Fooled by Randomness ความสามารถหรือโชคชะตา อะไรมีผลต่อความสำเร็จ? (และเหตุผลที่คุณไม่ถูกหวยเมื่อวาน) Final Part
Fooled by Randomness ความสามารถหรือโชคชะตา อะไรมีผลต่อความสำเร็จ? (และเหตุผลที่คุณไม่ถูกหวยเมื่อวาน) Final Part
.
"ทำไมนักต้มตุ๋นที่เก่งที่สุด มักจะไม่ใช่คนที่โกหกเก่งที่สุด?"
.
Taleb เริ่มบรรยายอีกครั้ง
.
เขาหยิบนิตยสารธุรกิจเล่มหนึ่งขึ้นมา บนปกเป็นรูปนักธุรกิจหนุ่มในชุดสูท
.
"เพราะนักต้มตุ๋นที่เก่งที่สุด... ไม่จำเป็นต้องโกหกเลย เขาแค่ต้องเข้าใจว่า คนเราชอบหลอกตัวเอง"
.
"ดูนี่สิ..." เขาเปิดดูบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร
.
"'เคล็ดลับความสำเร็จของผม? ผมตื่นตี 4 ทุกวัน อ่านหนังสือวันละ 2 เล่ม และใช้เทคนิคลับที่ผมค้นพบ...'"
.
"และคนก็เชื่อ... ซื้อคอร์สเรียน ซื้อหนังสือ เข้าสัมมนา โดยไม่รู้เลยว่า..."
.
เขาปิดนิตยสารลง
.
"ความสำเร็จที่เราเห็น อาจไม่ได้มาจากความสามารถหรือความชาญฉลาด แต่อาจเป็นเพียงความบังเอิญที่แฝงตัวมาในรูปแบบที่หลอกให้เราคิดว่ามันมีแบบแผน"
.
"และมีคนจำนวนไม่น้อย..." เขายิ้มมุมปาก "ที่รู้ความจริงข้อนี้ดี และใช้มันหากินกับความอยากประสบความสำเร็จของผู้คน"
.
.
------------------------------------
.
ใน Part 1 เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ Survivorship Bias ที่ทำให้เรามองเห็นแต่ผู้ชนะ เราได้เห็นว่าสถิติและค่าเฉลี่ยอาจเป็นเพียงภาพลวงตา และเราได้เข้าใจว่าทำไมคนฉลาดถึงมักตกเป็นเหยื่อของความซับซ้อนที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง
.
แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
.
ใน Final Part นี้ เราจะได้เจาะลึกเข้าไปในจิตใจมนุษย์ เพื่อดูว่าทำไมเราถึงหลงเชื่อในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ทำไมเราถึงสร้างรูปแบบจากความไร้ระเบียบ และทำไมเราถึงยึดติดกับความเชื่อที่ผิด แม้จะมีหลักฐานมากมายมาหักล้างก็ตาม
.
.
------------------------------
.
."ปี 1720..." Taleb พูด "ไอแซค นิวตัน... อัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก สูญเสียเงินมูลค่าเทียบเท่า 4 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน จากการลงทุนในบริษัท South Sea"
.
เขาหยิบรูปเก่าของนิวตันขึ้นมา
.
"ชายที่สามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาว...
.
คนที่อธิบายกฎแรงโน้มถ่วง...
.
อัจฉริยะที่เข้าใจกลไกของจักรวาล..."
.
"แต่เขากลับพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก... หลังจากสูญเสียความมั่งคั่งมหาศาล:"
.
"'ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาวได้... แต่ไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของมนุษย์'"
.
"รู้ไหมอะไรทำให้เขาพลาด? ไม่ใช่ความโง่... แต่เป็นความมั่นใจในความฉลาดของตัวเอง"
.
.
-----------------------------
.
[ บทที่ 8: นกพิราบในกล่อง ]
.
.
ห้องบรรยายเงียบลงชั่วขณะ เมื่อ Taleb กลับมาพร้อมกล่องใสขนาดใหญ่
.
"วันนี้..." เขายิ้มมุมปาก "ผมจะแสดงให้เห็นว่า มนุษย์เราอาจจะไม่ได้ฉลาดไปกว่านกในกล่องนี้เท่าไหร่"
.
ภายในกล่อง นกพิราบขาวตัวหนึ่งกำลังเดินวนไปมา ทำท่าประหลาด ราวกับกำลังเต้นรำ
.
"นี่คือการทดลองที่โด่งดังของ B.F. Skinner" Taleb เคาะกล่องเบาๆ "แต่ก่อนจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น... ผมอยากถามว่า มีใครในห้องนี้มีพิธีกรรมแปลกๆ ก่อนสอบบ้าง?"
.
นักศึกษาหลายคนยกมือ
.
"ต้องใส่เสื้อตัวโปรด?"
"ต้องกินไก่ทอด?"
"ต้องสวดมนต์ 9 จบ?"
.
"น่าสนใจ..." Taleb พยักหน้า "แล้วถ้าผมบอกว่า พวกคุณกำลังทำเหมือนนกในกล่องนี้พอดี?"
.
เขาเปิดวิดีโอบนจอ แสดงให้เห็นนกสามตัวในกล่องทดลอง
.
"ดูนกตัวแรกสิ..." เขาชี้ไปที่จอ "มันหมุนวนซ้าย 3 รอบก่อนกินทุกมื้อ ราวกับกำลังเต้นระบำ"
.
นักศึกษาหัวเราะ
.
"ตัวที่สองน่ะ... สุดยอดไปเลย" เขาทำท่าเลียนแบบ "กระพือปีก 2 ครั้ง ก้มหัวคำนับ แล้วค่อยกิน เหมือนกำลังบูชาเทพเจ้า"
.
เสียงหัวเราะดังขึ้น
.
"แต่ตัวที่สามนี่... ผมว่ามันน่าจะเป็นพระในชาติที่แล้ว" เขายิ้ม "มันก้มหัว 4 ครั้ง พนมปีก แล้วค่อยๆ จิกอาหาร... เหมือนกำลังสวดมนต์ก่อนฉัน"
.
ห้องเรียนระเบิดเสียงหัวเราะ
.
"แต่รู้ไหมอะไรน่าขำที่สุด?" Taleb หยุดวิดีโอ "Skinner แค่ให้อาหารแบบสุ่มๆ... แต่นกพวกนี้กลับคิดว่าพิธีกรรมของมันศักดิ์สิทธิ์"
.
เขาหันมามองนักศึกษา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจัง
.
"และพวกเราก็ไม่ต่างกัน...
เทรดเดอร์ที่ต้องดื่มกาแฟแก้วที่ 3 ก่อนเปิดกราฟ
นักธุรกิจที่ต้องนั่งเก้าอี้ตัวเดิมทุกการประชุม
นักกีฬาที่ต้องใส่ถุงเท้าข้างซ้ายก่อนขวา..."
.
"เราทุกคนล้วนมี 'พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์' ที่เราเชื่อว่าจะนำพาความสำเร็จมาให้"
.
เขาเคาะกล่องเบาๆ อีกครั้ง นกพิราบยังคงเดินวนไปมา
.
"แต่บางที... เราอาจจะไม่ต่างอะไรจากนกในกล่องนี้...
ที่หลงคิดว่าการเต้นระบำของมันมีผลต่อการตกของอาหาร"
.
.
"เราเรียกสิ่งนี้ว่า Superstitious Learning... การเรียนรู้แบบงมงาย"
.
เขาวาดภาพสมองบนกระดาน แบ่งเป็นส่วนๆ
.
"สมองมนุษย์ถูกออกแบบมาให้หาความเชื่อมโยง... มันเป็นสิ่งที่ช่วยให้บรรพบุรุษเราอยู่รอด:
.
เห็น A เกิดขึ้นก่อน
แล้วเห็น B เกิดขึ้นตามมา
สมองก็สรุปว่า: A ต้องเป็นสาเหตุของ B"
.
"ในสมัยก่อน นี่เป็นเรื่องดี" เขาอธิบาย "เห็นรอยเท้าเสือ แล้วเพื่อนหาย = ไม่ควรเข้าใกล้รอยเท้าแบบนี้
.
กินเห็ดสีแดง แล้วปวดท้อง = ไม่ควรกินเห็ดสีนี้"
.
"แต่ในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความสุ่ม... สมองแบบนี้กลับทำให้เราหลงทาง"
.
เขาหยิบกราฟหุ้นขึ้นมา ชี้ไปที่จุดที่ราคาพุ่งขึ้น:
.
"'ทุกครั้งที่ดูเทคนิคอล หุ้นวิ่งตามที่คาด!' - ลืมไปว่ามีกี่ครั้งที่ดูผิด
.
'พอใส่เสื้อตัวนี้ เทรดกำไรทุกวัน!' - ลืมไปว่าตลาดกำลังขาขึ้น
.
'ต้องนั่งเก้าอี้ตัวนี้ถึงจะเทรดดี!' - ลืมไปว่าช่วงนั้นแค่โชคดี"
.
"เหมือนนกพิราบในกล่อง..." เขาชี้ไปที่นกที่ยังคงเดินวนไปมา "ที่คิดว่าพิธีกรรมของมันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่มันแค่บังเอิญ"
.
"แล้วเราจะเอาชนะมันได้ยังไง?"
.
เขาเขียนวิธีแก้บนกระดาน:
.
"1. แยกแยะให้ออกระหว่าง:
.
- ทักษะจริง VS ความบังเอิญ
- ระบบที่ทำซ้ำได้ VS โชคชะตา
- การวิเคราะห์ VS ความงมงาย
.
2. ทดสอบความเชื่อของตัวเอง:
.
- จดบันทึกทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว
- หาหลักฐานที่ขัดแย้งกับความเชื่อของเรา
- ดูผลลัพธ์ระยะยาว ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง"
.
เขาปล่อยนกพิราบออกจากกล่อง มันบินวนอยู่ในห้องสองสามรอบก่อนเกาะที่ขอบหน้าต่าง
.
"แต่การเอาชนะความเชื่อผิดๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย..." Taleb มองตามนกที่เพิ่งบินไป "เพราะบางครั้งความเชื่อเหล่านั้นให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเรา"
.
เขาวาดภาพนักเทรดสามคนบนกระดาน:
.
" นักเทรดคนแรกเชื่อว่าต้องใส่สูทสีน้ำเงินถึงจะกำไร
คนที่สองเชื่อว่าต้องดื่มกาแฟสามแก้วก่อนเทรด
คนที่สามเชื่อว่าต้องเปิดเพลงคลาสสิคระหว่างเทรด"
.
"พวกเขารู้ลึกๆ ว่ามันไม่มีเหตุผล... แต่พิธีกรรมเหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจ และบางครั้ง... ความมั่นใจก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีจริงๆ"
.
"นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด..." เขาเน้นเสียง "เมื่อความงมงายให้ผลดีบังเอิญ 2-3 ครั้ง มันจะฝังรากลึกจนถอนออกยาก"
.
"3. ยอมรับว่าบางอย่างควบคุมไม่ได้:" เขาเขียนต่อบนกระดาน
.
"- บางครั้งคุณทำทุกอย่างถูก แต่ยังแพ้
- บางครั้งคุณทำทุกอย่างผิด แต่ยังชนะ
- บางครั้งไม่มีเหตุผลอะไรเลย... มันแค่เกิดขึ้น"
.
เขาหันมามองนักศึกษา สีหน้าจริงจัง
.
"และนี่คือความจริงที่ขมขื่นที่สุด... บางทีชีวิตก็เหมือนการทดลองของ Skinner นี่แหละ เราคิดว่าเราควบคุมทุกอย่างได้ คิดว่าเรารู้ว่าทำไมถึงประสบความสำเร็จ คิดว่าเรามีสูตรวิเศษ..."
.
"ทั้งที่จริงๆ แล้ว..." เขามองไปที่นกพิราบที่ยังคงเกาะอยู่ที่หน้าต่าง "เราอาจจะแค่กำลังหมุนวนอยู่ในกล่อง รอให้อาหารตกลงมา... โดยไม่รู้เลยว่าทำไม"
.
.
------------------------------------
.
[ บทที่ 9: เมื่อสมการซับซ้อนไม่เท่ากับฉลาด ]
.
.
Taleb เดินไปที่โต๊ะ หยิบแฟ้มเอกสารเก่าๆ ขึ้นมา ภายในมีกระดาษเต็มไปด้วยสมการคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน
.
"Long-Term Capital Management..." เขาพูดชื่อนี้ช้าๆ "กองทุนที่มีทุกอย่างที่ใครๆ ก็อยากมี:
.
- นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสองคน
- ทีมเทรดเดอร์ระดับตำนาน
- สมการคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในโลก
- คอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดในตลาด"
.
เขาโยนแฟ้มลงบนโต๊ะ เสียงดังปึง
.
"พวกเขาสร้างแบบจำลองที่สมบูรณ์แบบ คำนวณความเสี่ยงทุกรูปแบบ ทำนายทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น..."
.
เขาหยุดพูดชั่วครู่ มองไปที่ผู้ฟัง
.
"แต่พวกเขาลืมคำนวณอะไรรู้ไหม?"
.
ห้องเงียบกริบ
.
"พวกเขาลืมคำนวณว่า... พวกเขาอาจจะคำนวณผิด"
.
เขาเปิดกราฟบนจอ แสดงให้เห็นผลตอบแทนของ LTCM ที่พุ่งขึ้นอย่างสวยงามติดต่อกันหลายปี
.
"ดูนี่สิ... 40% ต่อปี... ไม่เคยขาดทุน... ทุกอย่างเป็นไปตามทฤษฎี" เขาชี้ไปที่กราฟช่วงขาขึ้น
.
"และนั่นทำให้พวกเขาเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ... เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ... ใช้ leverage สูงขึ้นเรื่อยๆ..."
.
แล้วเขาก็เลื่อนกราฟไปที่จุดพลิกผัน ปี 1998
.
"จนกระทั่งวันหนึ่ง... สิ่งที่พวกเขาคิดว่า 'เป็นไปไม่ได้' ก็เกิดขึ้น"
.
เขาวาดรูปหงส์ดำบนกระดาน
.
"รัสเซียประกาศผิดนัดชำระหนี้... ตลาดทั่วโลกป่วน... คอร์รีเลชั่นที่พวกเขาคำนวณไว้พังครืน... และในเวลาไม่กี่วัน... กองทุนที่มีสมการที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกก็ล้มละลาย"
.
"แต่รู้ไหมอะไรน่ากลัวที่สุด?" เขาหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอีกครั้ง เปิดดูสมการที่ซับซ้อน
.
"ไม่ใช่การล้มละลาย... แต่เป็นความมั่นใจที่พวกเขามีก่อนล้ม พวกเขามั่นใจในสมการมากเสียจนลืมไปว่า... สมการทุกตัวในโลกนี้ มันก็แค่วิธีที่มนุษย์พยายามจะเข้าใจโลก... มันไม่ใช่โลกจริงๆ"
.
เขาเขียนบนกระดาน:
.
"บทเรียนจาก LTCM:
.
1. ความซับซ้อนสร้างความเปราะบาง
.
- ยิ่งระบบซับซ้อน ยิ่งมีจุดที่พังได้มาก
- ยิ่งใช้ตัวแปรเยอะ ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดสูง
- ยิ่งมีชิ้นส่วนเยอะ ยิ่งควบคุมยาก"
.
เขาหยิบนาฬิกาพกเรือนเก่าขึ้นมา
.
"เหมือนนาฬิกาโบราณ..." เขาเปิดฝาให้เห็นฟันเฟืองนับร้อยชิ้น "มันสวยงาม... ซับซ้อน... น่าทึ่ง... แต่ถ้าฟันเฟืองตัวเดียวพัง... ทั้งระบบก็พังตาม"
.
"2. อย่าสับสนระหว่างแผนที่กับดินแดน
.
- สมการคือแผนที่ ไม่ใช่ดินแดนจริง
- โมเดลคือการจำลอง ไม่ใช่ความเป็นจริง
- ทฤษฎีคือการคาดเดา ไม่ใช่กฎตายตัว"
.
เขาหยิบแผนที่โลกขึ้นมา
.
"ไม่มีแผนที่ใดสมบูรณ์แบบ... เพราะถ้ามันสมบูรณ์แบบ มันก็ต้องใหญ่เท่าโลกจริงๆ" เขายิ้ม "เหมือนที่ Jorge Luis Borges เคยเขียนไว้ในนิยายของเขา"
.
"3. ระวัง Success Trap
.
- ยิ่งประสบความสำเร็จ ยิ่งมั่นใจ
- ยิ่งมั่นใจ ยิ่งเสี่ยงมาก
- ยิ่งเสี่ยงมาก ยิ่งมีโอกาสพังหนัก"
.
เขาวาดภาพนักปีนเขา
.
"เหมือนนักปีนเขา... ยิ่งปีนสูง ยิ่งมั่นใจ ยิ่งประมาท... จนลืมไปว่า... ยิ่งสูง ยิ่งตกหนัก"
.
"4. เตรียมพร้อมรับมือกับ Unknown Unknowns
.
- สิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้ ยังพอรับมือได้
- แต่สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ นั่นแหละที่อันตราย"
.
เขาหยิบกล่องสีดำใบเล็กขึ้นมา
.
"สมมติว่าผมมีลูกเต๋าอยู่ในกล่องนี้" เขาเขย่ากล่องเบาๆ "คุณไม่รู้ว่ามันมีกี่ด้าน ไม่รู้ว่าแต่ละด้านมีตัวเลขอะไร ไม่รู้ว่ามันทำจากวัสดุอะไร..."
.
"นี่คือสิ่งที่ LTCM เจอ... พวกเขาคิดว่าเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่จู่ๆ ก็พบว่ากำลังเล่นเกมที่ไม่รู้กติกา ด้วยลูกเต๋าที่ไม่เคยเห็น"
.
เขาวางกล่องลง หยิบชอล์กขึ้นมาเขียนต่อ:
.
"5. วิธีอยู่รอดในโลกที่ซับซ้อน:
.
- ทำให้เรียบง่าย (Simplify)
'ระบบที่ดีที่สุดคือระบบที่เรียบง่ายที่สุดที่ยังทำงานได้'
.
- รักษาความยืดหยุ่น (Stay Flexible)
'อย่าผูกติดกับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง'
.
- เก็บกระสุนไว้ยามฉุกเฉิน (Keep Reserves)
'เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่คิดไม่ถึง'
.
- อย่าเสี่ยงเกินตัว (Don't Over-leverage)
'ไม่มีระบบไหนดีพอจะเสี่ยงทุกอย่างที่มี'"
.
"และบทเรียนสุดท้าย..." เขาหยุดชั่วครู่ มองไปที่สมการซับซ้อนในแฟ้ม LTCM
.
"อย่าหลงรักความฉลาดของตัวเอง... เพราะบางทีความฉลาดที่มากเกินไป อาจพาเราไปสู่ความโง่ที่ซับซ้อนกว่าก็ได้"
.
.
--------------------------
.
[ บทที่ 10: ความน่าจะเป็นและความสงสัย ]
.
.
Taleb หยิบวารสารวิชาการหลายฉบับขึ้นมา วางซ้อนกันเป็นกองสูง
.
"วิทยาศาสตร์นั้นยอดเยี่ยม..." เขาพูดช้าๆ "แต่นักวิทยาศาสตร์นั้น... เป็นแค่มนุษย์"
.
เขาหยิบบทความวิจัยขึ้นมาฉบับหนึ่ง
.
"'การศึกษาพบว่า...'
'งานวิจัยยืนยันว่า...'
'ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า...'"
.
เขาโยนบทความลงถังขยะ
.
"รู้ไหมอะไรคือปัญหาใหญ่ของวงการวิชาการ?"
.
เขาเขียนบนกระดาน:
.
" Confirmation Bias ในวงการวิทยาศาสตร์:
.
1. นักวิทยาศาสตร์ 'แต่งงาน' กับทฤษฎีของตัวเอง
.
- ปกป้องความคิดตัวเองสุดชีวิต
- มองข้ามหลักฐานที่ขัดแย้ง
- โจมตีคนที่เห็นต่าง
.
2. Replication Crisis (วิกฤตการทำซ้ำ)
.
- งานวิจัย 70% ทำซ้ำไม่ได้
- ผลลัพธ์ไม่เหมือนเดิม
- แต่ไม่มีใครยอมรับความผิดพลาด"
.
เขาวาดรูปสุสาน
.
"นั่นเป็นเหตุผลที่ Max Planck เคยพูดว่า... 'วิทยาศาสตร์พัฒนาไปทีละงานศพ'"
.
"เพราะนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก่าไม่ยอมเปลี่ยนความคิด... ต้องรอให้พวกเขาตายไปก่อน คนรุ่นใหม่ถึงจะกล้าท้าทายความเชื่อเดิมๆ"
.
เขาวาดภาพนักวิทยาศาสตร์สามคน:
.
" 'ทฤษฎีของผมถูกต้องที่สุด!'
'ไม่! ของฉันต่างหากที่ถูก!'
'พวกคุณผิดทั้งคู่ ของผมเท่านั้นที่ถูก!'"
.
"แทนที่จะแสวงหาความจริง... พวกเขากลับแย่งชิงความถูกต้อง
แทนที่จะยอมรับความผิดพลาด... พวกเขากลับหาข้อแก้ตัว
แทนที่จะเปิดใจเรียนรู้... พวกเขากลับปิดหูปิดตา"
.
เขาเขียนคำพูดของ Richard Feynman:
.
"'วิทยาศาสตร์คือความเชื่อในความไม่รู้ของผู้เชี่ยวชาญ'"
.
"นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงต้อง:
.
1. สงสัยในทุกสิ่ง... แม้แต่ความเชื่อของตัวเอง
2. ยอมรับความผิดพลาด... เมื่อมีหลักฐานใหม่
3. กล้าเปลี่ยนความคิด... เมื่อความจริงเปลี่ยนไป"
.
เขาวาดรูปนักปราชญ์โบราณ Socrates
.
"Socrates เคยพูดว่า... 'ฉันรู้แค่ว่าฉันไม่รู้อะไรเลย'
.
"เพราะในที่สุดแล้ว..." เขาปิดวารสารวิชาการเล่มสุดท้าย
.
"นักวิทยาศาสตร์ที่กล้ายอมรับว่าตัวเองผิด
.
ยังดีกว่า
.
นักวิทยาศาสตร์ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ"
.
.
---------------------------------
.
[ บทที่ 11: จังหวะเวลาของโชคชะตา ]
.
.
Taleb หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา เปิดดูราคา Bitcoin
.
"ใครจำได้บ้าง... ช่วงปลายปี 2021?" เขาฉายกราฟ Bitcoin ขึ้นจอ "ราคาพุ่งไปถึง 69,000 ดอลลาร์ และเราได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาด..."
.
"เด็กอายุ 25 กลายเป็นมหาเศรษฐีชั่วข้ามคืน
YouTuber กลายเป็นกูรูการลงทุน
Crypto Bros คุยโวว่าเข้าใจอนาคตดีกว่า Warren Buffett"
.
เขาเลื่อนกราฟมาที่ปี 2022
.
"Sam Bankman-Fried... อายุแค่ 30 ปี มีทรัพย์สิน 26 พันล้านดอลลาร์
Do Kwon... ผู้สร้าง Terra/LUNA พูดจาเย้ยหยันนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล
3AC... กองทุนที่อ้างว่ามีกลยุทธ์ที่เหนือชั้นกว่าใคร"
.
"และแล้ว..." เขาเลื่อนกราฟต่อ แสดงให้เห็นการร่วงลงอย่างรุนแรง
.
"ทุกอย่างพัง... ภายในไม่กี่เดือน
SBF ถูกจับข้อหาฉ้อโกง
LUNA เป็นศูนย์
3AC ล้มละลาย"
.
"แต่รู้ไหมอะไรน่าสนใจที่สุด?" เขาปิดกราฟ
.
เขาเดินไปที่กระดาน วาดรูปคนสามคน ข้างๆ มีเครื่องหมายดอลลาร์ลอยอยู่
.
"ก่อนที่ทุกอย่างจะพัง... คนพวกนี้เชื่อจริงๆ ว่าตัวเองฉลาด" เขาวงกลมรอบรูปวาด
.
"SBF บอกว่าเขามี 'การบริหารความเสี่ยงที่เหนือชั้น'
Do Kwon ประกาศว่าเขาสร้าง 'อัลกอริทึมที่สมบูรณ์แบบ'
3AC อ้างว่ามี 'ระบบที่ไม่มีทางพัง'"
.
"นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Success Delusion..." เขาเขียนคำนี้บนกระดาน "ภาพลวงตาที่เกิดจากความสำเร็จ"
.
"เมื่อคุณประสบความสำเร็จ... โดยเฉพาะความสำเร็จที่มาเร็วและมาแรง สมองของคุณจะทำงานแบบนี้:
.
1. ปฏิเสธบทบาทของโชค
.
- 'ไม่ใช่โชค... แต่เป็นวิสัยทัศน์ของผม'
- 'ไม่ใช่จังหวะ... แต่เป็นความสามารถของผม'
- 'ไม่ใช่กระแส... แต่เป็นการวิเคราะห์ของผม'
.
2. มองข้ามความเสี่ยง
.
- 'ผมรู้ว่ากำลังทำอะไร'
- 'ผมควบคุมสถานการณ์ได้'
- 'มันไม่มีทางพังหรอก'
.
3. ดูถูกคนอื่น
.
- 'คนรุ่นเก่าไม่เข้าใจ'
- 'คนที่เตือนแค่อิจฉา'
- 'โลกกำลังเปลี่ยน... แต่มีแค่ผมที่เห็น'"
.
เขาหยิบนิตยสารเก่าๆ ที่มีรูป Sam Bankman-Fried อยู่หน้าปก พร้อมพาดหัว "The Next Warren Buffett?" ขึ้นมา
.
"และนี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุด..." เขาพลิกดูบทสัมภาษณ์ "เมื่อสื่อ สังคม และคนรอบข้าง เริ่มเชื่อในภาพลวงตานั้นด้วย"
.
"'อัจฉริยะรุ่นใหม่!'
'ผู้ปฏิวัติวงการการเงิน!'
'มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์!'"
.
เขาโยนนิตยสารลงถังขยะ
.
"แต่รู้ไหม... ทุกฟองสบู่มีจุดจบเหมือนกันหมด:
.
1. เริ่มจากไอเดียที่ดี
.
- Internet ในยุค 2000
- บ้านในยุค 2008
- Crypto ในยุค 2021
.
2. ราคาพุ่งขึ้นเกินจริง
.
- คนที่เข้าก่อนรวยเร็ว
- คนที่พลาดอยากตามให้ทัน
- ทุกคนกลัวจะพลาดโอกาส
.
3. เกิดเรื่องเล่าใหม่
.
- 'ครั้งนี้มันต่างจากเดิม'
- 'โลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว'
- 'ถ้าไม่เข้าตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีก'
.
4. และสุดท้าย... ทุกอย่างก็พัง"
.
เขาวาดกราฟฟองสบู่บนกระดาน
.
"เพราะไม่มีอะไรที่จะขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเหตุผลรองรับ...
ไม่มีใครที่จะฉลาดไปตลอดโดยไม่เคยผิดพลาด...
ไม่มีระบบไหนที่จะสมบูรณ์แบบจนไม่มีจุดอ่อน..."
.
"แล้วเราจะป้องกันตัวเองจากภาพลวงตาพวกนี้ได้ยังไง?"
.
เขาเขียนบนกระดาน:
.
"1. เข้าใจว่าความสำเร็จมักมาจากสามส่วน:
.
20% ความสามารถ - สิ่งที่คุณควบคุมได้
40% โชค - จังหวะและโอกาส
40% สภาพแวดล้อม - กระแสและปัจจัยภายนอก"
.
"2. ระวังสัญญาณอันตราย:
.
รวยเร็วเกินไป - ยิ่งเร็ว ยิ่งเปราะบาง
มั่นใจเกินไป - ยิ่งมั่นใจ ยิ่งประมาท
ดูถูกคนอื่นมากเกินไป - ยิ่งดูถูก ยิ่งพลาดง่าย"
.
เขาหยิบรูปถ่ายเก่าๆ ของ Isaac Newton ขึ้นมา
.
"รู้ไหม แม้แต่ Isaac Newton ยังเคยเสียเงินในฟองสบู่ South Sea Company" เขายิ้มขำ "เขาพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก..."
.
"'ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาวได้... แต่ไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของมนุษย์ได้'"
.
เขาวางรูปลง หันมามองนักศึกษา
.
"เพราะในที่สุดแล้ว... สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ตลาด ไม่ใช่ความผันผวน ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ..."
.
"แต่เป็นความเชื่อมั่นของเราเองที่คิดว่า... เราฉลาดเกินกว่าจะพลาด"
.
.
--------------------------------------
.
[ บทสรุป Fooled by Randomness Final Part ]
.
.
" สิ่งที่เราเรียนรู้วันนี้:
.
1. ในบางเรื่อง ความสำเร็จส่วนใหญ่มาจากโชค
.
- ในบางเรื่อง…ทักษะสำคัญ แต่โชคสำคัญกว่า
- ในบางเรื่อง…ความพยายามจำเป็น แต่จังหวะสำคัญกว่า
- ในบางเรื่อง…ความฉลาดมีค่า แต่ความโชคดีมีค่ากว่า
.
เราแค่ต้องรู้ว่านั่นคือเรื่องไหน
.
"ความจริงที่น่าสนใจก็คือ..." Taleb ชี้ไปที่กระดานที่เขาแบ่งเป็นสองฝั่ง
.
"มีบางเรื่องในชีวิต... ที่ทักษะคือทุกอย่าง:
.
ศัลยแพทย์ต้องผ่าตัดให้แม่นยำ
นักเปียโนต้องซ้อมจนเพอร์เฟ็กต์
นักบินต้องเชี่ยวชาญทุกขั้นตอน"
.
"แต่ก็มีอีกหลายเรื่อง..." เขายิ้มเล็กน้อย "ที่โชคอาจสำคัญกว่าทักษะมาก:
.
ในการลงทุน... คุณอาจเก่งที่สุด แต่ถ้าเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ก็อาจหมดตัว
ในการทำธุรกิจ... คุณอาจมีไอเดียเยี่ยม แต่ถ้าจังหวะตลาดไม่ใช่ ก็อาจล้มเหลว
ในการสร้างสตาร์ทอัพ... คุณอาจทำงานหนักที่สุด แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้าง ก็อาจไม่สำเร็จ"
.
2. อย่าผยองในวันที่สำเร็จ
.
- วันนี้คุณอาจเป็นฮีโร่
- พรุ่งนี้คุณอาจเป็นศูนย์
- ความสำเร็จไม่ได้การันตีอนาคต
.
3. เตรียมพร้อมรับมือความไม่แน่นอน
.
- สร้างระบบที่ทนต่อความผันผวน
- อย่าเสี่ยงมากเกินไป
- เก็บเงินสำรองไว้เสมอ
.
4. รู้จักขีดจำกัดของตัวเอง
.
- ยอมรับว่าเราคาดเดาอนาคตไม่ได้
- ยอมรับว่าเราควบคุมทุกอย่างไม่ได้
- ยอมรับว่าเราอาจจะผิดได้เสมอ"
.
.
--------------------------
.
[ บทส่งท้าย: สนทนาว่าด้วยความพยายาม โชคชะตา และปรัชญาชีวิต ]
.
.
(บทความต่อจากนี้เป็นการวิเคราะห์แก่นความคิดใน Fooled by Randomness ผ่านบทสนทนาสมมติ เพื่อชวนให้ขบคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามและโชคชะตาในมุมที่กว้างขึ้น โดยไม่ใช่ทัศนะที่ Nassim Nicholas Taleb นำเสนอในหนังสือ)
.
.
Taleb กำลังจะพูดต่อ แต่มีนักศึกษาหญิงที่นั่งแถวหน้าลุกพรวดขึ้น ดวงตาเธอเป็นประกาย แสดงถึงความไม่เห็นด้วยอย่างแรง
.
"ขอโทษค่ะอาจารย์..." น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น "แต่หนูคิดว่าอาจารย์กำลังทำให้ทุกคนท้อแท้"
.
ห้องเรียนเงียบลงชั่วขณะ Taleb หันมามองด้วยความสนใจ
.
"การบอกว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องของโชค..." เธอสูดหายใจลึก มือกำแน่น "มันเหมือนกำลังบอกว่าความพยายามทั้งหมดไม่มีความหมาย"
.
เธอชี้ไปที่รูปบนผนัง
.
"Steve Jobs นอนบนพื้นในออฟฟิศเพราะทำงานดึกทุกคืน
Elon Musk แทบไม่ได้นอนตอนเริ่มต้น SpaceX
Warren Buffett ยังอ่านงบการเงินวันละ 500 หน้าจนถึงทุกวันนี้..."
.
"แล้วอาจารย์จะบอกว่านี่เป็นแค่เรื่องของโชค!?"
.
นักศึกษาชายผมยาวที่นั่งมุมห้องผุดลุกขึ้นบ้าง
.
"ใช่ครับ!" เขาเสริมเสียงดัง "ถ้าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องของโชค แล้วพวกเราทุกคนมานั่งเรียนที่นี่ทำไม? ทำไมต้องอ่านหนังสือ? ทำไมต้องฝึกฝน?"
.
Taleb ยิ้มบางๆ ก่อนวางชอล์กลงช้าๆ ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจกับการท้าทายนี้เลย
.
"คำถามที่ดีมาก..." เขาเดินช้าๆ มาที่กลางห้อง "และผมดีใจที่คุณถาม"
.
เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่ง มองสำรวจใบหน้าของนักศึกษาทุกคนที่กำลังรอฟังคำตอบ
.
"ลองคิดถึงนักเทนนิสสักคน..." เสียงของเขาทุ้มลึก "เขาตื่นตีสี่ทุกเช้า ซ้อมแปดชั่วโมงทุกวัน... เป็นเวลาสิบห้าปี"
.
เขาเดินไปที่กระดาน วาดภาพนักกีฬากำลังเสิร์ฟ
.
"ความทุ่มเทของเขาสร้าง:
กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง... จนตีลูกได้เร็วกว่าคนอื่น
สัญชาตญาณที่แม่นยำ... จนรู้ว่าลูกจะไปทางไหน
จิตใจที่เข้มแข็ง... จนไม่มีใครสู้ความอดทนได้"
.
เขาหยุดเขียน หันกลับมา
.
"แต่..." น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไป "นั่นแค่ให้เขามีสิทธิ์ลงแข่ง... ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะชนะ"
.
นักศึกษาหญิงคนเดิมขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะคะ?"
.
"เพราะยังมีสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้อีกมากมาย:
.
- ลมอาจพัดแรงเกินไปในวันแข่ง
- เขาอาจป่วยในช่วงสำคัญ
- คู่ต่อสู้อาจเล่นได้เหนือชั้นกว่าที่เคย
- หรือแค่... จังหวะการเล่นในวันนั้นไม่เป็นใจ"
.
"แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความพยายามไร้ค่า..." เขาเน้นเสียง "มันสำคัญมาก... แต่มันเป็นแค่ตั๋วเข้างาน ไม่ใช่ถ้วยรางวัล"
.
นักศึกษาหญิงยังไม่ยอมแพ้ เธอก้าวออกมาจากโต๊ะ ยืนตรงกลางห้อง
.
"แล้วเราควรทำยังไงคะ?" น้ำเสียงเธอสั่นเครือ "ถ้าสุดท้าย... ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับโชค?"
.
แสงสีส้มของยามเย็นสาดผ่านหน้าต่าง Taleb เดินไปที่ขอบหน้าต่าง มองออกไปที่ขอบฟ้าไกล
.
"ผมจะเล่าเรื่องของนักปีนเขาคนหนึ่งให้ฟัง..."
.
เขาวาดภาพยอดเขาสูงชันบนกระดาน เส้นชอล์กขีดเป็นเกล็ดหิมะและหน้าผาชัน
.
"เขาฝึกซ้อมทุกวัน ศึกษาเส้นทางทุกเส้น ซ้อมปีนจนนิ้วแตกและเลือดออก... และในที่สุด เขาก็พิชิตยอดเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ"
.
"เมื่อนักข่าวถามถึงความสำเร็จ... รู้ไหมเขาตอบว่าอะไร?"
.
ห้องเรียนเงียบกริบ
.
"'ผมแค่โชคดี...'" Taleb เว้นจังหวะ "'โชคดีที่อากาศดี... โชคดีที่หิมะไม่ถล่ม... โชคดีที่ร่างกายไม่ล้มป่วย...'"
.
เสียงกระซิบดังขึ้นในห้อง บางคนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
.
"แต่..." Taleb ยิ้มบาง "เขาพูดต่อว่า..."
.
"'ถ้าผมไม่ได้เตรียมตัวอย่างดีที่สุด...
ถ้าผมไม่ได้ซ้อมจนกระดูกแทบแตก...
ถ้าผมไม่ได้ทุ่มเททุกอย่างที่มี...
.
โชคดีแค่ไหน... ก็ไม่มีทางพาผมถึงยอดเขาได้'"
.
เขาวางชอล์กลง หันมามองนักศึกษาทั้งห้อง น้ำเสียงนุ่มลึก
.
"นี่คือความจริงที่สวยงามของชีวิต...
โชคชะตาอาจเป็นคนเลือกผู้ชนะ
แต่ความพยายามเป็นคนเลือกว่า... ใครจะมีสิทธิ์ถูกเลือก"
.
"เหมือนนักดนตรีที่ซ้อมจนนิ้วช้ำ..." Taleb พูดต่อ น้ำเสียงเข้มขึ้น
"วงออเคสตร้าอาจไม่เลือกเขา... แต่ถ้าเลือก เขาพร้อม
.
เหมือนนักเขียนที่เขียนทุกวันจนตาแทบบอด...
สำนักพิมพ์อาจปฏิเสธ... แต่ถ้าวันหนึ่งเขาได้โอกาส เขาจะไม่ทำให้มันสูญเปล่า
.
เหมือนนักธุรกิจที่ล้มลุกคลุกคลาน...
ตลาดอาจยังไม่พร้อม... แต่เมื่อจังหวะมาถึง เขาจะไม่มีอะไรให้เสียดายอีก"
.
.
นักศึกษาชายผู้มีหนวดเคราเหมือนนักปรัชญากรีก ที่เงียบมาตลอด ยกมือขึ้นช้าๆ
.
"แต่ผมมีข้อสงสัยครับ..." เสียงเขาใคร่ครวญ "มีสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาจริงๆ หรือครับ?"
.
เสียงกระซิบในห้องเงียบลง สายตาทุกคู่จับจ้องที่เขา
.
"ในจักรวาลที่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของเหตุและผล... ที่แม้แต่การเต้นของหัวใจก็มีที่มาที่ไป... สิ่งที่เราเรียกว่าโชคชะตา อาจเป็นแค่ขีดจำกัดในการรับรู้ของเราเองหรือเปล่า?"
.
เขาลุกขึ้นยืน แว่นสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น
.
"เหมือนที่ Marcus Aurelius เคยเขียนไว้... 'ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น'"
.
Taleb ยิ้มกว้างขึ้น เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเดินไปที่กระดาน หยิบลูกเต๋าขึ้นมา
.
"คำถามที่ยอดเยี่ยม..." เขาหมุนลูกเต๋าในมือ "มันพาเราไปสู่ความจริงที่ลึกซึ้งกว่านั้น..."
.
เขาชูลูกเต๋าขึ้น ให้ทุกคนเห็น
.
"ในทางทฤษฎีฟิสิกส์... ผลของลูกเต๋าถูกกำหนดไว้แล้วโดยสมบูรณ์:
.
- น้ำหนักของมัน
- แรงที่ใช้โยน
- มุมที่ปล่อย
- แรงเสียดทาน
- แม้แต่ความชื้นในอากาศ..."
.
เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนโยนลูกเต๋าขึ้นในอากาศ ปล่อยให้มันกลิ้งไปบนโต๊ะ
.
"โชคชะตา..." Taleb มองลูกเต๋าหยุดหมุน หงายหน้าเลขหกขึ้น "อาจไม่ใช่การปฏิเสธเหตุและผล แต่เป็นการยอมรับอย่างถ่อมตนว่า... มีบางสิ่งที่เราไม่มีวันรู้ได้ครบถ้วน"
.
.
แสงสุดท้ายของวันค่อยๆ จางหาย ทิ้งไว้เพียงความเงียบและความคิดที่คละเคล้า
.
และบางที... นี่คือบทเรียนที่สำคัญที่สุด
.
"เราไม่ได้พยายามเพราะมันรับประกันความสำเร็จ
แต่เราพยายามเพราะมันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น"
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.