่ได้กับความไม่แน่นอน... ทนไม่ได้กับความบังเอิญ... ทนไม่ได้กับการที่บางสิ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล"
.
"เราเลยสร้างเรื่องราวขึ้นมา... สร้างรูปแบบ... สร้างทฤษฎี... เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น"
.
"และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เราถูกหลอกโดยความบังเอิญ... ครั้งแล้วครั้งเล่า"
.
.
--------------------------------
.
[ บทที่ 1: ถ้าคุณรวยนัก ทำไมไม่ฉลาดซะที? ]
.
.
Taleb เดินไปที่โต๊ะบรรยาย หยิบนิตยสาร Forbes, Fortune และ Business Week ที่วางซ้อนกันเป็นตั้ง เขาเปิดดูปกที่เต็มไปด้วยภาพมหาเศรษฐีใบหน้าเปี่ยมสุข พร้อมพาดหัวเรื่องสูตรแห่งความสำเร็จ
.
"ปีที่แล้วมีหนังสือขายดีเกี่ยวกับ 'นิสัยของคนรวย' ออกมากี่เล่มรู้ไหม?" เขาถามพลางโยนนิตยสารลงบนโต๊ะทีละเล่ม "นับไม่ถ้วน...และพวกมันมักจะเขียนแบบนี้..."
.
เขาหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งขึ้นมา เปิดอ่านด้วยน้ำเสียงล้อเลียน แฝงความเยาะหยัน:
.
"ตื่นตี 4 ทุกวัน...กินอาหารเพื่อสุขภาพ...ออกกำลังกายตอนเช้า...อ่านหนังสือวันละเล่ม...ทำสมาธิทุกเช้า...ตั้งเป้าหมายทุกวัน..." เขาปิดหนังสือดังปัง "น่าทึ่งมากใช่ไหม?"
.
แล้วเขาก็โยนหนังสือลงถังขยะ "แต่มีใครเคยถามบ้างไหมว่า...มีคนที่ทำทุกอย่างนี้แล้วล้มเหลวกี่คน?"
.
เขาเดินไปที่กระดานดำ วาดภาพภูเขาสองลูก ลูกหนึ่งสูงตระหง่าน อีกลูกเตี้ยกว่ามาก
.
"นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Survivorship Bias" เขาชี้ไปที่ยอดเขาสูง "เราเห็นแต่คนที่ปีนขึ้นไปถึงยอด แล้วก็คิดว่า 'อ๋อ ถ้าทำตามขั้นตอนพวกนี้ เราก็จะขึ้นไปถึงจุดนั้นได้เหมือนกัน'"
.
"แต่เรามองไม่เห็น..." เขาวงกลมรอบฐานภูเขา "คนอีกนับพันนับหมื่นที่ทำตามขั้นตอนเดียวกันทุกประการ แต่ไม่เคยไปถึงไหน หรือแย่กว่านั้น...พวกเขาอาจจะตกเขาตายระหว่างทาง"
.
เขาหยิบลูกเต๋าสองลูกขึ้นมา ทอยลงบนโต๊ะ
.
"สมมติว่าเรามีเทรดเดอร์ 10,000 คน แต่ละคนมีโอกาส 50/50 ที่จะกำไรหรือขาดทุนในแต่ละปี เหมือนการทอยเหรียญ" เขาเริ่มเขียนตัวเลขบนกระดาน "ปีที่ 1 จะเหลือ 5,000 คนที่กำไร ปีที่ 2 เหลือ 2,500 คน..." เขาเขียนไปเรื่อยๆ จนถึง "ปีที่ 5 เหลือแค่ 313 คน"
.
"และรู้ไหมคนพวกนี้จะถูกเรียกว่าอะไร?"
.
"อัจฉริยะ!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังห้อง
"ปรมาจารย์การเงิน!" อีกเสียงแทรกขึ้น
"ผู้วิเศษแห่งวอลล์สตรีท!" เสียงที่สามประสานเข้ามา
.
Taleb ยิ้มขำ "ถูกต้อง! และแล้วพวกเขาก็จะได้ขึ้นปกนิตยสาร ออกรายการทีวี เขียนหนังสือขายดี เปิดคอร์สสอนราคาแพงลิบ..."
.
"แต่ความจริงก็คือ..." เขาโยนลูกเต๋าขึ้นลงในมือ "พวกเขาแค่โชคดี 5 ครั้งติดต่อกัน เหมือนคนทอยเหรียญแล้วออกหัว 5 ครั้งรวด ไม่ต่างกัน"
.
"และที่น่าขันที่สุดคือ..." เขายิ้มมุมปาก "คนพวกนี้จะเชื่อสุดหัวใจว่าความสำเร็จมาจากความสามารถของตัวเอง พวกเขาจะเขียนหนังสือบอกว่า 'ผมรวยเพราะผมตื่นตี 4...ผมประสบความสำเร็จเพราะผมกินสลัด...ผมเก่งเพราะผมอ่านหนังสือวันละเล่ม'"
.
เขาโยนลูกเต๋าลงถังขยะ เสียงกระทบก้นถังดังกร๊อบ
.
"ทั้งที่จริงๆ แล้ว...พวกเขาแค่เป็นคนโชคดีที่บังเอิญทำพฤติกรรมเหล่านั้น เหมือนคนถูกหวยที่บอกว่าถูกเพราะฝันเห็น...ทั้งที่มีคนฝันเห็นเลขแล้วไม่ถูกอีกเป็นล้านคน"
.
.
------------------------------
.
[ บทที่ 2: บัญชีที่แปลกประหลาด ]
.
.
Taleb หยิบปืนปลอมสีเงินวับขึ้นมา เสียงในห้องเงียบกริบทันที นักศึกษาบางคนถึงกับกลั้นหายใจ แม้จะรู้ว่ามันเป็นแค่ของจำลอง
.
"รัสเซียนรูเล็ต..." เขาหมุนลูกโม่ช้าๆ เสียงกลไกดังกริ๊ก กริ๊ก "เกมที่มีกระสุนหนึ่งนัดในรังหกนัด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณมีโอกาสรอด 83.33% และโอกาสตาย 16.67%"
.
เขาหยุดหมุน แล้วยื่นปืนไปข้างหน้า "ถ้าผมเสนอเงิน 10 ล้านดอลลาร์... แลกกับการเล่นเกมนี้หนึ่งครั้ง... ใครอยากลอง?"
.
ห้องเงียบกริบ ไม่มีใครยกมือ บางคนถึงกับหน้าเหวอ
.
"น่าแปลกนะ" เขายิ้มมุมปาก "ทั้งที่โอกาสรวยมีตั้ง 83.33%... แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยง"
.
เขาเขียนสมการบนกระดาน:
Expected Value = (83.33% × $10,000,000) - (16.67% × ∞) = ???
.
"ในทางคณิตศาสตร์ นี่เป็นข้อเสนอที่แย่มาก เพราะค่าความตายเป็นอนันต์" เขาวงกลมเครื่องหมายอนันต์ "แต่รู้ไหม? มีคนเล่นเกมแบบนี้ทุกวันในวอลล์สตรีท"
.
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ธุรกิจขึ้นมา อ่านพาดหัวข่าว:
.
"'กองทุนใหม่! รับประกันผลตอบแทน 30% ต่อปี'
'สตาร์ทอัพสุดฮอต! โต 100% ในสามเดือน'
'หุ้นพุ่งทะลุเพดาน! ราคาพุ่ง 10 เท่าในหนึ่งปี'"
.
"ทุกคนเห็นแต่กราฟขาขึ้น" เขาฉีกหนังสือพิมพ์ทิ้ง "แต่ไม่มีใครเห็นระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่"
.
เขาหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมา จิบเบาๆ
.
"เหมือนคนที่ดื่มไวน์ทุกมื้อ แล้วภูมิใจบอกว่า 'เห็นไหม ดื่มมา 20 ปี ยังแข็งแรงดี'" เขายกแก้วส่องไฟ "แต่พวกเขาลืมไปว่า ความเสี่ยงไม่ได้สะสมแบบเส้นตรง... มันสะสมแบบก้าวกระโดด"
.
จู่ๆ เขาก็ปล่อยแก้วหล่น... แต่คว้าไว้ทัน เสียงนักศึกษาหลายคนร้อง "โอ้!" ด้วยความตกใจ
.
"20 ปีแรกอาจไม่เป็นไร..." เขายิ้มขณะวางแก้วลงอย่างนุ่มนวล "แต่ปีที่ 21 ตับอาจวายในคืนเดียว"
.
เขาหยิบรูปทีมผู้บริหาร Long-Term Capital Management ขึ้นมา
.
"นี่คือตัวอย่างที่ดีที่สุด... กองทุนที่มีทุกอย่างครบ:
.
- นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสองคน
- ทีมเทรดเดอร์ระดับตำนาน
- กลยุทธ์ที่ผ่านการพิสูจน์
- ผลตอบแทน 40% ต่อปี..."
.
เขาค่อยๆ ฉีกรูปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย "และแล้ววันหนึ่ง... พัง... ในเวลาไม่กี่วัน"
.
"นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า Silent Risk... ความเสี่ยงที่แอบซ่อนตัว"
.
เขาวาดรูปภูเขาน้ำแข็งบนกระดาน
.
"มันเหมือนภูเขาน้ำแข็ง คุณเห็นแค่ส่วนยอด แต่ไม่รู้ว่าข้างล่างใหญ่แค่ไหน
เหมือนระเบิดเวลา คุณไม่รู้ว่ามันจะระเบิดเมื่อไหร่
เหมือนมะเร็ง คุณอาจไม่รู้ตัวจนกว่าจะสายเกินไป"
.
"แต่รู้ไหมอะไรน่ากลัวที่สุด?" Taleb หยิบปืนปลอมขึ้นมาอีกครั้ง
.
"คนที่รอดจากรัสเซียนรูเล็ตครั้งแรก มักจะเริ่มคิดว่าตัวเองมีของ... มีพรสวรรค์พิเศษ... มีดวงดี... แล้วก็อยากเล่นต่อ"
.
"Bang!" เขาเหนี่ยวไกปืนปลอมกะทันหัน เสียงดังสนั่นห้อง นักศึกษาหลายคนสะดุ้งโหยง บางคนถึงกับร้องเสียงหลง
.
"และนั่นคือจุดจบของคนส่วนใหญ่" เขาวางปืนลงช้าๆ "เพราะในเกมแห่งความเสี่ยงสูง... ไม่มีใครเก่งพอที่จะเอาชนะความน่าจะเป็นได้ตลอดไป"
.
.
---------------------------------
.
[ บทที่ 3: การคำนวณและความลวง ]
.
.
Taleb เดินไปที่คอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรมที่เต็มไปด้วยกราฟและตัวเลขซับซ้อน
.
"Monte Carlo Simulation" เขาพูดพลางกดปุ่มรัน โปรแกรมเริ่มประมวลผล ตัวเลขนับพันวิ่งผ่านหน้าจอ "นี่คือวิธีที่ฉลาดกว่าในการมองอนาคต... ดีกว่าการดูแค่อดีต"
.
บนจอปรากฏกราฟสามเส้น:
.
"เส้นแดง - สถานการณ์แย่ที่สุด
เส้นเขียว - สถานการณ์ดีที่สุด
เส้นเทา - ค่าเฉลี่ย"
.
"แต่รู้ไหมคนส่วนใหญ่ทำอะไร?" เขากดปุ่มซ่อนเส้นสีแดงและเทา เหลือแต่เส้นสีเขียวที่พุ่งขึ้นสวยงาม
.
"พวกเขามองแต่ด้านดี... แล้วเรียกมันว่า 'การคิดบวก'"
.
เขาหยิบหนังสือ Self-Help จากชั้นหนังสือใกล้ๆ อ่านชื่อเรื่องด้วยน้ำเสียงล้อเลียน:
.
"'คิดบวก รวยชัวร์!'
'จินตนาการถึงความสำเร็จแล้วจะสำเร็จ!'
'คิดว่าทำได้ แล้วจะทำได้!'"
.
เขาปิดหนังสือเสียงดัง โยนลงถังขยะ
.
"นั่นไม่ใช่การคิดบวก... นั่นคือการหลอกตัวเอง"
.
เขาวาดรูปสมองบนกระดาน แบ่งเป็นสองซีก:
.
"ซีกซ้าย: ตรรกะ การคำนวณ เหตุผล
ซีกขวา: อารมณ์ ความรู้สึก จินตนาการ"
.
"แต่เวลาเราเจอความเสี่ยง..." เขาหันมามองผู้ฟัง "เดาซิว่าส่วนไหนทำงานก่อน?"
.
นักศึกษาหญิงคนหนึ่งยกมือ "ซีกซ้ายหรือคะ? เพราะเราต้องคิดให้รอบคอบ?"
.
"ผิด!" Taleb ตบกระดานดังปัง ทำเอาทุกคนสะดุ้ง "อารมณ์ทำงานก่อนเสมอ แล้วเหตุผลจะตามมาทีหลัง... เพื่อหาข้ออ้างให้กับสิ่งที่อารมณ์เราอยากทำ"
.
เขาเปิดกราฟราคา Bitcoin ในช่วงปี 2017 ขึ้นบนจอ
.
"ดูนี่..." เขาชี้ไปที่กราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตื่นตา "เมื่อราคาพุ่งแบบนี้ สมองเราจะทำงานตามลำดับดังนี้:
.
อารมณ์ตะโกนก่อน: 'ว้าว! ต้องรีบซื้อก่อนสาย!'
เหตุผลพยายามแทรก: 'เดี๋ยวก่อน มาดูปัจจัยพื้นฐานให้ดีก่อน...'
อารมณ์ตะโกนดังขึ้น: 'ไม่ทันแล้ว! คนอื่นรวยกันหมดแล้ว!'
เหตุผลพยายามอีกครั้ง: 'แต่ความเสี่ยงมันสูงนะ...'
อารมณ์ตะโกนกลบ: 'ช่างมันเถอะ! ลุยเลย!'"
.
เขาเลื่อนกราฟไปที่ช่วงราคาร่วง ปี 2018
.
"แล้วพอราคาร่วง... คนพวกเดียวกันนี้จะพูดว่า:
.
'ใครจะไปรู้ว่ามันจะร่วงขนาดนี้?'
'มันเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้'
'โชคไม่ดีจริงๆ'"
.
Taleb หยิบลูกบอลขึ้นมา โยนขึ้นสูง
.
"ทั้งที่มันเป็นกฎธรรมชาติที่เรียบง่าย:
.
- ทุกอย่างที่ขึ้นต้องลง เหมือนแรงโน้มถ่วง
- ทุกอย่างที่เกินจริงต้องปรับตัว เหมือนกฎตลาด
- ทุกอย่างที่สุดโต่งต้องกลับสู่สมดุล เหมือนกฎธรรมชาติ"
.
เขารับลูกบอลที่ตกลงมาอย่างนุ่มนวล
.
"แต่ทำไมเราถึงมองไม่เห็นความจริงที่เรียบง่ายพวกนี้?" เขาถามพลางกลิ้งลูกบอลไปมาบนโต๊ะ
.
"เพราะเรามีอคติติดตัวมาหลายอย่าง:
.
Confirmation Bias - เราเลือกเห็นแต่สิ่งที่สนับสนุนความเชื่อของเรา
'หุ้นตัวนี้ต้องขึ้น เพราะกูรูที่ผมเชื่อก็บอกว่าขึ้น'
.
Hindsight Bias - เราคิดว่าทุกอย่างชัดเจนหลังเกิดเรื่องแล้ว
'ผมก็ว่าแล้วว่ามันต้องร่วง แต่ดันไม่ได้ขาย'
.
Narrative Fallacy - เราชอบสร้างเรื่องราวที่มีเหตุผลจากความบังเอิญ
'ที่หุ้นขึ้นเพราะผมวิเคราะห์เก่ง ที่หุ้นลงเพราะโชคไม่ดี'"
.
เขาวาดรูปลิงสามตัวบนกระดาน:
.
" ลิงปิดตา - ไม่อยากเห็นความเสี่ยง
ลิงปิดหู - ไม่อยากฟังคำเตือน
ลิงปิดปาก - ไม่อยากยอมรับความจริง
.
และนี่คือสาเหตุที่ประวัติศาสตร์วนซ้ำเดิม...
ที่ฟองสบู่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ที่คนทำผิดพลาดเดิมๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่า..."
.
เขาหยุดพูดชั่วครู่ มองออกไปนอกหน้าต่าง
.
"เพราะเราไม่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์จริงๆ... เราแค่พยายามหาทางอธิบายมันให้สวยหรู เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น"
.
.
---------------------------------
.
[ บทที่ 4: บทกวีในชุดกาวน์ ]
.
.
Taleb หยิบหนังสือกวีบทเล่มเก่าขึ้นมา เปิดอ่านด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล:
.
"ดอกไม้บานยามเช้า
สายลมพัดโบกไหว
ผีเสื้อโผบินไปมา
ช่างงดงามเหลือใจ..."
.
เขาปิดหนังสือช้าๆ มองไปรอบห้องด้วยสายตาเจือรอยยิ้ม
.
"มีใครอยากรู้ความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์ไหมว่า สายลมจะพัดทิศไหน? หรืออยากคำนวณความเร็วเฉลี่ยของผีเสื้อ? หรือต้องการสมการทำนายว่าดอกไม้จะบานกี่โมง?"
.
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง
.
"บางสิ่งในชีวิต..." เขาโบกหนังสือในมือเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วยตรรกะ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ความรัก ความงาม หรือศรัทธา"
.
แต่แล้วสีหน้าเขาก็เคร่งขึ้น เมื่อหยิบรายงานการเงินหนาเตอะขึ้นมา
.
"แต่เมื่อเราต้องเสี่ยงเงิน เสี่ยงอนาคต เสี่ยงชีวิต... เราควรใช้ตรรกะให้มากขึ้น"
.
เขาเดินไปที่กระดาน เขียนชื่อหนังสือ "The Selfish Gene"
.
"หนังสือเล่มนี้..." เขาชี้ไปที่ชื่อหนังสือ "เต็มไปด้วยสมการที่ดูน่าประทับใจ แต่ลึกๆ แล้ว มันเป็นแค่บทกวีที่แต่งดี ใส่คณิตศาสตร์เข้าไปให้ดูขลัง"
.
เขาหยิบเสื้อกาวน์ขาวสะอาดขึ้นมาสวม แล้วเดินไปเดินมาหน้าห้องด้วยท่าทางขึงขัง
.
"นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ก็เหมือนกัน... พวกเขาชอบใส่สมการให้ดูซับซ้อน ใช้ศัพท์แสงให้ดูเท่ แต่ลึกๆ แล้ว พวกเขากำลังทำอะไร?"
.
เขาวาดรูปลูกเต๋าบนกระดาน:
.
"พวกเขากำลังเดาว่า:
.
- ตลาดจะขึ้นหรือลง
- เศรษฐกิจจะโตหรือถดถอย
- หุ้นตัวไหนจะพุ่งหรือร่วง"
.
"แต่พวกเขาไม่เรียกมันว่า 'การเดา'..." เขายิ้มเยาะ "พวกเขาเรียกมันว่า:
.
- การวิเคราะห์เชิงปริมาณ
- การคาดการณ์ด้วย AI
- การทำนายด้วย Big Data"
.
"ฟังดูเท่กว่าเยอะเลย ใช่ไหม?" เขาถอดแว่นตาออก เช็ดเบาๆ
.
"และนี่คือปัญหาของวงการวิชาการ..." เขาวาดรูปหอคอยงาช้างสูงเสียดฟ้า
.
"พวกเขาสร้างทฤษฎีที่ซับซ้อนจนเกินจำเป็น
ใช้คำศัพท์ที่คนทั่วไปฟังไม่รู้เรื่อง
อ้างอิงงานวิจัยนับร้องนับพัน..."
.
เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปที่ท้องฟ้า
.
"แต่พวกเขาลืมความจริงข้อหนึ่ง..." เขาหันกลับมา "โลกความเป็นจริงนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายด้วยสมการ ไม่ว่าจะซับซ้อนแค่ไหน"
.
เขาวาดรูปผีเสื้อตัวเล็กๆ บนกระดาน
.
"ผีเสื้อตัวเดียวกระพือปีก อาจทำให้เกิดพายุอีกซีกโลก... ใครจะไปคำนวณได้?
ทวีตเดียวจาก Elon Musk อาจทำให้ตลาดคริปโตร่วง... ใครจะไปทำนายได้?
ข่าวลือเล็กๆ จากจีน อาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกป่วน... ใครจะไปรู้ล่วงหน้าได้?"
.
เขาสวมแว่นตาหนาเตอะ แกล้งทำเสียงขรึมแบบนักวิชาการ
.
"'อ่า... ตามทฤษฎีของผม..." เขาแกล้งกระแอมไอ "ถ้าเราใส่ตัวแปร X เข้าไปในสมการ Y แล้วคูณด้วย Z...'"
.
เขาถอดแว่นออก โยนลงถังขยะ
.
"นั่นแหละ... เหตุผลที่นักวิชาการส่วนใหญ่เป็นคนจน"
.
เสียงหัวเราะดังลั่นห้อง แม้แต่อาจารย์ที่นั่งหลังห้องยังอดยิ้มไม่ได้
.
"พวกเขามัวแต่สร้างทฤษฎีที่สวยหรู... แต่ลืมว่าโลกจริงนั้นวุ่นวาย สกปรก และไม่เคยทำตามสมการของใคร"
.
เขาหยิบรูป Mike Tyson ขึ้นมา
.
"อย่างที่ Mike Tyson เคยพูดไว้..." เขายิ้มมุมปาก "'ทุกคนมีแผนการที่สมบูรณ์แบบ... จนกระทั่งโดนต่อยเข้าที่หน้า'"
.
เขาวางรูปลง หยิบชอล์กขึ้นมาอีกครั้ง
.
"และนี่คือบทเรียนสำคัญ: อย่าหลงเชื่อคนที่อ้างว่าเข้าใจโลกทั้งใบผ่านสมการ... เพราะบางทีพวกเขาอาจแค่กำลังเขียนบทกวี แต่ใส่ตัวเลขเข้าไปให้ดูขลังเท่านั้นเอง"
.
.
------------------------------
.
[ บทที่ 5: ความอยู่รอดของผู้ที่ไม่แข็งแกร่งที่สุด ]
.
.
Taleb หยิบกระถางต้นไม้เล็กๆ ขึ้นมาวางบนโต๊ะ ข้างๆ มีรูปถ่ายต้นไม้ที่ตายไปแล้วหลายต้น ดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าต้นที่รอด
.
"ใครเคยได้ยินทฤษฎีวิวัฒนาการของ Darwin บ้าง?" เขาถาม มือหลายสิบยกขึ้นพร้อมกัน
.
"และพวกคุณคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไร?"
.
"ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่รอด!" เสียงหนึ่งตะโกนมาจากด้านหลัง
"คนที่ปรับตัวได้ดีที่สุดจะชนะ!" อีกเสียงเสริม
"ผู้ที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นผู้อยู่รอด!" เสียงที่สามดังขึ้น
.
"ผิดทั้งหมด..." Taleb ส่ายหน้าช้าๆ "หรือพูดให้ถูกก็คือ... มันซับซ้อนกว่านั้นมาก"
.
เขาชี้ไปที่ต้นไม้ในกระถาง มันดูบอบบางกว่าต้นที่ตายไปมาก
.
"ต้นไม้ต้นนี้... มันไม่ได้แข็งแรงที่สุด ไม่ได้สวยที่สุด ไม่ได้ปรับตัวเก่งที่สุด แต่มันรอด... ทำไมรู้ไหม?"
.
เขาเขียนบนกระดาน:
.
" ความบังเอิญ - มันบังเอิญอยู่ในที่ที่เหมาะสม
จังหวะเวลา - มันเติบโตในช่วงที่สภาพอากาศพอดี
สภาพแวดล้อม - มันได้รับน้ำและแสงในปริมาณที่ใช้ได้"
.
"วิวัฒนาการไม่ได้เป็นเส้นตรงที่มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบ" เขาวาดเส้นคดเคี้ยวบนกระดาน
.
"บางครั้งมันเดินหลงทาง... เหมือนไดโนเสาร์ที่วิวัฒนาการจนตัวใหญ่เกินไป
บางครั้งมันถอยหลัง... เหมือนปลาที่กลับลงทะเล
บางครั้งมันติดอยู่ในวงกลม... เหมือนแมลงที่ไม่เปลี่ยนแปลงนับล้านปี"
.
เขาหยิบหนังสือธุรกิจขึ้นมาอีกครั้ง อ่านพาดหัว:
.
"'บริษัทที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่รอด!'
'ตลาดจะคัดสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุด!'
'องค์กรที่ปรับตัวได้จะชนะ!'"
.
เขาโยนหนังสือลงถังขยะ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือเก่าๆ ขึ้นมา
.
"Nokia... เคยเป็นผู้นำโทรศัพท์มือถือ ใครจะแข่งด้วยก็แพ้ยับ
Kodak... เคยผูกขาดวงการถ่ายภาพ มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด
Blockbuster... เคยเป็นเจ้าพ่อวงการเช่าหนัง มีสาขาทั่วโลก"
.
"พวกเขาแข็งแกร่งไหม?" เขาถามห้อง "แข็งแกร่งมาก!"
"พวกเขาปรับตัวไหม?" เขาถามต่อ "ปรับตัวตลอดเวลา!"
"แล้วทำไมพวกเขาถึงล้ม?"
.
เขาวาดรูปดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนไดโนเสาร์บนกระดาน
.
"บางครั้ง... สิ่งที่ทำให้คุณล้มไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่คาดไม่ถึง
.
เหมือนไดโนเสาร์...
พวกมันแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
ครองโลกมา 165 ล้านปี
แต่สุดท้าย... พังเพราะดาวเคราะห์น้อยลูกเดียว"
.
เขาหยิบจานเพาะเชื้อขึ้นมา มองผ่านแสงไฟ
.
"ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่ดูอ่อนแอที่สุด... แบคทีเรีย... ไวรัส... กลับอยู่รอดมาได้หลายพันล้านปี"
.
"ทำไมรู้ไหม?" เขาวางจานเพาะเชื้อลง แล้วเขียนบนกระดาน:
.
"1. ไม่ต้องการทรัพยากรมาก - อยู่ง่าย กินง่าย
2. ปรับตัวได้เร็ว - เปลี่ยนแปลงได้ทันที
3. ไม่มีจุดอ่อนใหญ่ๆ - ไม่มีจุดตายที่ชัดเจน"
.
"เหมือนธุรกิจขนาดเล็กที่อยู่รอดผ่านวิกฤตมาได้..." เขายิ้ม
.
"พวกเขาไม่ได้ใหญ่ที่สุด - แค่ร้านเล็กๆ
ไม่ได้รวยที่สุด - แค่พออยู่ได้
ไม่ได้เก่งที่สุด - แค่ทำงานไปวันๆ
.
แต่พวกเขารอด... เพราะ:
- ค่าใช้จ่ายต่ำ - ไม่มีหนี้ก้อนโต
- ปรับตัวง่าย - เปลี่ยนแผนได้เร็ว
- ไม่มีภาระ - ไม่ต้องแบกรับอะไรมาก"
.
เขาหยิบต้นไม้เล็กๆ ในกระถางขึ้นมาอีกครั้ง
.
"และนี่คือบทเรียนที่สำคัญที่สุด..." เขามองผ่านใบไม้บางๆ ที่สั่นไหวในแสงแดด
.
"บางครั้ง... การอยู่รอดไม่ได้มาจากความแข็งแกร่ง
ไม่ได้มาจากความฉลาด
ไม่ได้มาจากการปรับตัว
.
แต่มาจากความเรียบง่าย... ความยืดหยุ่น... และบางที... อาจจะแค่โชค"
.
.
----------------------------------
.
[ บทที่ 6: ความเบี่ยงเบนและความไม่สมมาตร ]
.
.
Taleb หยิบกราฟรูประฆังที่คุ้นตาขึ้นมา เขาลูบเส้นโค้งที่สวยงามอย่างทะนุถนอม
.
"รูปนี้สวยใช่ไหม?" เขาถามพลางชูให้ทุกคนเห็น "สมมาตร... สมบูรณ์แบบ... คาดเดาได้... นี่คือสิ่งที่พวกนักสถิติหลงรัก"
.
แล้วจู่ๆ เขาก็หยิบกรรไกรขึ้นมา ตัดกราฟครึ่งหนึ่งทิ้งอย่างไร้ความปรานี เสียงนักศึกษาหลายคนร้อง "โอ๊ะ!" ด้วยความตกใจ
.
"แต่โลกแห่งความเป็นจริงไม่เคยสมมาตรแบบนี้" เขาโยนกราฟที่ถูกตัดครึ่งทิ้งลงถังขยะ
.
เขาหันไปที่กระดาน วาดกราฟใหม่ที่บิดเบี้ยวผิดรูป
.
"สมมติว่าคุณเป็นแพทย์... และคุณต้องบอกคนไข้ว่า 'คนที่เป็นโรคนี้จะมีชีวิตอยู่เฉลี่ย 8 เดือน'"
.
เขาวาดจุดบนกราฟ:
.
"แต่ความจริงที่น่ากลัวคือ:
.
- 20% ตายภายในเดือนแรก
- 30% อยู่ได้ครึ่งปี
- 40% อยู่ได้หนึ่งปี
- และมี 10% ที่อยู่ได้ถึง 5 ปี"
.
"'ค่าเฉลี่ย 8 เดือน' ในกรณีนี้... มันไม่มีความหมายอะไรเลย" เขาลากเส้นผ่านจุดต่างๆ "มันเป็นแค่ตัวเลขลวงตา ที่ปิดบังความจริงอันน่ากลัวเอาไว้"
.
เขาล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา
.
"หรือเหมือนเงินเดือนเฉลี่ยของคนในห้องนี้..." เขามองไปรอบห้อง "สมมติในห้องนี้มี:
.
- นักศึกษา 99 คน เงินเดือน 0 บาท
- และ Mark Zuckerberg 1 คน เงินเดือน 1,000 ล้านบาท"
.
"เงินเดือนเฉลี่ยจะเท่ากับ 10 ล้านบาท" เขาเขียนตัวเลขบนกระดาน "ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริงของใครในห้องนี้เลย... ไม่แม้แต่คนเดียว"
.
เขาวาดกราฟใหม่บนกระดาน เป็นเส้นที่มีหางยาวผิดปกติ
.
"นี่คือความจริงของโลก..." เขาชี้ไปที่กราฟ "มันไม่เคยสมมาตร:
.
หนังสือ 99% ขายไม่ออก... มีแค่ 1% ที่ขายดีจนร่ำรวย
หนัง 99% ขาดทุน... มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ทำเงินมหาศาล
ธุรกิจ 99% ล้มเหลว... มีแค่หยิบมือเดียวที่ประสบความสำเร็จ"
.
เขาหันมามองนักศึกษา ดวงตาฉายแววเป็นห่วง
.
"แต่รู้ไหมอะไรคือปัญหา?"
.
เขาวาดรูปนักลงทุนที่กำลังจ้องมองกราฟ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
.
"คนส่วนใหญ่มองแต่ค่าเฉลี่ย... แล้วคิดว่าตัวเองจะได้ผลลัพธ์แบบนั้น
.
'หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี' - แต่ไม่รู้ว่าบางคนอาจขาดทุนยับ
'อสังหาฯ ราคาขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี' - แต่ลืมว่าบางทำเลอาจราคาร่วง
'ธุรกิจมีกำไรเฉลี่ย 20% ต่อปี' - แต่มองข้ามว่าส่วนใหญ่อยู่ไม่รอดปีแรก"
.
เขาวาดรูปเรือกำลังจม
.
"ความจริงก็คือ...
.
- บางครั้งคุณอาจโชคร้ายจนล้มละลาย
- บางครั้งคุณอาจโชคดีจนรวยเป็นพันล้าน
- แต่ส่วนใหญ่... คุณจะอยู่ตรงกลาง ไม่รวยไม่จน ดิ้นรนไปวันๆ"
.
"แล้วเราจะรับมือกับความไม่สมมาตรนี้ยังไง?"
.
เขาเขียนคำแนะนำบนกระดาน:
.
"1. อย่าดูแค่ค่าเฉลี่ย... มันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา
2. เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์สุดขั้ว... ทั้งดีและร้าย
3. อย่าเอาชีวิตไปพึ่งความน่าจะเป็น... มันอาจทำร้ายคุณ"
.
เขาวาดรูปหงส์ดำตัวใหญ่
.
"เพราะในโลกที่ไม่สมมาตรนี้... บางครั้งเหตุการณ์ที่ 'เป็นไปไม่ได้' กลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่ 'เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง'"
.
.
------------------------------
.
[ บทที่ 7: ปัญหาของการอนุมาน ]
.
.
Taleb หยิบถุงผ้าใบใหญ่ขึ้นมา เทลูกแก้วลงบนโต๊ะ... ลูกแก้วทั้งหมดเป็นสีขาว แวววาวใต้แสงไฟ
.
"สมมติว่าผมให้คุณดูลูกแก้วทีละลูก..." เขาหยิบลูกแก้วขึ้นมาทีละลูก วางเรียงกันช้าๆ
.
"ลูกที่ 1: สีขาว
ลูกที่ 2: สีขาว
ลูกที่ 3: สีขาว..."
.
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 100 ลูก
.
"หลังจากเห็นลูกแก้วสีขาว 100 ลูกติดต่อกัน..." เขาหยุด มองไปรอบห้อง "คุณกล้าสรุปไหมว่า ลูกแก้วทั้งหมดในถุงนี้ต้องเป็นสีขาว?"
.
"กล้าครับ!" นักศึกษาหลายคนตะโกนพร้อมกัน "เห็นชัดๆ แบบนี้ ต้องเป็นสีขาวทั้งหมดแน่นอน"
.
"แน่ใจนะ?" Taleb ยิ้มมุมปาก แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบลูกแก้วสีดำสนิทออกมา
.
"นี่คือปัญหาของการอนุมาน (Induction)..." เขาหมุนลูกแก้วสีดำในมือ
.
"ไม่ว่าคุณจะเห็นหงส์ขาวกี่ตัว...
ไม่ว่าคุณจะเห็นลูกแก้วสีขาวกี่ลูก...
ไม่ว่าคุณจะเห็นตลาดขึ้นกี่ครั้ง...
.
คุณไม่มีทางพิสูจน์ได้ 100% ว่า 'ทุกครั้ง' จะเป็นแบบนั้น"
.
เขาหยิบหนังสือของ George Soros ขึ้นมา
.
"Soros เขียนในหนังสือว่า 'ระบบเทรดของผมใช้ได้ผล เพราะพอร์ตของผมกำไร'"
.
"นั่นคือการใช้ตรรกะที่ผิด..." เขาโยนหนังสือทิ้ง "เหมือนคนที่พูดว่า:
.
'ผมสูบบุหรี่ 40 ปี ยังแข็งแรงดี = บุหรี่ไม่อันตราย'
'ผมขับรถเร็วมาตลอด ไม่เคยชน = ขับเร็วปลอดภัย'
'ผมเทรดกำไรมา 10 ปี = ระบบผมเจ๋ง'"
.
เขาวาดรูปไก่ตัวอ้วนบนกระดาน
.
"นี่คือสิ่งที่เรียกว่า 'ปัญหาไก่งวง'" เขาเริ่มเล่า "ลองนึกถึงไก่งวงตัวหนึ่ง มันถูกเลี้ยงดูอย่างดีทุกวัน...
.
วันที่ 1: ได้อาหารเต็มที่
วันที่ 2: ได้อาหารเต็มที่
วันที่ 3: ได้อาหารเต็มที่..."
.
เขาเขียนไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 364

"ทุกวัน ความเชื่อของมันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น... 'เจ้าของรักฉัน อยากให้ฉันอิ่มท้อง อยากให้ฉันอ้วนพี'"
.
แล้วเขาก็วาดรูปขวานข้างๆ ไก่
.
"จนกระทั่งวันคริสต์มาสมาถึง..." เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ปล่อยให้ห้องเงียบกริบ "และนั่นคือวันที่มันได้รู้ว่า... การที่มันได้กินดีมาตลอด 364 วัน ไม่ได้รับประกันอะไรเลยสำหรับวันที่ 365"
.
เขาวาดกราฟแท่งที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็ดิ่งลง
.
"เหมือนกองทุน Long-Term Capital Management..." เขาชี้ไปที่กราฟ
.
"- กำไร 40% ต่อปี ไม่เคยพลาด
- มีนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสองคน
- มีโมเดลคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในโลก
- มีประสบการณ์การเทรดนับสิบปี
.
แต่สุดท้าย... พังในเวลาไม่กี่วัน"
.
"หรือจะเป็น Bernie Madoff..." เขาวาดกราฟอีกเส้น
.
"- ผลตอบแทนสม่ำเสมอ 30 ปี ไม่เคยขาดทุน
- เป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ
- เป็นที่ปรึกษาให้ SEC
- มีความน่าเชื่อถือระดับตำนาน
.
แต่ทั้งหมดเป็นแค่แผนหลอกลวง... ที่ต้องพังสักวัน"
.
เขาหยิบไพ่ขึ้นมาสำรับหนึ่ง สับไพ่อย่างคล่องแคล่ว
.
"ชีวิตเหมือนการเล่นไพ่..." เขาแจกไพ่ให้นักศึกษาแถวหน้า "คุณอาจได้ไพ่ดีติดต่อกัน 10 ตา แต่นั่นไม่ได้แปลว่า:
.
1. คุณเก่ง
2. คุณโชคดีตลอดไป
3. ตาต่อไปคุณจะได้ไพ่ดีอีก"
.
.
--------------------------------
.
[ บทส่งท้าย Fooled by Randomness Part 1 ]
.
.
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าใครเก่งจริง?" Taleb เก็บไพ่กลับใส่กล่อง แล้วเดินไปที่กระดาน
.
เขาเขียนรายการ 4 ข้อ:
.
"1. ดูที่กระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์
.
- คนโชคดีจะคุยแต่เรื่องกำไร
- คนเก่งจริงจะอธิบายได้ว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น
.
.
2. ดูว่าเขารับมือความเสี่ยงยังไง
.
- คนโชคดีมักจะประมาท กล้าเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ
- คนเก่งจริงจะระมัดระวัง รู้ว่าโชคอาจหมดเมื่อไหร่ก็ได้
.
.
3. ดูว่าเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดยังไง
.
- คนโชคดีมักจะโทษคนอื่น โทษปัจจัยภายนอก
- คนเก่งจริงจะวิเคราะห์ตัวเอง หาจุดที่ต้องปรับปรุง
.
.
4. ดูว่าเขายอมรับความไม่แน่นอนได้แค่ไหน
.
- คนโชคดีมักจะมั่นใจเกินเหตุ เชื่อว่าตัวเองควบคุมทุกอย่างได้
- คนเก่งจริงจะถ่อมตัว รู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้"
.
.
เขาหยุดชั่วครู่ มองไปที่นักศึกษา (และคุณที่เลื่อนข้ามบทความมาอ่านตอนจบก่อน)
.
"เพราะในที่สุดแล้ว... คนที่เก่งจริงจะไม่พูดว่า 'ผมรู้ทุกอย่าง'...
.
แต่จะพูดว่า 'ผมไม่รู้อะไรเลย... และผมระวังตัวเสมอ'"

.

.

.

.

#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

Fooled by Randomness ความสามารถหรือโชคชะตา อะไรมีผลต่อความสำเร็จ? (และเหตุผลที่คุณไม่ถูกหวยเมื่อวาน) Final Part

Next
Next

93 บทเรียนชีวิตจาก Charlie Munger จากหนังสือ Poor Charlie's Almanack: The Wit and Wisdom of Charles T. Munger และ 25 Psychological Tendencies