สรุปหนังสือ Fooled by Randomness เขียนโดย Nassim Taleb
สรุปหนังสือ Fooled by Randomness เขียนโดย Nassim Taleb
.
Nassim Taleb เป็นนักเขียนและเทรดเดอร์ออปชันที่มีชื่อเสียง Taleb เป็นที่รู้จักจากหนังสืออย่าง The Black Swan, Antifragile และ Skin in the Game เขาทุ่มเทชีวิตทั้งหมดเพื่อศึกษาประเด็นเรื่องโชค ความไม่แน่นอน ความน่าจะเป็น เขาตั้งคำถามกับการใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อทำนายผลการดำเนินงานในอนาคต เขาเชื่อว่าต้องมีมากกว่าแค่ข้อมูล เพราะเหตุการณ์หายากอย่าง Black Swan มีโอกาสที่จะทำให้ข้อมูลทั้งหมดในอดีตกลายเป็นเรื่องไร้สาระ และประวัติศาสตร์ก็สอนเราว่าเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสามารถเกิดขึ้นจริงได้
.
---------------------------------------
.
#บทบาทของโชคและความบังเอิญในการลงทุน
เรื่องยากในตลาดการเงินคือการแยกแยะระหว่างโชคกับทักษะ ลองนึกภาพว่าถ้ามีคน 100,000 คนพยายามจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีใครสักคนประสบความสำเร็จเหมือน Warren Buffett
Taleb ไม่ได้พยายามบอกว่าไม่มีนักลงทุนที่มีทักษะอยู่จริงๆ เพราะตัวเขาเองก็ยังหาเลี้ยงชีพด้วยการเทรดในตลาด สิ่งที่เขาพยายามจะบอกในหนังสือเล่มนี้คือโชคหรือปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จในการลงทุนเป็นส่วนใหญ่ ความคิดหลักของเขาคือในโลกของเรา สิ่งต่างๆ มีความบังเอิญมากกว่าที่เราคิด ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญไปหมด
.
---------------------------------------
.
#ทำไมเราจึงควรพัฒนาความคิดที่กังขาและถ่อมตัว
บทเรียนสำคัญที่ Taleb แบ่งปันในหนังสือเล่มนี้คือการรักษาความคิดที่กังขาเอาไว้ เขาเขียนในคำนำว่า "การรักษาท่าทีที่กังขาไว้ ต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างแท้จริง ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมหาศาลในการมองเข้าไปในตัวเอง เผชิญหน้ากับตัวเอง และยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นพบหลักฐานมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าธรรมชาติออกแบบให้เราหลอกตัวเองโดยเฉพาะ"
ตัวอย่างของบาสเกตบอลเพื่อเปรียบเทียบกับวิธีการทำงานในโลกแห่งความจริงหรือในการลงทุน Stephen Curry หลายคนอาจรู้จักเขา เขาอาจจะโชคดีที่ยิงเข้าลูกแรกหรือลูกที่สองได้ท่ามกลางผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ตัวใหญ่ แต่เมื่อเห็น Curry ยิงเข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า และคว้าแชมป์หลายสมัย เราก็พูดได้ด้วยความมั่นใจระดับสูงมากว่าเขาไม่ใช่ตัวปลอมหรือแค่โชคดีในการยิงประตู
แต่ในการลงทุน คนที่มีผลงานดีเยี่ยมตลอด 5-10 ปี อาจจะแค่อยู่ในช่วงที่โชคเข้าข้างหรือเขาอาจจะอยู่ในกลุ่มหุ้นที่ดีที่สุดในตลาดช่วงเวลานั้นพอดี ยกตัวอย่างเช่น เขาอาจจะอยู่ในหุ้นเน้นคุณค่าในช่วงปี 2000 ตอนที่หุ้นเน้นคุณค่ากำลังมาแรง หรือเขียน Tech ETFs ตลอดช่วงปี 2010 จนถึงปัจจุบัน
ประเด็นหนึ่งที่ Taleb พูดถึงในบทนำ เขาพูดถึงว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เพราะโชค ก็สามารถถูกพรากไปด้วยโชคหรือความบังเอิญเช่นกัน ในตัวอย่างของนักลงทุนที่โชคดีในช่วงเวลา 10 ปี เขาจะต้องอาศัยโชคมากขึ้นเพื่อรักษาสถิตินี้เอาไว้ อย่างไรก็ตาม หากผลงานของเขาส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยทักษะ มันก็จะทนทานต่อความบังเอิญของตลาดมากกว่า
(ตรงกับประเด็นที่ Morgan Housel พูดในหนังสือเรื่อง The Same as It Ever Was ในบทที่ชื่อว่า Too Fast Too Soon ที่ว่าผลลัพธ์ที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวมากกว่าความสำเร็จระดับมหาศาลในช่วงเวลาอันสั้น ความสำเร็จที่สร้างมาเป็นเวลานาน จะยั่งยืนและทนทานต่อแรงกดดันจากภายนอกและความบังเอิญมากกว่า)
.
-----------------------------------------------
.
#เนโรและจอห์น
ในบทที่ 1 Taleb ได้เล่าเรื่องราวของตัวละครชื่อ Nero ซึ่งเป็นนักเทรดแนวอนุรักษ์นิยมที่ต้องการมีปีที่ดีอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการล่มสลาย รวมถึงหลีกเลี่ยงปีที่แย่ใดๆ Nero ทำเงินได้ดีพอสมควรในตลาด สไตล์การเทรดของเขาค่อนข้างเสี่ยงน้อย ส่วนหนึ่งเพราะอาชีพก่อนหน้านี้ของเขาที่ไม่ค่อยทำเงินและไม่ค่อยสนุก ทุกครั้งที่เขาคิดจะเพิ่มกำไรหรือความเสี่ยง เขาจะนึกถึงชีวิตในอาชีพเก่า
เขาเคยเห็นเทรดเดอร์หลายคนเจ๊งและเสียเงินไปหมด ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เรื่องนี้อิงจากยุค 90 ที่ Taleb เล่าถึง และเขาได้เพิ่มตัวละครอีกตัวชื่อ John ซึ่งอาศัยอยู่ตรงข้ามถนนกับ Nero
John มีบ้านใหญ่กว่าและเป็นเทรดเดอร์ high-yield ในมุมมองคนภายนอก John ประสบความสำเร็จมากกว่า Nero เขามีบ้านใหญ่กว่า รถเยอรมันสุดหรู 2 คัน และของเล่นราคาแพงอีกมากมาย Nero ไม่ได้อยากเป็นเหมือน John คือเทรดแบบเขาหรือใช้ชีวิตแบบเขา แต่เขาก็อดรู้สึกถึงแรงกดดันทางสังคมไม่ได้ John ซื้อของมาใส่บ้านเรื่อยๆ และทำให้ Nero รู้ตลอดว่าเขาใช้ชีวิตได้ดีแค่ไหน
John อาจจะไม่ได้เรียนสูง ฟิตไม่เท่า และอาจไม่ฉลาดเท่า Nero Taleb ชี้ให้เห็นงานวิจัยที่บอกว่าผู้คนส่วนใหญ่ชอบทำเงินปีละ 70,000 ดอลลาร์ตอนที่คนรอบข้างทำได้ 60,000 ดอลลาร์ มากกว่าการได้ 80,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่คนรอบข้างได้ 90,000 ดอลลาร์ ตามธรรมชาติแล้ว ผู้คนไม่ได้สนใจว่าตัวเองทำเงินได้เท่าไหร่ แต่สนใจมากกว่าว่าคนอื่นทำเงินได้เท่าไหร่เมื่อเทียบกับพวกเขา
Nero พอเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับ John เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีที่ John ใช้ในการเทรด และบอกว่ามันเหมือนกับการนอนหลับบนรางรถไฟ Taleb เขียนว่า "คุณทำเงินได้ทุกเดือนเป็นเวลานาน จากนั้นคุณเสียเงินเป็นจำนวนมากเท่ากับผลกำไรสะสมของคุณในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เขาเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผู้ขายออปชันในปี 1987, 1989, 1992, และ 1998"
ในเดือนกันยายน 1998 ถึงเวลาที่ John ต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความจริง Nero รู้สึกได้รับการยืนยันความคิดของเขาเมื่อตื่นขึ้นมาทำงานและเห็น John ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกบ้าน ซึ่งเป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อ Nero เห็นภาพนั้น เขารู้ทันทีว่า John โดนไล่ออกจากงาน และจริงๆ แล้วเขาเสียเงินเกือบทั้งหมดที่เคยมี และนี่คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม
Nero เป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม เขาหาวิธีทำเงินได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นวิธีที่สมเหตุสมผลและมีเหตุผลรองรับสำหรับเขา มันอาจจะไม่ยากเกินไปที่จะทำในสิ่งที่ใช่ต่อไป ส่วนยากคือการเฝ้าดูคนอื่นรวยกว่าคุณในขณะที่ทำสิ่งโง่ๆ
ลองนึกภาพคนในกลุ่มเพื่อนของคุณที่รวยจากหุ้นเทคโนโลยีในปี 1999, อสังหาริมทรัพย์ในปี 2006 หรือสกุลเงินดิจิทัลกับหุ้นเทคโนโลยีที่ไม่มีกำไรในปี 2021 แค่เพราะบางสิ่งกำลังใช้ได้ผลดี ไม่ได้แปลว่าคุณต้องโดดเข้าไปด้วย
Nero ในเรื่องนี้คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการควบคุมอารมณ์ของตัวเองและยึดมั่นในกลยุทธ์ที่ดีแม้ว่ามันจะไม่ค่อยได้รับความนิยม Taleb อาจจะเรียก John ว่าคนโง่ที่โชคดี เพราะรวยขึ้นมาจากการไม่เข้าใจความบังเอิญและวัฏจักรของตลาด
มีบทเรียนอีกข้อในเรื่องนี้ คือการคิดแบบความน่าจะเป็น หาก Nero ใช้ชีวิตซ้ำอีก 1,000 ครั้งโดยใช้กลยุทธ์แบบนี้ เขาน่าจะรวยในเกือบทุกสถานการณ์ ส่วน John เขากำลังทำให้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างอย่างมาก และเขาน่าจะเจ๊งไปเลยในจำนวนมากพอสมควรจากการทำซ้ำ 1,000 ครั้ง
สำหรับคนส่วนใหญ่ การได้ผลลัพธ์ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยนั้นก็เพียงพอแล้ว อย่างในกรณีของ Nero เขาใช้ชีวิตอย่างสบายและมีทุกสิ่งที่เขาต้องการและอยากได้
เมื่อคุณพยายามไปให้ถึงแบบ top 1% คุณก็เสี่ยงต่อการเจออีเวนต์ที่หายากมากๆ เมื่อเจอมันบ่อยพอ สุดท้ายมันก็จะจับคุณได้ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ John
Taleb แนะนำให้เราคิดทั้งถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงและผลลัพธ์ที่มองไม่เห็น เช่น สมมติคุณต้องการจะเป็นนักเทรด คุณอาจมองไปที่ John ตอนที่เขากำลังประสบความสำเร็จ และคิดว่าการเป็นเทรดเดอร์เป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยม แต่คุณไม่ควรถูกชักจูงด้วยเรื่องที่ผิดปกติ คุณควรพิจารณาด้วยว่าโดยเฉลี่ยแล้วเทรดเดอร์ทำได้ดีแค่ไหน และคนสามารถอยู่ในอาชีพนี้ได้นานแค่ไหน ถ้าเทรดเดอร์ทั่วไปต้องออกจากอาชีพนี้หลังจาก 2 ปี แสดงว่าคุณมีงานต้องทำอีกเยอะ
.
------------------------------
.
#สิ่งที่มองไม่เห็น
นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสังเกตสิ่งที่ไม่เห็นด้วย ลองคิดถึงการมองไปที่คนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เช่น Elon Musk, LeBron James, Tom Brady, Stephen Curry เป็นต้น พวกเขาคือคนที่อยู่บนสุด แต่เราไม่เห็นคนอีกมากมายที่พยายามทำทุกอย่างอย่างถูกต้องแต่ก็ไม่ได้ไปถึงจุดสูงสุด
สำหรับทุกๆ Elon Musk ก็มีอีกนับไม่ถ้วนที่ทำงานหนักมากแต่ไม่ได้เห็นผลลัพธ์ของความพยายามเหมือนที่หวัง Taleb ยกตัวอย่าง Bill Gates ด้วย และแบ่งปันแนวคิดเรื่อง path dependency ที่ผลลัพธ์หนึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์หนึ่ง และนำไปสู่ผลลัพธ์ต่อไปอีก
ยกตัวอย่างแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาแย่มาก แต่เราไม่เคยปรับแต่งการจัดวางแป้นพิมพ์ให้ดีขึ้น เพราะเริ่มฝึกคนพิมพ์ด้วยแบบที่มีอยู่ และคนไม่อยากเรียนรู้การพิมพ์แบบใหม่ มันคล้ายกับเรื่องภาษาเลย path dependency ยังเล่นบทบาทสำคัญมากในยุคข้อมูลข่าวสารด้วย
ในกรณีของ Bill Gates และ Microsoft ผู้คนจำนวนมากใช้ซอฟต์แวร์ของ Microsoft และมันสร้างวงจรป้อนกลับ เพราะคนอื่นใช้ Microsoft คุณก็เลยมีแรงจูงใจที่จะใช้มันด้วย
Taleb เขียนว่า "ถึง Bill Gates จะเป็นคนที่มีมาตรฐานส่วนตัว, จริยธรรมในการทำงาน และความฉลาดระดับสูงก็ตาม แต่เขาชัดเจนว่าไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด เขาไม่สมควรได้รับความสำเร็จขนาดนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ซอฟต์แวร์ของเขาเพราะคนอื่นก็ใช้ มันเป็นผลแบบวงกลมล้วนๆ ไม่มีใครอ้างเลยว่ามันเป็นซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุด คู่แข่งของ Gates หลายคนอิจฉาความสำเร็จของเขาตาแดงไปหมด พวกเขาโกรธมากที่เขาชนะได้ขนาดนั้น ในขณะที่หลายบริษัทของพวกเขากำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด"
ในกรณีของ Bill Gates ความสำเร็จของเขามาจากความพยายามของตัวเองบวกกับการได้อยู่ถูกที่ถูกเวลา และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มองไม่เห็นได้ดีขึ้น Taleb มักพูดถึงตัวอย่างของการจำลอง Monte Carlo ซึ่งผมคิดว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทดสอบสถานการณ์ต่างๆ หลังจากที่เราตั้งค่าให้มันพร้อมกับข้อมูลเบื้องต้นและสมมติฐานเฉพาะ
แต่ชีวิตจริงซับซ้อนยิ่งกว่าการจำลอง Monte Carlo เขาบอกเหตุผล 2 ข้อว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ในตัวอย่างของ John ชีวิตไม่ได้รู้สึกเหมือนเรื่องบังเอิญสำหรับเขา เขาคิดว่าทำเงินเยอะในตลาดได้ แต่เขามองไม่เห็นความเสี่ยง มันเหมือนกับการเล่นรูเล็ตรัสเซีย 5 รอบแรกปลอดภัย แต่อีกรอบนึงมีลูกกระสุนซ่อนอยู่ ถ้าชีวิตที่ผ่านมาคุณไม่เคยโดนเลย มันก็ง่ายที่จะลืมไปว่ามีลูกกระสุนอยู่ในนั้น
มันทำให้คนรู้สึกปลอดภัยจอมปลอม ทั้งที่เพิ่งจะเห็นแต่ด้านที่ปลอดภัย เรื่องก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกเพราะถึงแม้เราจะคาดเดาความน่าจะเป็นได้ แต่เราไม่มีทางรู้แน่ๆ ว่าความน่าจะเป็นที่แท้จริงคืออะไร ในขณะที่ในตัวอย่างรูเล็ต ผู้เล่นที่มีเหตุผลจะเห็นว่ามีกระสุนซ่อนอยู่ 1 นัด
แต่ในชีวิตจริง เรามองไม่เห็นอนาคต เราทำได้แค่เดาอย่างมีการศึกษา ซึ่งอาจทำให้เราหลงผิดได้ เช่นไม่สนใจความเสี่ยงที่จะล่มจม ไม่สนใจ Black Swan ที่อาจเกิดขึ้น
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงได้เล่นแบบไม่ระวังตัว และหลงคิดไปว่าเกมนี้ง่ายมากๆ
.
-------------------------------------
.
#จักรวาลคู่ขนาน
อีกแนวคิดสำคัญในหนังสือคือ alternative histories คนมักจะสนใจแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่คำนึงถึงความบังเอิญที่อยู่เบื้องหลังผลลัพธ์นั้น และไม่คิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ
Taleb เขียนว่า "แนวโน้มที่จะได้กำไรหรือขาดทุนโดยขึ้นอยู่กับโชครูเล็ต แสดงให้เห็นถึงความไม่สามารถของเราในการรับมือกับโครงสร้างที่ซับซ้อนของความบังเอิญในโลกสมัยใหม่"
การทำความเข้าใจ alternative histories นั้นสำคัญมาก คนมักจะสนใจแค่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่คำนึงถึงความบังเอิญที่แฝงอยู่ เขาช่วยขับเน้นประเด็นนี้ด้วยการยกตัวอย่างการขายประกัน
ถ้าเราไปที่สนามบินแล้วถามคนเดินทางที่กำลังจะไปยังจุดหมายปลายทางห่างไกลว่าพวกเขาจะจ่ายเบี้ยประกันเท่าไหร่สำหรับกรมธรรม์ที่จะจ่าย 1 ล้านเหรียญหากพวกเขาเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม จากนั้นไปถามอีกกลุ่มนึงว่าจะจ่ายเท่าไหร่สำหรับประกันที่จ่ายเงินเท่ากัน แต่เฉพาะกรณีเสียชีวิตจากการก่อการร้ายเท่านั้น
โอกาสที่คนจะยอมจ่ายสำหรับแผนประกันหลังมากกว่า ทั้งที่จริงๆ แล้วการก่อการร้ายก็รวมอยู่ในแผนแรกอยู่แล้ว เขาเขียนว่า "ในฐานะนักเทรดอนุพันธ์ ผมสังเกตว่าผู้คนไม่ชอบทำประกันกับสิ่งที่เป็นนามธรรม ความเสี่ยงที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขามักจะเป็นเรื่องที่ชัดเจนเสมอ"
Taleb ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่น่าตกใจว่า ทั้งการตรวจจับความเสี่ยงและการหลีกเลี่ยงความเสี่ยวนั้น ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยส่วนที่ใช้ความคิดของสมอง แต่ส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยส่วนที่เป็นอารมณ์ ผลที่ตามมาไม่ธรรมดาเลย มันแปลว่าการคิดอย่างมีเหตุผลแทบไม่เกี่ยวอะไรกับการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเลย สิ่งที่การคิดอย่างมีเหตุผลดูเหมือนจะทำคือการหาเหตุผลมารองรับการกระทำเรามากกว่า
นี่เป็นเหตุผลที่ธุรกิจสื่อและข่าวจำนวนมากไม่ได้พยายามส่งมอบข่าวหรือข้อมูลที่มีประโยชน์จริงๆ แต่พวกเขาพยายามดึงอารมณ์ให้ได้มากที่สุด สื่อสามารถเล่นกับจิตใจและมุมมองของนักลงทุนได้
เรามักจะคิดโดยธรรมชาติว่าตลาดขาลงมีความผันผวนมากกว่าตลาดขาขึ้น เขายกตัวอย่างในหนังสือว่าความเคลื่อนไหวของตลาดใน 18 เดือนหลังเหตุการณ์ 9/11 นั้นผันผวนน้อยกว่า 18 เดือนก่อนหน้านั้น แต่ในความคิดของนักลงทุน มันกลับผันผวนมากกว่า สื่อก็เน้นย้ำภัยก่อการร้ายและผลกระทบต่อตลาดการเงินจนเกินจริง
น่าเสียดายที่ในโลกที่เต็มไปด้วยสัญญาณรบกวน ผู้คนกลับอยากได้คำตอบแบบง่ายๆ ที่ฟังดูดี แต่การทำตามสุภาษิตง่ายๆ ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ อาจทำให้เราเดือดร้อนที่สุดก็ได้
(Taleb บอกว่า เนื่องจากเขาเป็นนักเทรดแนววิเคราะห์ที่เดิมพันกับการที่คนมองข้ามความบังเอิญ เขาจึงต้องการให้คนส่วนใหญ่ในตลาดเป็นคนโง่บ้าง แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะเขาต้องการให้มีคนมาลงทุนกับเขาหรือจ้างบริการของเขา เพราะถ้าทุกคนเป็นคนโง่หมด ก็จะไม่มีใครซาบซึ้งในผลงานและวิธีการลงทุนของเขา)
.
-----------------------------------------------
.
#มองจากหลายมุม
Taleb เขียนว่า "คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือเพื่อใช้ไตร่ตรองมากกว่าจะใช้คำนวณ" เขาหลงใหลการจำลองเหล่านี้เพราะมันสามารถตั้งโปรแกรมให้จำลองอะไรก็ได้ ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของ Taleb กำลังศึกษาข่าวตลาด, ข่าวจากธนาคารกลาง หรืออะไรก็ตาม Taleb กลับหมกมุ่นอยู่กับการปรับแต่งการจำลองและทำอะไรพวกจำลองประชากรของสัตว์ที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว
เขายกตัวอย่างคู่รักที่อาศัยอยู่ในย่านที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของ Manhattan นี่เป็นเรื่องที่ผมชอบมากและอยากจะแบ่งปัน มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ใน Manhattan สามีทำงานหนักมากและอยากอยู่ใกล้ที่ทำงาน เลยดึงค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพไปเพื่ออาศัยในย่านที่แพงมาก เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ที่ทำงาน ได้ใช้เวลาที่ทำงานให้มากที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนานๆ
ไม่ว่าจะวัดยังไง คู่นี้ก็ประสบความสำเร็จและร่ำรวยมากๆ แต่เมื่อมองภายในย่านที่พวกเขาอยู่ พวกเขากลับอยู่ใกล้ๆ กับคนจนที่สุดในย่านนั้น ทั้งในแง่ของขนาดที่อาศัย รายได้ หรือสิ่งที่ครอบครอง
เมื่อภรรยามองไปรอบๆ เธอรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเลย เมื่อเทียบกับคนอื่น เพราะถูกล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดโตกว่า บ้านใหญ่กว่า และเธอไม่ได้รับความเคารพนับถือเหมือนที่เธอคิดว่าสมควรจะได้รับ
การที่สามีของเธอดูเหมือนจะล้มเหลวเมื่อเทียบกับคนรอบข้าง ทำให้เธอคิดไปเองว่าสามีเป็นคนล้มเหลว แต่ความจริงคือพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากและดีกว่าคนอเมริกัน 99.5%
เมื่อเทียบกับเพื่อนสมัยมัธยมของสามี เขาอยู่แถวหัวแน่นอน แต่เมื่อเทียบในละแวกบ้าน เขากลายเป็นคนท้ายๆ ซะงั้น
นี่คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของ survivorship bias คู่นี้เลือกอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยคนประสบความสำเร็จ ซึ่ึ่งโดยนิยามแล้ว ย่านนี้จะไม่มีคนล้มเหลว คนที่ล้มเหลวจะไม่ปรากฏอยู่ในกลุ่มตัวอย่างหรือในย่านนี้
นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมหลายคนถึงไม่รู้สึกพอใจกับชีวิต พวกเขาหาเงินได้ ย้ายเข้าไปอยู่ในย่านที่ดีขึ้นในมาตรฐานของตัวเอง แล้วก็รู้สึกจนอีกครั้ง หรือแค่ชินกับสิ่งดีๆ รอบตัว
Taleb ยังเอ่ยถึงหนังสือ The Millionaire Next Door ด้วย หนังสือเล่มนี้อธิบายวิธีที่คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นเศรษฐีด้วยการออมอย่างสม่ำเสมอ, การลงทุน และวิธีอื่นๆ
Taleb ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง 2 ประการในหนังสือเล่มนี้ ประการแรกคือการศึกษานี้มองแค่คนที่เป็นเศรษฐีแล้ว ซึ่งเขาเปรียบเหมือนกับลิงที่โชคดีบนเครื่องพิมพ์ดีด โดยไม่ได้พูดถึงคนอีกจำนวนมากที่ลงทุนเหมือนกับคนในการศึกษานี้ แต่บังเอิญไปลงทุนผิดที่ผิดเวลา หรืออาจอยู่ในประเทศที่เงินเฟ้อรุนแรง หรืออยู่ในสถานการณ์ที่ทรัพย์สินถูกยึด คนพวกนี้ไม่ได้รวมอยู่ในการศึกษา
ประการที่สองคือคนที่ถูกศึกษานั้นได้ประโยชน์จากตลาดกระทิงที่ยาวนานมากๆ ในมูลค่าของสินทรัพย์ สหรัฐอเมริกาอย่างที่กล่าวไว้ มีการเติบโตแบบพิเศษช่วงยุค 80 และเราไม่ควรคาดหวังว่าผลตอบแทนแบบนี้จะดำเนินต่อไปตลอดไป การคาดการณ์แบบนี้แหละที่นำไปสู่ความล่มจมครั้งใหญ่หลังปี 1929
อีกตัวอย่างที่เขายกในหนังสือคือ เรามักได้ยินว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนมองโลกในแง่ดี คนมองโลกในแง่ดีมักกล้าเสี่ยงและมั่นใจในโอกาสของตัวเองมากกว่า แล้วคนที่ประสบความสำเร็จก็มักแสดงลักษณะแบบนี้จนเราชื่นชมพวกเขา
แต่เราไม่ได้เห็นคนมองโลกในแง่ดีที่เดิมพันแล้วแพ้ มันเป็นการย้ำเตือนที่ดีให้ระวังข้อสันนิษฐานที่เราอาจมีเวลามองข้อมูลชุดใดชุดหนึ่ง โดยเฉพาะเวลามองหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงๆ
.
----------------------------------
.
#ทฤษฎีความวุ่นวาย (Chaos Theory)
ชี้ให้เห็นว่าอินพุตเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ใหญ่โตเกินสัดส่วนได้อย่างไร
Morgan Housel เขียนในหนังสือ How the World Works ว่า สหรัฐฯ จะแพ้สงครามปฏิวัติอเมริกันหากลมพัดไปอีกทิศทางนึงจนกองทัพฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถแล่นเรือลงมาปิดฉากสงครามได้ หากลมพัดไปอีกทาง ผลลัพธ์ของสงครามก็จะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง และคงไม่มีประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างทุกวันนี้
Taleb ยังเหน็บ Bill Gates อีกครั้ง โดยบอกว่าเขาไม่สมควรได้รับความสำเร็จระดับนั้นแน่ๆ และที่น่าสนใจคือเรื่อง path dependency ที่ผมได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ ในยุคข้อมูลข่าวสาร path dependency และเครือข่ายเชื่อมโยงมีความสำคัญมากๆ
ในกรณีของ Bill Gates และ Microsoft ผู้คนจำนวนมากใช้ซอฟต์แวร์ของเขา และมันสร้างระบบ Network Effect ขึ้น เพราะคนอื่นใช้ Microsoft คุณเลยมีแรงจูงใจให้ใช้ตาม
Taleb เขียนว่า "บางครั้งการโชคดีมันดีกว่าความสามารถจริงๆ นะ" มันเหมือนสุภาษิตนั่นแหละ อีกส่วนที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Network Effect และเครือข่ายคือจุด Tipping Point ที่ทำให้เครือข่ายเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเกิดการเติบโตที่ไม่สมมาตร
Malcolm Gladwell ก็เคยแสดงให้เห็นใน The Tipping Point ว่าพฤติกรรมบางอย่างอย่างเช่นโรคระบาด มันจะระบาดอย่างรวดเร็วเมื่อถึงจุดวิกฤตที่ไม่อาจระบุได้ชัดเจน การขายหนังสือก็เช่นกัน ยอดขายมักจะพุ่งทะยานเมื่อถึง Tipping Point บางอย่างที่กระแสปากต่อปากจะพาให้แพร่กระจายไปทั่ว ความไม่เป็นเส้นตรงแบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างเป็นแบบจำลองหรือพยากรณ์ได้ และอีกครั้งมันก็เป็นเพราะความบังเอิญที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
เนื่องจากเราไม่สามารถคาดการณ์ความไม่เป็นเส้นตรงเหล่านี้ได้ มันเลยจะไม่ชัดเจนตอนแรก แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ทุกอย่างจะดูชัดเจนเสมอจากการมองมันทีหลัง
เรื่องน่าสนใจอีกอย่างที่ Taleb พูดถึงคือ พอฝนตก มันก็เทกระหน่ำ บางคนดูเหมือนจะโชคดีในตัวเอง ในขณะที่บางคนกลับโชคร้ายในตัวเอง นักเขียนมักจะมีหนังสือที่ขายดีเป็นกระแส หรือไม่ก็แทบจะขายไม่ได้เลย โดยเฉพาะในยุคข้อมูลข่าวสาร คนหรือหนังสือที่ประสบความสำเร็จจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ส่วนที่เหลือก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แทบไม่มีใครสนใจแม้แต่น้อย
เนื่องจากโลกของเรามีความแปรปรวนสูงมาก การพยากรณ์อะไรจึงเป็นเรื่องยากลำบาก เช่น ผู้คนอยากรู้ว่าดัชนี S&P500 จะเทรดที่ระดับไหนในอีก 1 ปีข้างหน้า และในเมื่อผู้คนต้องการคำตอบนี้ หลายบริษัทก็เลยให้บริการพยากรณ์กัน
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคำพยากรณ์คือความแปรปรวนของผลลัพธ์หรือระดับความเชื่อมั่นในคำพยากรณ์นั้น การคาดการณ์การเติบโต 10% โดยมีความแปรปรวน +/-5% กับการคาดการณ์การเติบโต 10% แต่อาจโตได้สูงถึง 40-50% หรือลดลง 40% เป็นคนละเรื่องกันเลย
.
---------------------------------------
.
#การแยกแยะระหว่างกระบวนการที่ดีกับผลลัพธ์ที่ดี
ในตลาดหุ้นและการเคลื่อนไหวของราคา ส่วนใหญ่เป็นแค่สัญญาณรบกวน และเราต้องตระหนักถึงระดับความบังเอิญในตลาด
การทำผลงานได้ต่ำกว่าตลาดในปีเดียว ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นนักลงทุนที่แย่ และการทำผลงานเหนือตลาดในปีเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเก่ง บางครั้งหุ้นดีๆ ราคาก็ปรับลง หุ้นไม่ดีราคาก็ปรับขึ้น นั่นคือธรรมชาติของมัน
สิ่งสำคัญคือการพัฒนากระบวนการลงทุนที่เหมาะกับความถนัดและบุคลิกของคุณ นักลงทุนที่ดีที่สุดจะโฟกัสที่กระบวนการที่ทำซ้ำได้ และไม่ค่อยสนใจผลการดำเนินงานระยะสั้นมากนัก เพราะเข้าใจดีว่ามันมีบทบาทของโชคและความบังเอิญอยู่มาก
ส่วนนักลงทุนที่โฟกัสแต่ผลลัพธ์มักจะตามกระแสตลอด เห็นอะไรขึ้นเยอะก็จะไล่ตาม ซึ่งเป็นแนวทางที่มองแต่ผลลัพธ์ โดยไม่สนใจกระบวนการเบื้องหลังหรือประเมินโอกาสสำเร็จ
เมื่อกระบวนการของคุณไม่ได้อิงกับโชค แต่อิงหลักการที่ถูกต้อง มีเหตุผล และสมเหตุสมผล มันก็น่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในระยะยาว
.
---------------------------------
.
#สรุป
ในการสรุป Taleb บอกว่าเขาหาบทสรุปไม่ได้เลยว่าอะไรไม่มีองค์ประกอบของโชคเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่
แน่นอนว่ามีนักลงทุนจำนวนมากที่มีทักษะสูง และผลงานของพวกเขาส่วนใหญ่มาจากทักษะ ไม่ใช่โชค แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคือนักลงทุนที่เก่งจริงๆ หลายคนมักจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เพราะพวกเขามักจะบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
นักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าตลาดมากๆ ก็แปลว่าพวกเขาอาจจะแค่กำลังได้รับโชคช่วย หรือพวกเขากำลังแบกรับความเสี่ยงมากเกินไป พวกเขาจะออกไปส่งเสริมตัวเองและพยายามให้นักลงทุนมาลงทุนกับพวกเขา แต่ในที่สุด โชคของนักลงทุนที่ไม่ดีพอมักจะหมดลง ผมจะไม่ยกชื่อใครนะ แต่ผมแน่ใจว่าหลายคนนึกภาพตามได้
Taleb เขียนว่า "ผมไม่สามารถตอบได้หรอกว่าใครโชคดีหรือโชคร้าย ผมอาจจะบอกได้ว่าคน A ดูเหมือนจะโชคดีน้อยกว่าคน B แต่ความเชื่อมั่นในความรู้แบบนี้อ่อนแอมาก จนแทบจะไร้ความหมาย ผมเลือกที่จะเป็นคนกังขา ผมไม่เคยบอกเลยนะว่าเศรษฐีทุกคนเป็นคนโง่ หรือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นคนโชคร้าย แค่ว่าถ้าขาดข้อมูลเพิ่มเติมอีกมาก การงดตัดสินมักจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า"
และอย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ "การลงทุนที่ดีที่สุดของคุณคือการลงทุนในตัวเอง ไม่มีอะไรเทียบได้เลย" ในตอนจบ ความรู้ของคุณในเรื่องการลงทุนในหุ้นและการเงินส่วนบุคคลจะเหนือกว่าคนส่วนใหญ่
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.