Upheaval เขียนโดย Jared Diamond วิธีที่ประเทศต่างๆ รับมือกับวิกฤตและการเปลี่ยนแปลง

Upheaval เขียนโดย Jared Diamond เล่มนี้เกี่ยวกับวิธีที่ประเทศต่างๆ รับมือกับวิกฤตและการเปลี่ยนแปลง เป็นเล่มที่ 3 ต่อจาก "Collapse", "Guns, Germs and Steel" (ฉบับภาษาไทยลิขสิทธิ์เป็นของสำนักพิมพ์ยิปซี ในชื่อหนังสือ "การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่" )
.
ตามชื่อเรื่อง หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับวิกฤตของประเทศต่างๆ และวิธีที่พวกเขาผ่านมันไปได้ และอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตที่ระดับบุคคล ทีม ธุรกิจ ไปจนถึงระดับประเทศ หรือแม้แต่ทั้งโลก วิกฤตเหล่านี้อาจเกิดจากแรงกดดันจากภายนอก เช่น การถูกทอดทิ้งหรือสูญเสียคู่ชีวิต หรือประเทศหนึ่งถูกคุกคามหรือโจมตีจากประเทศอื่น
.
ไม่ว่าเราจะเป็นใคร เราก็ต้องเจอเรื่องร้ายๆ ในชีวิตอยู่ดี บางครั้งเหมือนทุกอย่างพังทลาย เหมือนกับประเทศต่างๆ ก็เจอวิกฤตครั้งใหญ่เหมือนกัน ในหนังสือเล่มนี้ Diamond ได้ยกตัวอย่าง 9 ประเทศ และเราจะเจาะลึก 3 ประเทศในตอนนี้
.
คือ ฟินแลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2, ชิลีในช่วงความไม่มั่นคงทางการเมืองสมัยปิโนเชต์กับอเลนเด และออสเตรเลีย
.
-------------
.
#ฟินแลนด์
.
ฟินแลนด์เป็นประเทศที่น่าสนใจมาก ตั้งอยู่ติดกับสวีเดนทางทิศตะวันตก และรัสเซียทางทิศตะวันออก ความมั่นคงของฟินแลนด์อยู่บนความขัดแย้งที่ชัดเจนตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในแง่หนึ่ง ฟินแลนด์เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยม ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพโซเวียตมาหลายทศวรรษ และกับรัสเซียในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะขัดแย้งกับภาพลักษณ์นี้
.
ความซับซ้อนในประวัติศาสตร์ของฟินแลนด์มีตัวอย่างที่โดดเด่นของการเปลี่ยนแปลงเฉพาะด้าน ซึ่งเราจะได้เรียนรู้ต่อไป ในแง่ภูมิศาสตร์ ฟินแลนด์เป็นประเทศเล็กๆ อยู่ระหว่างรัสเซียและสแกนดิเนเวีย เป็นเหมือนโซนกันชนระหว่างสองฝ่าย ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ฟินแลนด์เป็นดินแดนที่สวีเดนและรัสเซียแย่งชิงกันอย่างดุเดือด
.
ในปี 1809 รัสเซียยึดครองดินแดนที่เรารู้จักในชื่อฟินแลนด์ไว้เป็นส่วนใหญ่ของศตวรรษ รัสเซียปล่อยให้ฟินแลนด์ปกครองตัวเองในระดับหนึ่ง มีรัฐสภา การบริหาร และสกุลเงินของตัวเอง จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมืองในต้นศตวรรษที่ 20 ฟินแลนด์ต้องการประกาศเอกราช ฝ่ายหนึ่งมีพรรคอนุรักษ์นิยม (ฝ่ายขาว) ที่ได้รับการฝึกจากเยอรมนี อีกฝ่ายคือพรรคคอมมิวนิสต์ (ฝ่ายแดง) ที่อยู่ข้างรัสเซีย
.
ครั้งนี้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมเป็นฝ่ายชนะ พวกเขายิงฝ่ายคอมมิวนิสต์ไป 8,000 คน และจับไปอีก 20,000 คนขังในค่ายกักกัน หลังจากสังหารหมู่พวกคอมมิวนิสต์ขนาดนั้น ก็น่าจะหวาดกลัวการตอบโต้จากรัสเซียที่เป็นพี่ใหญ่และนิยมคอมมิวนิสต์อยู่ข้างๆ
.
ถึงแม้ฟินแลนด์จะชนะสงครามและประกาศเอกราช แต่ในอีก 2-3 ทศวรรษต่อมา พวกเขาก็ยังหวาดกลัวว่ารัสเซียจะกลับมาแก้แค้น เพราะอุดมการณ์ของสองประเทศตรงข้ามกันมาก ฟินแลนด์เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบทุนนิยม ในขณะที่สหภาพโซเวียตเป็นเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่กดขี่ข่มเหง ฟินแลนด์จึงพยายามเสริมกำลังกองทัพและป้อมปราการในช่วงทศวรรษ 1930 เพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
.
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นในยุค 30 เพราะการขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ในเยอรมนี และสตาลินก็มีอำนาจเต็มที่ ฟินแลนด์ประเทศเล็กๆ จึงตกอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจที่เข้มแข็งรายล้อมรอบด้าน ฟินแลนด์พยายามวางตัวเป็นกลาง แต่ทั้งโลกต่างตกใจที่ฮิตเลอร์กับสตาลินทำข้อตกลงไม่รุกรานกันขึ้นมาอย่างกระทันหัน
.
ภายใต้ข้อตกลงลับนี้ ฮิตเลอร์กับสตาลินวางแผนแบ่งฟินแลนด์กัน ฮิตเลอร์เอาส่วนหนึ่ง สตาลินเอาอีกส่วนหนึ่ง หลายประเทศในสถานการณ์แบบนี้ คงบอกว่าเอาเลย คุณจะแบ่งกันยังไงก็ได้ เหมือนเด็กม.1 ตัวเล็กๆ โดนเด็กม.6 สองคนที่เป็นนักเลงใหญ่ของโรงเรียนรุมกัน จะมายืนสู้ก็คงไม่ไหว คงต้องยอมยกของให้ไป แต่ฟินแลนด์กลับไม่ยอม ทำเอาสตาลินงงไปเลย คิดไม่ถึงว่าประเทศจิ๋วจะกล้าสู้กับประเทศที่ใหญ่กว่าถึง 50 เท่า
.
สตาลินเลยบอกว่า ไอ้เด็กม.1 ถ้ามึงไม่ยอมให้ก็ตามใจ งั้นเราไปรบกันวันที่ 30 พ.ย. 1939 สหภาพโซเวียตมีประชากร 170 ล้านคน ส่วนฟินแลนด์มีแค่ 3 ล้านคน โซเวียตมีกำลังทหาร 120,000 นาย แค่ส่งครึ่งล้านไปก็จบ ก็ยังเหลือกำลังเกินพอ นอกจากนี้ โซเวียตยังมีรถถัง เครื่องบินรบ ปืนใหญ่สมัยใหม่ ส่วนฟินแลนด์ไม่ค่อยมีอะไรเลย มีปืนไรเฟิลและปืนกลดีๆ บ้าง แต่กระสุนก็ไม่ค่อยพอ ผู้บัญชาการสั่งทหารว่า อย่ายิงพร่ำเพรื่อ รอให้ศัตรูเข้ามาใกล้ๆ แล้วค่อยยิงทีเดียวให้ตาย เก็บกระสุนไว้ให้ดี
.
-------------
.
#การต่อสู้อันกล้าหาญ
.
ในเชิงอุปมา ก็เหมือนน้องม.1 มีไม้เล็กๆ ส่วนรุ่นพี่ม.6 มีดาบใหญ่กับขวาน ช่างเป็นการต่อสู้ที่ไม่เท่าเทียมเอาเสียเลย แต่ชาวฟินน์ไม่ได้บ้า พวกเขารู้ว่าสู้กับโซเวียตไม่ได้หรอก เป้าหมายของพวกเขาคือทำให้การชนะของโซเวียตช้าลง เจ็บปวด และแพงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องต้านทานให้นานพอ เผื่อจะมีประเทศอื่นเข้ามาช่วยได้
.
ทั้งโลกต่างประหลาดใจที่ฟินแลนด์สามารถต้านทานกองทัพมหาศาลของโซเวียตได้ พวกเขาประดิษฐ์ "ค็อกเทลโมโลตอฟ" ซึ่งเป็นขวดน้ำมันเชื้อเพลิงจุดไฟแล้วขว้างใส่รถถัง บางคนกล้าหาญมากๆ วิ่งเข้าไปยิงนักรบในรถถังผ่านช่องยิงหรือคานปืน โดยมีโอกาสเสียชีวิตถึง 70% ช่างเป็นความกล้าหาญอย่างเหลือเชื่อ จินตนาการภาพคนถือปืนวิ่งเข้าไปหารถถัง มันบ้ามากๆ
.
นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขากล้าหาญขนาดนั้น ในการเผชิญหน้ากับความท้าทายและวิกฤตมหาศาล พวกเขามีแรงจูงใจสูงมากที่จะไม่ยอมแพ้ต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่กำลังรุกคืบเข้ามา พวกเขาต่อสู้เพื่อครอบครัว ประเทศชาติ และเอกราชของตน ผู้คนทั้งประเทศพร้อมจะตายเพื่อปกป้องสิ่งเหล่านี้
.
อีกเหตุผลที่ฟินแลนด์ต่อสู้ได้ดีคือ พวกเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตและเล่นสกีในป่าช่วงฤดูหนาว พวกเขาคุ้นเคยกับภูมิประเทศและมีอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น รองเท้า เต็นท์ ซึ่งเข้ากับสภาพแวดล้อม ในขณะที่ทหารโซเวียตไม่คุ้นเคยกับสภาพที่ต้องเผชิญ
.
สุดท้ายกองทัพฟินแลนด์มีประสิทธิภาพสูงมากเมื่อเทียบกับจำนวน พวกเขาบรรลุเป้าหมายในการทำให้โซเวียตเจ็บตัวมากที่สุด โซเวียตไม่สามารถทุ่มกำลังทหารทั้งหมดมาจัดการฟินแลนด์ได้ เพราะยังต้องห่วงเยอรมนีและประเทศอื่นๆ อีก ในท้ายที่สุด โซเวียตจึงต้องถอยทัพกลับไป
.
หลายแง่มุม ฟินแลนด์ชนะสงครามครั้งนี้ ทั้งที่ต้องสูญเสียประชากรไปมหาศาล ทุกอย่างดูสงบสุขได้สักพัก หลังการทำสัญญาสงบศึกกับโซเวียต แต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีก็ขยายอำนาจขึ้นเรื่อยๆ ยึดครองนอร์เวย์ เดนมาร์ก และเอาชนะฝรั่งเศส ฟินแลนด์รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองโดดเดี่ยว ถูกโซเวียตล้อมทางหนึ่ง และเยอรมนีก็ล้อมอีกทาง พวกเขาหมดหวังแล้วที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอังกฤษหรือฝรั่งเศสในการต่อสู้ครั้งต่อไป ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากสุดๆ เลือกก็ผิด ไม่เลือกก็ผิด จะเข้าข้างเยอรมนีหรือโซเวียตดี
.
ในภาวะแบบนี้ ปกติคนเราจะไม่อยากเข้าข้างคนอย่างฮิตเลอร์ แต่เพื่อความอยู่รอด ก็คงต้องทำทุกอย่าง ฟินแลนด์ตระหนักอย่างเจ็บปวดว่า พวกเขาต้องสู้กับโซเวียตอีกครั้ง ต้องระดมพลชาย หญิง เด็ก จำนวนมหาศาล ถึง 1 ใน 6 ของประชากรทั้งหมด ในปี 1944 พวกเขาต้องกลับไปสู้กับโซเวียตอีกที แต่เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต พวกเขาพยายามทำให้การรบครั้งนี้แพงที่สุดสำหรับโซเวียต เพราะรู้ว่าโซเวียตก็กำลังรบกับเยอรมนีอยู่เหมือนกัน
.
สุดท้ายฟินแลนด์ก็กลายเป็นประเทศยุโรปเพียงประเทศเดียว ที่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกยึดครองจากศัตรูในสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาต้องเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพกับรัสเซียอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เป็นประเทศเล็ก แต่ก็สัญญาจะจ่ายเงินชดเชยให้โซเวียตถึง 300,000 ล้านเหรียญภายในอีก 6 ปี มันเยอะมาก จะเป็นตัวเลขผิดหรือเปล่า แต่นี่อาจเป็นแรงกดดันที่ทำให้ฟินแลนด์ต้องสร้างอุตสาหกรรมหนักอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการต่อเรือ สร้างโรงงาน เพื่อส่งออก ทำให้ทั้งประเทศต้องพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้
.
นอกจากเงินที่ต้องจ่ายแล้ว ฟินแลนด์ยังต้องปรับตัวทางการเมืองและอุดมการณ์ เพื่อให้โซเวียตพอใจ เช่น ขับไล่ทหารเยอรมันออกไป ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ถูกกฎหมาย ให้เขามีที่นั่งในรัฐบาลบ้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกับคุณแล้วนะ เราอยู่ฝ่ายเดียวกันแล้ว
.
ฟินแลนด์ถึงขั้นจับวีรบุรุษสงครามของตัวเอง ที่เคยต่อสู้ข้างเยอรมนีสมัยสงครามโลก มาดำเนินคดีฐานอาชญากรรมสงคราม เพื่อเอาใจโซเวียต ทั้งๆ ที่เมื่อ 5 ปีก่อน คนพวกนี้ยังเป็นฮีโร่เลย ตอนนี้ต้องทิ้งเขาซะแล้ว
.
การรักษาสมดุลอย่างประณีตระหว่างการรักษาเอกราชและการเอาใจโซเวียต ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศเล็กๆ แห่งนี้เริ่มพัฒนาตัวเองได้อย่างมาก ในระดับโลก ฟินแลนด์ผงาดขึ้นมา ทั้งที่มีประชากรแค่ 6 ล้านคน
.
พวกเขาต้องเผชิญความจริงอันโหดร้าย เรื่องขนาดประชากรที่เล็กมากเมื่อเทียบกับประเทศใหญ่ที่อยู่รอบข้าง และต้องทำให้มั่นใจว่าพี่ใหญ่พวกนี้จะไม่มารังแกได้อีก พวกเขาแก้ไขด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรม ปฏิวัติเศรษฐกิจทั้งประเทศ และสร้างการมีส่วนร่วมจากประชากรทุกคน ด้วยประชากรน้อย คุณต้องทำให้ทุกคนที่เติบโตขึ้นมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ ระบบการศึกษาของเขาจึงกลายเป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุดในโลก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ที่การศึกษามีความเหลื่อมล้ำสูง
.
Diamond บอกว่าในสหรัฐฯ มันมี "diaspora" หรือการกระจายตัวระหว่างคนรวยและคนจน แต่ในฟินแลนด์ ทุกคนมีงานทำที่ดี ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ไม่มีความแตกต่างระหว่างโรงเรียนเอกชนกับโรงเรียนรัฐ เพราะโรงเรียนรัฐก็มีคุณภาพสูงอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียกเก็บค่าเทอมแพงๆ และที่สำคัญ อาชีพครูเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องมากๆ คัดเลือกเฉพาะคนเก่งที่สุดมาเป็นครู ให้ค่าตอบแทนสูง มีการยอมรับทางสังคม ต่างจากที่อื่นที่ครูมักบ่นว่าเงินเดือนต่ำ ได้รับการยอมรับไม่มากพอ
.
เพราะครูได้รับการนับถือสูงสุด เด็กเก่งๆ เลยอยากเป็นครูกันหมด ซึ่งเป็นอาชีพที่มีประโยชน์ที่สุดในการพัฒนาประเทศ และผลลัพธ์ก็คือ นักเรียนฟินแลนด์ได้คะแนนสูงที่สุดในโลกในด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปัญหา
.
เช่นเดียวกับตำรวจ ทุกคนที่อยากเป็นตำรวจต้องจบปริญญาตรี ซึ่งไม่เหมือนกับประเทศอื่น คนเชื่อใจตำรวจถึง 96% ซึ่งสูงมาก และที่น่าสนใจคือ ตำรวจแทบไม่เคยใช้ปืนเลย ปีหนึ่งยิงปืนแค่ 6 นัด โดย 5 นัดเป็นการยิงขู่ Diamond ที่อาศัยอยู่ในแอลเอบอกว่า แค่วันเสาร์ปกติ ตำรวจที่นั่นก็ยิงกันชั่วโมงละหลายนัดแล้ว
.
ฟินแลนด์เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากภายนอก หากมองย้อนกลับไป พวกเขาเป็นประเทศต้นแบบที่ทุกคนควรเอาเยี่ยงอย่าง พวกเขาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี การศึกษา และลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่าประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
.
ปัจจัยที่ทำให้ประเทศฟันฝ่าวิกฤตมาได้ เราจะเห็นว่ามีหลายข้อที่ฟินแลนด์ทำได้ดีมาก อย่างแรกคือยอมรับว่ากำลังเผชิญวิกฤต ยอมรับความรับผิดชอบ ไม่นั่งรอให้ใครมาช่วย แต่ลุกขึ้นมาจัดการเอง มีการประเมินตนเองอย่างเข้มงวด ลองคิดดูว่าพวกเขาต้องเจ็บปวดขนาดไหน ที่ต้องเข้าข้างโซเวียต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ โซเวียตฆ่าพี่น้องไปมากมาย ทำให้เด็กต้องกำพร้า ผู้หญิงเป็นม่าย เพราะฟินแลนด์สูญเสียประชากรมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศคงไม่ยอมเข้าข้างโซเวียตหรอก แต่ฟินแลนด์ตระหนักถึงขนาดประเทศตัวเองที่เล็กนิดเดียว พวกเขารู้ว่าต้องประจบพี่ใหญ่ม.6 นั่นแหละ
.
อีกข้อที่สำคัญคือการเลือกเปลี่ยนแปลงแค่บางอย่าง เก็บบางอย่างไว้ แน่นอนว่าฟินแลนด์ยังคงเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปบ้างเพื่อให้เข้ากับลัทธิคอมมิวนิสต์ เช่น เซ็นเซอร์หนังสือบางเล่ม เลื่อนการเลือกตั้ง และละเมิดสิทธิเสรีภาพบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว หลังผ่านไป 70 ปี ฟินแลนด์ก็ไม่ได้เข้าใกล้การเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียตหรือเป็นประเทศบริวารของรัสเซียไปมากกว่าเดิมเลย แม้จะต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่พวกเขาก็ยังยึดมั่นในแก่นแท้ ไม่ยอมประนีประนอม นั่นคือการรักษาเอกราชของชาติ ไม่ยอมให้ใครมายึดครอง พวกเขาพร้อมจะสู้และพลีชีพเพื่อปกป้องสิ่งนี้เสมอ
.
-------------
.
#ชิลี
.
ในปี 1967 เมื่อ Jared Diamond เดินทางไปชิลี ทุกอย่างดูสงบสุข ชิลีมีประวัติศาสตร์อันยาวนานของการปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่ค่อยมีรัฐบาลทหารมายึดอำนาจบ่อยๆ เหมือนกับเปรูและอาร์เจนตินา ชิลีมองตัวเองเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปมากกว่าละตินอเมริกา
.
แต่แค่ 6 ปีต่อมาในปี 1973 สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชิลีถูกเผด็จการทหารยึดอำนาจ ทำลายสถิติโลกเรื่องการทรมานที่โหดร้ายที่สุด ช่างเป็นตำแหน่งที่ใครๆ ก็ไม่อยากได้ หลังได้ฟังประวัติศาสตร์ของชิลีแล้ว คุณอาจสงสัยว่า ประเทศที่เคยสงบสุขและเป็นประชาธิปไตยขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันนะ
.
ชาวตะวันตกส่วนใหญ่คงมองชิลีเมื่อปี 1967 ว่าเป็นประเทศที่สงบ เป็นประชาธิปไตย และไม่น่าจะเกิดการรัฐประหารทางทหาร กลายเป็นเผด็จการได้ แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เรื่องแบบนี้จะเกิดกับเราได้ไหม เรามาดูเหตุการณ์ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 กัน
.
ชิลี เหมือนหลายๆ ประเทศ มีพรรคการเมือง 3 พรรคหลัก ได้แก่ พรรคฝ่ายซ้าย พรรคกลาง และพรรคฝ่ายขวา แต่ละฝ่ายมีกำลังที่ใกล้เคียงกัน ในปี 1964 ฝ่ายกลางเป็นรัฐบาล ผู้นำเป็นคนดี ซื่อสัตย์ มีเจตนาดี พรรคฝ่ายขวารู้สึกกลัวพรรคซ้ายสุดโต่ง จึงสนับสนุนรัฐบาลกลาง
.
แต่ในขณะที่ฝ่ายกลางเป็นรัฐบาล ทั้งสองฝ่ายสุดโต่งก็ไม่พอใจ ฝ่ายซ้ายมองว่ารัฐบาลไม่ก้าวหน้าและเอาใจใส่ประชาชนเท่าที่ควร ส่วนพรรคขวาสุดโต่งก็มองว่ารัฐบาลเอนซ้ายเกินไป ดังนั้น ในปี 1969 ประชาชนทั้งซ้าย กลาง ขวา ต่างก็หงุดหงิดกับการเมืองของชิลี มีการขาดแคลนอาหาร การนัดหยุดงาน เงินเฟ้อ และความรุนแรงตามท้องถนน ทุกฝ่ายเริ่มอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
.
ในปี 1970 สถานการณ์เริ่มวุ่นวายขึ้น ประธานาธิบดีคนใหม่ชื่อ Salvador Allende เข้ามามีอำนาจ เขาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 3 ครั้งในปี 1952, 1958 และ 1964 แต่ไม่เคยชนะ พอปี 1970 เขาก็ชนะในที่สุด แต่กลับได้คะแนนแค่ 36% เท่านั้น นั่นแปลว่ามีคนอีก 64% ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ถึงจะมีเสียงส่วนใหญ่ต่อต้าน แต่เขาก็ยังใช้อำนาจตามใจชอบ
.
Allende ทำหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนไม่พอใจ เช่น ยึดกิจการทองแดงมาเป็นของรัฐโดยไม่จ่ายค่าชดเชย เพิ่มรายจ่ายภาครัฐ และควบคุมราคาสินค้าทุกชนิดในประเทศ เพื่อให้คนจนซื้อหาได้ ผลที่ตามมาคือเศรษฐกิจป่นปี้ เกิดความรุนแรง การต่อต้านรัฐบาลมากขึ้น งบประมาณขาดดุล เกิดเงินเฟ้อ การลงทุนและความช่วยเหลือจากต่างชาติลดลง สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลน ชั้นวางในร้านค้าว่างเปล่า ผู้คนต่อแถวยาวเหยียด แม้เขาจะตั้งใจดี แต่ผลลัพธ์กลับย่ำแย่มาก
.
ในที่สุด 64% ของคนในประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับ Allende ตั้งแต่แรก ก็รู้สึกว่าพอกันที ห้ามปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับประเทศเราต่อไปอีกแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เกิดขึ้นจริงๆ ในปี 1973 เกิดการรัฐประหารโดยกองกำลังติดอาชของชิลี ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ
.
เหตุการณ์นี้ฟังดูบ้ามาก กองทัพอากาศไปทิ้งระเบิดทำเนียบประธานาธิบดีในซานติอาโก้ ในขณะที่รถถังของกองทัพบกยิงปืนใหญ่ใส่ Allende นั่งอยู่ในนั้นคิดว่า โอ้โห แย่แล้วสิ ไม่รู้กองทัพเรือทำอะไร แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เชียร์จากทะเลอยู่ข้างๆ
.
สุดท้าย Allende ก็ฆ่าตัวตาย กองทัพคิดว่าได้ที่แล้ว พวกเขาจะเป็นคนกุมอำนาจ คิดว่าจะให้นายพล Augusto Pinochet เป็นผู้นำชั่วคราวก่อน 2-3 ปี แล้วค่อยจัดการเลือกตั้ง แต่เปล่าเลย Pinochet ไม่ยอมง่ายๆ หรอก
.
พอถึงเวลาส่งมอบอำนาจคืนให้ประชาชน เขากลับบอกว่า ไม่เอา ฉันมีกองทัพหนุนหลังทั้งบก เรือ อากาศ คงต้องอยู่ต่อแล้วล่ะ
.
ในช่วง 10 วันแรก Pinochet จับพวกฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนรัฐบาลเก่ามากักตัวในสนามกีฬา สอบปากคำ ทรมาน และฆ่าทิ้งไปหมด 5 สัปดาห์ต่อมา เขาก็จัดกิจกรรมที่เรียกว่า "ขบวนคาราวานแห่งความตาย" ออกไปฆ่าผู้คนเรื่อยๆ ไม่มีใครคาดคิดว่า Pinochet จะโหดร้ายขนาดนี้ และจะยึดอำนาจนานขนาดนี้
.
ภายในเวลาไม่กี่ปี รัฐบาลของ Pinochet จับชาวชิลีไปแล้ว 130,000 คน หรือ 1% ของประชากรทั้งหมด บางคนถูกปล่อยตัว แต่หลายคนก็ถูก "อุ้ม" หายตัวไป เขาคงสนุกไปกับการกำจัดฝ่ายตรงข้าม แม้จะเป็นคนป่วยทางจิต
.
เขาไม่ยอมไปไหน ในปี 1980 เขาก็ยังดึงดันอยู่ในอำนาจ บังคับให้มีการเลือกตั้งอีกรอบเพื่อให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีก 8 ปี จนถึงปี 1988 ช่วงสงบสุขในยุค 60 กลายเป็นความทรงจำอันแสนไกลลิบ หลังผ่านยุค Allende และ Pinochet มานานเกือบ 20 ปี
.
รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน Pinochet ในช่วงแรก เพราะเขาต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างแข็งขัน พวกเขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับการอุ้มหายหรือฆ่าหมู่ประชาชน แต่ก็สนับสนุนอุดมการณ์ทางการเมืองของเขา กว่า 20 ปีต่อมา สหรัฐฯ จึงเริ่มมองว่า Pinochet ไปไกลเกินไป
.
ในที่สุดปี 1997 ยุคของ Pinochet ก็ผ่านพ้นไป ชาวชิลีทั้งประเทศรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก อยากเปลี่ยนแปลงประเทศ รัฐบาลฝ่ายซ้ายจึงได้เข้ามามีอำนาจ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่พวกสุดโต่ง เป้าหมายคือสร้างชิลีที่เป็นของคนชิลีทุกคน เพราะนั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ หลังจากผ่านความแตกแยกทางการเมืองมามากมาย
.
นับจากนั้น ชิลีมีประธานาธิบดีจากทั้งสองฝ่ายสลับกันขึ้นมา ประเทศเริ่มกลับมาเหมือนเดิม เป็นชิลีที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ มีการผลัดเปลี่ยนอำนาจ แบ่งปันกัน คล้ายกับที่เคยเป็นมาในอดีต
.
วิกฤตของชิลีนั้นต่างจากที่อื่น เช่นการปฏิวัติอย่างสงบในออสเตรเลียที่เราจะพูดถึงต่อไป เพราะของชิลีนั้นรุนแรง และไม่เหมือนฟินแลนด์ที่วิกฤตมาจากภายนอก แต่ของชิลีมาจากภายใน จากความขัดแย้งและความเห็นต่างทางการเมืองของฝ่ายซ้ายและขวา ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาลืมไปว่าอะไรคือค่านิยมหลักของประเทศ พวกเขาพร้อมจะฆ่าและพลีชีพเพื่ออุดมการณ์ แทนที่จะประนีประนอมกัน
.
ชิลีผ่านความไม่แน่นอน ความล้มเหลว การเลือกตั้งที่ผิดพลาด พวกเขาต้องอดทนเพื่อข้ามผ่านมันไปให้ได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่พวกเขาค้นพบคือ การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป พวกเขาเคยมีประเพณียาวนานที่กองทัพไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แม้จะเคยขัดจังหวะไปบ้าง แต่สุดท้ายก็หวนคืนมา นอกจากนี้ยังมีความตึงเครียดที่มีมานานระหว่างการแทรกแซงเศรษฐกิจของรัฐกับแนวทางปล่อยให้ตลาดเสรี ซึ่งพวกเขาก็ค่อยๆ หาจุดสมดุลที่ลงตัว และปรับเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
.
ที่สำคัญคือ ชิลีอาจเป็นตัวแทนของหลายประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน ที่มองตัวเองเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมที่มั่นคง คิดว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ขณะเดียวกันก็มีความหงุดหงิดเหมือนในอดีตของชิลี ทั้งฝ่ายก้าวหน้าที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ และฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่รู้สึกไม่พอใจ ผมว่าทั้งโลกตอนนี้ต่างก็หงุดหงิดกับการเมือง และความตึงเครียดก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
.
-------------
.
#ออสเตรเลีย
.
เมื่อ Jared Diamond ไปเยือนออสเตรเลียในปี 1964 เขาบอกว่าออสเตรเลียดูเหมือนอังกฤษยิ่งกว่าอังกฤษอีก ผู้คนเกือบทั้งหมดเป็นคนผิวขาว อาหารก็เป็นของอังกฤษหมด มีอาหารมื้อหลักวันอาทิตย์ ร้านขายปลาและมันฝรั่งทอด เนยถั่ว Vegemite ผับสไตล์อังกฤษ นั่งดื่มเบียร์ทั้งวัน ก็เหมือนเป็นดินแดนของอังกฤษอีกแห่งหนึ่ง
.
44 ปีต่อมา ลูกชายของ Diamond ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่บริสเบน เมื่อ Diamond แวะไปเยี่ยมในต้นยุค 2000 เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขาเห็นคนเอเชียเต็มไปหมด ไม่ได้มีแต่ผับอังกฤษ แต่มีร้านอาหารญี่ปุ่น ไทย เวียดนาม จีน ผุดขึ้นมากมาย
.
ก่อนหน้านี้ ออสเตรเลียเคยมีนโยบาย "ออสเตรเลียผิวขาว" ที่ไม่ต้อนรับผู้อพยพที่ไม่ใช่คนผิวขาว และนโยบายนี้ก็ใช้กับคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียมาก่อนด้วย แต่ตอนที่ Diamond มาเยือนครั้งที่ 2 นโยบายนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติเริ่มเข้ามาอาศัยในออสเตรเลีย
.
เมื่อเราย้อนดูประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย เราจะเห็นว่าวิกฤตที่พวกเขาผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว แต่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คำถามสำคัญก็คือ พวกเขาคือใคร มีอัตลักษณ์อะไร ออสเตรเลียใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก มีสมเด็จพระราชินีอังกฤษเป็นประมุขรัฐ ธงชาติยังประกอบด้วยธงชาติอังกฤษอยู่ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตามกาลเวลา เช่น เปลี่ยนเพลงชาติจาก God Save The Queen เป็น Advance Australia Fair
.
ลองย้อนกลับไปเมื่อ 50,000 ปีก่อน ตอนที่บรรพบุรุษชาวอะบอริจินเริ่มตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลีย ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงในปี 1788 ไม่ได้มาแบบสงบสุขนัก พวกเขาไม่ได้เข้า Google แล้วบอกว่า เฮ้ย ประเทศนี้สวยจัง น่าไปเที่ยว แต่พวกเขากลับบอกว่า เรามีนักโทษล้นคุก ต้องเอาไปทิ้งที่ไหนสักแห่งให้ไกลๆ
.
ชุดเรือ 11 ลำแรกจากอังกฤษ นำนักโทษ 730 คนมาทิ้ง คนพวกนี้ทำผิดเพียงเล็กน้อย อย่างขโมยขนมปัง แต่ถูกส่งตัวมายังดินแดนไกลโพ้นพร้อมผู้คุม เจ้าหน้าที่ คนงาน และทหารเรืออีกจำนวนหนึ่ง เรือลำแล้วลำเล่าแล่นเข้ามาเรื่อยๆ ออสเตรเลียกลายเป็นที่ทิ้งนักโทษไป
.
แน่นอนว่าหนังสือประวัติศาสตร์มักจะข้ามเรื่องราวบางอย่างไป โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับชนพื้นเมืองตั้งแต่ปี 1788 เป็นต้นมา ในอาณานิคมอังกฤษอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา อินเดีย ฟิจิ และแอฟริกาตะวันตก ผู้ล่าอาณานิคมมักจะเจรจากับผู้นำท้องถิ่นอย่างสันติ แต่เมื่อมาถึงออสเตรเลีย ชนพื้นเมืองอะบอริจินมีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน ไม่มีหมู่บ้านถาวร ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่ดิน จึงไม่รู้จะเจรจากับใคร ชาวอังกฤษเลยคิดว่า เมื่อพวกเขาไม่มีใครเป็นเจ้าของ ที่ดินก็ต้องเป็นของเรา
.
ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปจึงยึดที่ดินโดยไม่มีการเจรจา ไม่จ่ายค่าตอบแทน ไม่มีการต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธ เพราะชนเผ่าพื้นเมืองมีมากมายและกระจัดกระจาย พวกยุโรปเข้ามาและฆ่าชนพื้นเมืองจำนวนมหาศาล เรื่องนี้ยังดำเนินมานานแสนนาน จนถึงปี 1928 ยังมีการสังหารหมู่ชาวอะบอริจิน 32 คนเลย
.
ที่แย่ไปกว่านั้น เมื่อรัฐบาลอังกฤษรู้เรื่อง พวกเขาต้องการลงโทษคนที่อยู่เบื้องหลังการสังหารโหด แต่ชาวออสซี่ส่วนใหญ่กลับลุกฮือต่อต้าน และสนับสนุนเหล่าฆาตกรเสียอีก เนื่องจากชนพื้นเมืองเป็นสังคมล่าสัตว์และเก็บของป่า ไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาที่ตั้งรกราก ชาวผิวขาวบางคนจึงมองว่าพวกเขาเป็นพวกป่าเถื่อน ด้อยกว่า ถึงขนาดที่นักการเมืองบางคนพูดว่า "ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าชนเผ่าอะบอริจินเป็นมนุษย์" ซึ่งเป็นทัศนคติเหยียดเชื้อชาติที่เลวร้ายมาก แต่ก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อนเท่านั้นเอง รัฐบาลยังออกกฎหมายเหยียดผิวหลายฉบับ เช่นห้ามชนพื้นเมืองแต่งงานกับคนผิวขาวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล และที่โด่งดังที่สุดคือนโยบายในยุค 1930 ที่อนุญาตให้แยกเด็กๆ ออกจากครอบครัวชนพื้นเมือง เพื่อนำไปเลี้ยงดูกับครอบครัวอุปถัมภ์ชาวผิวขาว ด้วยเหตุผลว่า "เพื่อความผาสุกของพวกเขา"
.
สรุปคือ เมื่อก่อนออสเตรเลียมีนโยบาย "ผิวขาว" ไม่รับผู้อพยพที่ไม่ใช่คนผิวขาว และนโยบายเดียวกันนี้ก็ใช้กับคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนด้วย Diamond บอกว่าเขาไม่ได้ตำหนิให้ออสเตรเลียเป็นพิเศษอะไร เพราะสมัยนั้นทั้งโลกมีการเหยียดสีผิวเยอะมาก แต่ออสเตรเลียนี่แหละที่รวมเอาเรื่องนี้มาเขียนเป็นนโยบายคนเข้าเมืองได้อย่างเป็นทางการ
.
มาดูช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 เมื่ออังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมนี พวกเขาไม่ได้ปรึกษาพันธมิตรอย่างออสเตรเลียหรือแคนาดาเลย แค่บอกว่า เฮ้ย ! พวกเราจะไปรบแล้วนะ ออสเตรเลียก็ตอบทันทีว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ ไปไหนไปกัน จะส่งทหารไปช่วยเลย
.
ตอนนั้นอัตลักษณ์ของออสเตรเลียผูกติดอย่างแน่นหนากับการเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษ ถือได้ว่าเป็นชาติเดียวกัน ถ้าอังกฤษไปรบ ออสเตรเลียก็ต้องไปด้วยเพื่อปกป้องประเทศ ซึ่งในสายตาพวกเขาแล้ว อังกฤษก็คือประเทศของพวกเขาเอง
.
ออสเตรเลียส่งทหารอาสากว่า 400,000 นาย เกือบครึ่งหนึ่งของชายที่มีอายุเหมาะสมทั้งหมด ตอนนั้นประชากรยังไม่ถึง 5 ล้านคนด้วยซ้ำ หนึ่งในยุทธการที่โด่งดังที่สุดของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์คือการยกพลขึ้นบกที่แหลมกัลลิโปลีในตุรกี เมื่อ 25 เม.ย. 1915 โดยทหารออสซี่-นิวซีแลนด์ต้องสละชีพจำนวนมาก เพราะผู้นำฝ่ายอังกฤษวางแผนผิดพลาดอย่างมหันต์
.
สำหรับชาวต่างชาติ การให้ความสำคัญกับวัน ANZAC มากขนาดนี้ อาจจะดูแปลกๆ หน่อย เพราะออสเตรเลียฉลองวันที่ทหารจำนวนมากถูกส่งไปตายอย่างไร้ความหมาย ถูกหักหลังโดยผู้นำอังกฤษ ในสถานที่ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับผลประโยชน์ของออสเตรเลียเลย Diamond บอกว่าเขาเลยต้องเงียบปากเงียบคำเวลาพูดถึงเรื่องนี้ เพราะมันเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนออสซี่ ถึงแม้เขาจะมีข้อสังเกตที่น่าสนใจก็ตาม
.
เขาว่าตอนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียกับอังกฤษ เหมือนลูกที่เชื่อฟังแม่ผู้ทรงเกียรติ และต้องการให้แม่ภูมิใจ มันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปหลังเหตุการณ์สำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2
.
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ของสหรัฐฯ และโจมตีอังกฤษกับออสเตรเลีย ออสเตรเลียในตอนนั้นหวาดกลัวอำนาจของญี่ปุ่นมาก จึงขอความช่วยเหลือจากแม่อังกฤษ ย้ำว่าสงครามโลกครั้งที่แล้ว ชาวออสส่งทหารไปช่วยตั้งครึ่งล้านคน
.
อังกฤษตอบรับด้วยการส่งเรือรบมายังสิงคโปร์ ออสเตรเลียรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ตามมากลับทำให้ผิดหวังอย่างแสนสาหัส เพราะเรือรบอังกฤษพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย ยอมแพ้ต่อญี่ปุ่นอย่างไม่ทันขัดตาขัดใจ ปล่อยให้ญี่ปุ่นจับกุมเชลยศึกไปเป็นจำนวนมาก ก่อนจะถอยทัพกลับอังกฤษ ทิ้งออสเตรเลียไว้ข้างหลัง
.
การที่อังกฤษไม่ส่งกำลังมาช่วย แถมยังยอมแพ้ง่ายๆ ทำให้ญี่ปุ่นสามารถยกพลมาถล่มดาร์วินอย่างหนัก ด้วยเครื่องบินลำเดียวกับที่ใช้โจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ และนั่นคือการรุกรานออสเตรเลียครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ มีการโจมตีทางอากาศมากกว่า 60 ครั้ง
.
ความขมขื่นที่แม่อังกฤษทอดทิ้งลูกออสเตรเลียในยามลำบากเช่นนี้ ตราตรึงอยู่ในใจชาวออสซี่มายาวนาน แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี จอห์น เคอร์ติน ก็ประณามการกระทำของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ว่าเป็นการทรยศอย่างไม่น่าให้อภัย ความเจ็บปวดนี้ยังคงอยู่นานหลายทศวรรษ ในปี 1992 เป็นวาระครบ 50 ปีการยอมจำนน พอล คีตติ้ง (นายกฯ ผู้มีสถิติดื่มเบียร์ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์) ยังคงพูดถึงเรื่องนี้ในสภา และสะท้อนถึงความขมขื่นของการถูกอังกฤษทรยศเมื่อ 50 ปีก่อน
.
หลังสงครามโลก ความสัมพันธ์กับอังกฤษก็ค่อยๆ จางลง อัตลักษณ์เดิมที่เคยจงรักภักดีอังกฤษก็เริ่มสั่นคลอน ในแง่การค้า ก่อนหน้านี้อังกฤษเคยเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 45% ของการนำเข้าทั้งหมด แต่อย่างน่าแปลกใจ กลับเป็นญี่ปุ่น ศัตรูเก่าสมัยสงครามโลก ที่กลายมาเป็นคู่ค้าสำคัญที่สุดของออสเตรเลียแทน
.
ตั้งแต่นั้นมา การเป็นชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการถูกทรยศโดยอังกฤษ ทำให้อัตลักษณ์ของออสเตรเลียเริ่มถูกตั้งคำถามและเปลี่ยนแปลงไป จนเมื่อปี 1972 นายกรัฐมนตรี กอฟ วิทแลม มีอำนาจเต็มที่ เขาทำการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลายอย่างประชาชนคิดว่าสมควรทำอยู่แล้ว
.
ในช่วง 19 วันแรกของการทำงาน วิทแลม ทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย เช่น ยุติการเกณฑ์ทหาร ถอนทหารจากเวียดนาม รับรองสาธารณรัฐจีน ประกาศให้ปาปัวนิวกินีเป็นเอกราช (ก่อนหน้านี้เป็นส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย) ห้ามทีมกีฬานานาชาติเข้ามาถ้าคัดเลือกตามสีผิว (อย่างทีมคริกเกตแอฟริกาใต้ในช่วงแอพาร์ตเฮด) ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์ชนแบบอังกฤษ เช่น การแต่งตั้งอัศวิน ลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็น 18 ปี ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และยกเลิกค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัย งานเข้าเต็มๆ ใน 19 วันแรก แต่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดก็คือ การยกเลิกนโยบายออสเตรเลียผิวขาวนั่นเอง
.
วิทแลม บอกว่าการปฏิรูปเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน แม้จะทำเร็ว แต่จริงๆ แล้วประเทศมาถึงจุดนี้แล้ว ตั้งแต่ยุคนั้น อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป พอปี 1991 ชาวเอเชียกลายเป็นผู้อพยพหลักของออสเตรเลีย คิดเป็น 50% ของผู้เข้าเมืองทั้งหมด และในปี 2010 ออสเตรเลียมีสัดส่วนคนเกิดในต่างประเทศสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ปัจจุบันนี้ อิทธิพลของผู้อพยพจากเอเชียมีมากมาย เด็กเอเชียยึดครองอันดับต้นๆ ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชั้นนำเกือบทั้งหมด
.
แล้วออสเตรเลียเข้ากับกรอบแนวคิดการปรับตัวสู่วิกฤตได้อย่างไร ดูเหมือนว่าประเด็นหลักของออสเตรเลีย มากกว่าประเทศอื่นที่เราพูดถึง คือเรื่องอัตลักษณ์แก่นแท้และค่านิยมหลัก จากตอนแรกเป็นแค่ดินแดนห่างไกลของอังกฤษ จงรักภักดีอย่างไม่มีข้อกังขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประเทศก็เปลี่ยน ทั้งในแง่อัตลักษณ์ ความใกล้ชิดกับเอเชีย รวมถึงผลประโยชน์และนโยบายต่างประเทศด้วย
.
ในปัจจุบัน คำถามที่ว่าออสเตรเลียควรผูกพันกับชาติไหนระหว่างสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจเก่า กับจีน มหาอำนาจที่กำลังเติบโตใกล้บ้านเรา ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เสมอในสื่อ ประชากรของเรากำลังเปลี่ยนไปทางหนึ่ง แต่ค่านิยมของเราในฐานะประชาธิปไตยเสรีนิยมก็ยังคล้ายกับของสหรัฐฯ มันเป็นความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
.
ดูเหมือนว่าในช่วง 6-7 ทศวรรษที่ผ่านมา จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนนัก คำถามที่ว่า "ออสเตรเลียคือใคร" ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป
.
ในทศวรรษ 1990 เคยมีการลงประชามติว่าออสเตรเลียควรแยกตัวจากอังกฤษหรือไม่ ผลปรากฏว่า 55% ยังต้องการให้ราชินีเป็นประมุข ส่วนอีก 45% อยากเป็นสาธารณรัฐ สูสีมาก นอกจากนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางประชากร สักวันออสเตรเลียอาจจะมีนายกรัฐมนตรีเชื้อสายเอเชีย
.
-------------

#บทส่งท้าย
.
ในปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลกยังคงปฏิเสธปัญหาใหญ่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ขั้นตอนแรกคือต้องยอมรับก่อนว่ากำลังเผชิญวิกฤต ไม่งั้นจะก้าวต่อไปไม่ได้เลย อย่าง ฟินแลนด์ พวกเขาอาจจะจมอยู่กับความสงสารตัวเอง เพราะถูกประเทศมหาอำนาจรุมเร้า รู้สึกเป็นเหยื่อ แต่พวกเขากลับไม่ทำแบบนั้น พวกเขายอมรับความรับผิดชอบ ตัดสินใจหาทางออกด้วยตัวเอง
.
มีหลายวิธีที่แต่ละประเทศจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และสำคัญมากที่เราจะไม่ปัดโอกาสในการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เรื่องราวในอดีตเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่จะช่วยให้เราฝ่าฟันวิกฤตในปัจจุบันและอนาคต เครื่องมือเหล่านี้ได้แก่ การยอมรับว่าเรากำลังเผชิญวิกฤต การแบกรับความรับผิดชอบ การสร้างรั้วเพื่อการเปลี่ยนแปลงเฉพาะด้าน การระบุประเทศที่จะขอความช่วยเหลือ การอดทนอย่างเหนียวแน่น การยึดมั่นในคุณค่าหลัก และการประเมินตนเองอย่างถ่องแท้
.
.
.
.
#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

Luddites : จุดกำเนิดคำเรียกกลุ่มคนที่ต่อต้านเทคโนโลยี

Next
Next

สรุปหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดในโลก The Happiest Man on Earth: The Beautiful Life of an Auschwitz Survivor เรื่องราวจาก เอ็ดดี้ จาคุ ผู้ที่มีชีวิตรอดจากค่ายกักกันนาซี