สรุปหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดในโลก The Happiest Man on Earth: The Beautiful Life of an Auschwitz Survivor เรื่องราวจาก เอ็ดดี้ จาคุ ผู้ที่มีชีวิตรอดจากค่ายกักกันนาซี
สรุปหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดในโลก
The Happiest Man on Earth: The Beautiful Life of an Auschwitz Survivor
.
เรื่องราวจาก เอ็ดดี้ จาคุ ผู้ที่มีชีวิตรอดจากค่ายกักกันนาซี
.
#จากเอ็ดดี้
.
“เพื่อนใหม่ที่รักของผม ผมได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่มาครบหนึ่งศตวรรษแล้ว และรู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายนั้นเป็นอย่างไร ผมได้พบกับสิ่งเลวร้ายที่สุดในมนุษยชาติ ความพยายามของนาซีในการทำลายชีวิตของผมและชาวยิวทั้งหมด แต่ตอนนี้ผมถือว่าตัวเองเป็นชายที่มีความสุขที่สุดในโลก จากประสบการณ์ตลอดชีวิต ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตนี้จะงดงามได้ถ้าเราทำมันให้งดงาม”
.
“ผมจะเล่าเรื่องราวให้คุณฟัง มันเป็นเรื่องเศร้าในบางช่วง มีความมืดมนและเสียใจเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องราวแห่งความสุข เพราะความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ผมจะแสดงให้เห็น”
.
#ครอบครัวหนึ่งที่เคยมีความสุขที่สุดในโลก
.
เอ็ดดี้ จาคุ เกิดที่เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี ในปี 1920 ในครอบครัวชาวยิวที่รักชาติและภูมิใจในความเป็นเยอรมัน พ่อของเขาเป็นช่างฝีมือจากโปแลนด์ที่อพยพมาอยู่เยอรมนี ส่วนแม่มีพี่น้องถึง 13 คน ครอบครัวของเอ็ดดี้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมและวันสำคัญทางศาสนายิว แต่ยังคงรักและจงรักภักดีต่อเยอรมนีเป็นอันดับแรก
.
“ผมเกิดที่เมืองไลป์ซิก ทางตะวันออกของเยอรมนีในปี 1920 ชื่อจริงของผมคืออับราฮัม โซโลมอน ยาคูโบวิช แต่เพื่อนๆ เรียกผมสั้นๆ ว่า อาดี ในภาษาอังกฤษจะออกเสียงว่า "เอ็ดดี้" ซึ่งคุณเรียกผมแบบนั้นก็ได้
.
“ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่รักใคร่กัน เป็นครอบครัวใหญ่ พ่อผมมีพี่น้องรวมถึงพ่อตัวเองอีก 4 คน ส่วนแม่ของผมมีพี่น้องถึง 13 คน ย้อนคิดไปถึงความแข็งแกร่งของคุณย่าผมที่ต้องเลี้ยงลูกถึง 13 คน เธอเสียลูกชายไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งที่เขาเป็นชาวยิวที่เสียสละชีวิตเพื่อเยอรมนี รวมถึงพ่อของเธอที่เป็นอัศวินในกองทัพ แต่ไม่ได้กลับมาจากสงครามด้วย”
.
“พ่อของผมภูมิใจในการเป็นพลเมืองเยอรมันสูงที่สุด เขาเป็นคนโปแลนด์ที่อพยพมาอยู่เยอรมนี พ่อทิ้งโปแลนด์เพื่อมาเป็นช่างฝีมือด้านเครื่องพิมพ์ดีดให้กับบริษัทเรมมิงตัน ด้วยภาษาเยอรมันที่ดี เขาเดินทางไปอเมริกาโดยทำงานบนเรือเดินสมุทรเยอรมัน แต่คิดถึงครอบครัวจึงกลับมาที่ยุโรปด้วยเรือเดินสมุทรอีกลำ แต่ระหว่างนั้นเขาถูกจับเป็นคนต่างด้าวผิดกฎหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัฐบาลเยอรมันตระหนักว่าเขาเป็นช่างฝีมือที่มีฝีมือ จึงปล่อยให้เขาออกจากที่คุมขังมาทำงานในโรงงานที่ไลป์ซิกในการผลิตอาวุธหนักสำหรับสงคราม”
.
“ในช่วงนั้น พ่อได้พบรักกับแม่ของผมที่ชื่อเลนา และหลงรักเมืองไลป์ซิกและประเทศเยอรมนี พ่อเปิดโรงงานที่ไลป์ซิก แต่งงานกับแม่ และไม่นานผมก็ถือกำเนิด ต่อมา 2 ปีก็ได้น้องสาวโยฮันนาหรือฮานี่ ไม่มีอะไรสั่นคลอนความรักชาติและความภูมิใจในเยอรมนีของพ่อได้เลย เรานับตัวเองเป็นคนเยอรมันเป็นอันดับแรก เป็นยิวเป็นอันดับสอง ศาสนาเราไม่ได้สำคัญเท่ากับการเป็นพลเมืองที่ดีของเมืองไลป์ซิกของเรา”
.
แม้ครอบครัวของเอ็ดดี้จะไม่ได้ปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดนัก แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาประเพณีบางอย่างไว้ เช่น การรับประทานอาหารตามหลักศาสนา การไปสถานทูตยิว และการเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษ พ่อของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และมักสอนลูกๆ ว่าการใช้ชีวิตอย่างดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุหรือเงินทอง แต่อยู่ที่การแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงมาจากการให้ ไม่ใช่การรับ
.
“บางครั้งผมก็ไม่ค่อยปฏิบัติตามศาสนามากเท่าไหร่ แต่เราก็ไปสถานทูตยิวบ่อยๆ กินอาหารตามหลักศาสนา เพราะต้องการทำตามประเพณีเพื่อเอาใจคุณย่าที่อยู่กับเรา ซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก คุณย่าจะทำอาหารบนเตาใหญ่ ซึ่งทำให้บ้านอุ่นไปด้วย มีระบบท่อที่ออกแบบให้ไอร้อนลอยไปทั่วบ้าน เวลาเรากลับบ้านตัวแข็งทื่อ เราสามารถนั่งข้างเตาได้ ผมมีสุนัขพันธุ์ดัชชุนด์ชื่อลูลู มันจะขดตัวนอนบนตักผมในคืนที่หนาว”
.
“พ่อต้องทำงานหนักมากเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เราอยู่กันอย่างสุขสบาย แต่พ่อจะเน้นย้ำเสมอว่าการมีชีวิตที่ดีไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง ทุกคืนวันศุกร์ แม่จะอบขนมปังฮัลลาห์ 3-4 ก้อน เป็นขนมปังพิธีการอบด้วยไข่ที่กินในโอกาสพิเศษ ตอนผมอายุ 6 ขวบ ผมเคยถามพ่อว่าทำไมต้องอบตั้งหลายก้อน ทั้งที่เราเป็นแค่ครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คน พ่ออธิบายว่าก้อนที่เหลือพ่อจะเอาไปให้ชาวยิวที่ต้องการที่สถานทูต”
.
“พ่อสอนว่าถ้าเราโชคดีพอมีเงินมีบ้านดี เราต้องแบ่งปันช่วยเหลือคนที่ไม่มี นี่คือชีวิตที่ควรจะเป็น คือการแบ่งปันโชคลาภให้ผู้อื่น พ่อบอกว่าความสุขที่ได้ให้มีมากกว่าความสุขที่ได้รับ สิ่งที่สำคัญในชีวิต เช่น มิตรภาพ ครอบครัว ความใจดี มีค่ามากกว่าเงินทอง มนุษย์มีค่ามากกว่าเงินในบัญชี ตอนนั้นผมคิดว่าพ่อบ้าไปแล้ว แต่พอผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ผมรู้ว่าพ่อพูดถูก”
.
เอ็ดดี้เติบโตมาในเมืองไลป์ซิก ศูนย์กลางแห่งศิลปะและวัฒนธรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี เป็นเมืองแห่งหนังสือ เพลง ดนตรี และเป็นบ้านเกิดของบุคคลสำคัญทางวัฒนธรรมมากมาย เขาเชื่อว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด มีการศึกษาดีที่สุดในโลก แต่ความเชื่อนั้นผิดถนัด
.
------------------------------------------
.
หายนะมาเยือนประเทศเยอรมนี หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เศรษฐกิจถดถอย ผู้คนอดอยากยากจน อดอลฟ์ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเริ่มปลุกปั่นความเกลียดชังต่อชาวยิว ในปี 1933 เมื่อฮิตเลอร์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คลื่นแห่งการต่อต้านชาวยิวก็แผ่กระจายไปทั่วประเทศ จนมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเอ็ดดี้และครอบครัว เมื่อเขาถูกบังคับให้ออกจากโรงเรียนเพียงเพราะเป็นชาวยิว
.
พ่อของเอ็ดดี้ไม่ยอมแพ้ เขาใช้เส้นสายจัดการให้เอ็ดดี้ได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยวิศวกรรมเครื่องกลชั้นนำในตุตลิงเงน ใต้ของเยอรมนี โดยใช้ชื่อปลอมและสร้างเรื่องราวปกปิดตัวตนที่แท้จริงว่าเป็นชาวยิว เอ็ดดี้ต้องเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตามลำพัง ไกลบ้านเป็นเวลาถึง 5 ปี เขารู้สึกโดดเดี่ยวแต่ก็เข้าใจความตั้งใจดีของพ่อ การศึกษาด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่ได้รับนี้เองที่กลายเป็นสิ่งช่วยชีวิตเขาในเวลาต่อมา
.
ในวันที่ 9 พ.ย. 1938 หลังเรียนจบ เอ็ดดี้ตัดสินใจแอบกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ไลป์ซิกในโอกาสครบรอบแต่งงานของพ่อแม่ โดยไม่รู้เลยว่าคืนนั้นเองที่เกิดเหตุการณ์ "คริสตัลนัคท์" การก่อจลาจลใหญ่ต่อต้านชาวยิวทั่วเยอรมนี มีการสังหารชาวยิวตามท้องถนน เผาทำลายร้านค้าและศาสนสถาน แม้แต่เพื่อนบ้านเก่าที่เคยสนิทกันก็กลายเป็นศัตรู เอ็ดดี้ถูกทำร้ายอย่างสาหัสและถูกจับส่งไปยังค่ายกักกันบูเคนวัลด์ เขาสูญเสียทุกอย่างในชั่วข้ามคืน ทั้งศักดิ์ศรี อิสรภาพ และศรัทธาในมนุษยชาติ
.
--------------------------------------------
.
#นรกบนดิน
.
นับตั้งแต่ถูกจับส่งไปยังค่ายกักกันบูเคนวัลด์ เรื่อยไปจนถึงค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ เอ็ดดี้ต้องพบเจอกับความหฤโหดที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
.
"เราถูกขังอยู่ในกระท่อมขนาดใหญ่พร้อมนักโทษอีก 400 คน จากทั่วทุกมุมโลก ฮังการี ฝรั่งเศส รัสเซีย นักโทษจะถูกแยกตามเชื้อชาติและประเภท ชาวยิวอยู่กระท่อมนี้ นักโทษการเมืองอยู่อีกกระท่อม สำหรับฮิตเลอร์ พวกเราไม่ต่างกัน แต่จริงๆ แล้วพวกเรามาจากหลากหลายประเทศ ชนชั้น อาชีพ รวมอยู่ด้วยกัน หลายคนพูดคนละภาษา ไม่ค่อยมีอะไรที่เหมือนกันเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือการเป็นชาวยิว แต่ความเป็นยิวก็ยังหมายความต่างกันไปสำหรับแต่ละคน"
.
ในค่ายนรกแห่งนี้ เอ็ดดี้ต้องทนทุกข์กับสภาพความเป็นอยู่อันแร้นแค้น อาหารที่ได้รับในแต่ละวันมีน้อยนิด บางครั้งมีเพียงขนมปังและซุป
.
"อาหารมาตรฐานคือ ข้าวหนึ่งชามกับซุปเนื้อ แต่คุณจะรู้ได้เลยว่านักโทษการเมืองสำคัญๆ เพราะพวกเขาจะถูกล่ามโซ่ตรวนหนักๆ เชื่อมข้อเท้ากับข้อมือ โซ่สั้นและหนักมากจนพวกเขาไม่สามารถยืนตรงตอนกินได้ ต้องค่อมตัวลงเหนืออาหาร เราไม่ได้รับช้อน ดังนั้นต้องกินด้วยมือ ซึ่งจะไม่แย่ขนาดนั้นหากสุขอนามัยไม่แย่มาก เราไม่มีกระดาษชำระ ต้องเช็ดก้นด้วยไข่หรือมือ เราก็ไม่มีห้องน้ำ แค่หลุมขนาดใหญ่ เราทุกคนต้องใช้พร้อมกันสูงสุด 25 คน ลองนึกภาพดูสิ 25 ผู้ชาย หมอ ทนาย นักวิชาการ ต้องคอยทรงตัวอยู่บนแผ่นไม้ 2 แผ่น เพื่อถ่ายลงหลุมที่เต็มไปด้วยของเสีย"
.
เอ็ดดี้ยังต้องทนทุกข์กับการทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสาหัสจากทหารนาซี
.
"ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ เอสเอสจะบางครั้งจะตีเราเล่นๆ เขามีรองเท้าบู๊ตพิเศษที่มีปลายเหล็กแหลมคม พวกเขาจะรอให้เราเดินผ่านไปแล้วถีบเราแรงๆ ตรงส่วนเนื้อนุ่มที่ต้นขาชนกับก้น พร้อมทั้งตะโกน Schnell Schnell (เร็วเข้า เร็วเข้า) พวกเขาทำอย่างนั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากความสนุกโหดเหี้ยม บาดแผลแบบนี้ลึกและเจ็บปวดมาก ยากที่จะหายในที่ที่เราไม่มีอาหารและที่พักที่ดี ความหวังเดียวคือต้องใช้ผ้าขี้ริ้วอุดรูและพยายามหยุดเลือด"
.
สภาพที่พักอาศัยก็โหดร้ายไม่แพ้กัน
.
"เราต้องนอนแออัดกันใน 'เตียง' ที่ทำจากไม้แผ่นแข็งๆ กว้างไม่ถึง 8 ฟุต (2.4 เมตร) นอนกันถึง 10 คนต่อแถว ไม่มีที่นอน ไม่มีผ้าห่ม ความอบอุ่นเดียวที่ได้มาจากตัวคนข้างๆ เรานอนกอดกันเหมือนปลากระป๋องเพราะมีแค่นี้ถึงจะมีชีวิตรอด มันหนาวติดลบ 8 องศา และเรายังโดนบังคับให้นอนเปลือยเพราะถ้าเรามีชุดติดตัวจะถือว่าวางแผนจะหนี ใครที่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน เมื่อกลับมาจะต้องปลุกคนที่นอนหัวแถวกับท้ายแถวให้ขยับเข้ามานอนตรงกลาง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะแข็งตายเพราะอากาศหนาวเกินไป ทุกคืนจะมีคนตาย 10-20 คน เพราะไม่สามารถเบียดเข้ามาในกองกอดได้ทัน"
.
อาหารที่ได้รับในแต่ละวันก็น้อยนิดจนเอ็ดดี้และนักโทษคนอื่นๆ ผอมแห้งลงทุกที
.
"เรากลายเป็นโครงกระดูกเดินได้ เราผอมลงทุกวัน จนเกือบคลั่ง บางครั้งมีเพียงน้ำซุปให้กิน น้ำซุปก็ยังขาดแคลน ชามน้ำจะถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ ในแถว เมื่อถึงคนสุดท้ายก็จะไม่มีอะไรเหลือ คนหนึ่งที่นอนเตียงเดียวกับผม เขาเป็นพ่อครัวชาวฝรั่งเศสก่อนถูกจับ เขามักจะละเมอเกี่ยวกับอาหาร ในความฝันเขาจะร้องเรียกอาหารฝรั่งเศสเลิศรสอย่าง Vol-au-vent (พายชั้น), filet mignon (เนื้อสันในสุดอร่อย) คนอื่นไม่ค่อยรำคาญนัก แต่ผมที่ต้องนอนข้างๆ กลับนอนไม่หลับ นั่งฟังเขาพรรณาอาหารอย่างหิวโหย จนวันหนึ่งผมต้องปลุกเขาและบอกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า ถ้าคุณยังพูดถึงของหวานอีก ผมจะฆ่าคุณ"
.
การต้องหิวโซอยู่ตลอดเวลาก็กลายเป็นการทรมานที่ช้าแต่โหดร้าย
.
"วันหนึ่งขณะที่พวกเรากำลังเดินอยู่บนถนนในค่าย มีคนวิ่งเข้ามาบอกว่าพวกฮังกาเรียนแอบเก็บขนมปังเอาไว้ เราเดือดดาลมาก พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำอะไรลงไป ถ้านาซีเห็นเราแอบเก็บขนมปัง พวกมันจะตีเราและประกาศว่าชาวยิวไม่ยอมกินอาหารที่ให้ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการตัดปันส่วนอาหารให้น้อยลงไปอีก ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้รับอาหารน้อยเกินกว่าจะมีสุขภาพดีอยู่แล้ว"
.
ไม่ใช่แค่ความหิวโหย แต่ความตายก็เป็นเงาตามตัวของเอ็ดดี้อยู่ทุกวัน
.
"กลิ่นเนื้อไหม้และควันพวยพุ่งออกมาจากปล่องทุกวัน เหม็นคลุ้งไปทั่วค่าย เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องแก๊ส แต่เราพอจะเดาได้ บ่อยครั้งที่เราเห็นคนถูกพาเข้าไปในนั้นแล้วไม่เคยได้ออกมาอีกเลย ... ทุกเดือนหมอจะมาสำรวจร่างกายเรา โดยเฉพาะบั้นท้าย เพื่อดูว่ามีไขมันสะสมหรือไม่ ถ้าสะโพกของคุณเป็นเพียงแผ่นหนังห้อยลง พวกเขาจะหยิกและบีบได้ แสดงว่าคุณไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขาแล้ว และต้องถูกส่งเข้าห้องแก๊ส"
.
ครั้งหนึ่ง เอ็ดดี้ถูกส่งไปทำงานในเหมืองถ่านหิน สภาพการทำงานที่นั่นก็ย่ำแย่เช่นกัน
.
"บางช่วงผมถูกส่งไปเป็นแรงงานในเหมืองถ่านหิน ผมต้องใช้สิ่วเจาะเหมืองที่มีพื้นที่แคบ ไม่มีที่ให้ยืนตรง ต้องทำงานหนักกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน ขาดอากาศหายใจ มีอุบัติเหตุบาดเจ็บล้มตาย แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการทำงานไม่ถูกใจผู้คุม ครั้งหนึ่งผมถูกผู้คุมกระทืบซ้ำๆ ที่หูจนเลือดออก เพราะผมไปรายงานว่าแรงงานอีกกลุ่มแอบขโมยแร่ถ่านหินของพวกเราไป ผมตัดสินใจไม่ถูก ทั้งโกรธแค้นเจ็บแค้น แต่ก็ไม่กล้าโต้ตอบ เพราะกลัวจะถูกทำโทษหนักกว่านี้"
.
นอกจากความทารุณโหดร้ายของนาซีแล้ว อีกสิ่งที่ฆ่านักโทษอย่างช้าๆ คือสภาพแวดล้อมที่แย่มากในค่าย
.
"เอาชวิตซ์เป็นค่ายแห่งความตาย คุณไม่มีทางรู้เลยว่าถ้าตื่นมาตอนเช้า คุณจะได้กลับมานอนบนเตียงที่นี่อีกหรือเปล่า ที่จริงเราไม่มีเตียงด้วยซ้ำ เรานอนกันบนแคร่ไม้อัดแข็งๆ ยาวไม่ถึง 8 ฟุต (2.4 เมตร) แต่ละแถวต้องนอนกัน 10 คน ไม่มีที่นอน ไม่มีผ้าห่ม ความอบอุ่นเดียวมาจากคนข้างๆ เท่านั้น"
.
เอ็ดดี้เองก็ป่วยหนักจากโรคตับอักเสบจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของค่าย
.
"ผมล้มป่วยเพราะตับอักเสบ ผิวเหลืองซีด อ่อนเพลียมาก ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลค่ายเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เคิร์ทเป็นห่วงมาก เขาไม่รู้ว่าผมจะได้รับการดูแลหรือให้อาหารหรือเปล่า วันหนึ่งเขามาเยี่ยมโดยแอบเอาชามซุปร้อนมาให้ผมกิน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมีพายุหิมะพัดแรงมาก ผมเห็นเคิร์ทฝ่ากระหน่ำมาหาผมด้วยความยากลำบาก แต่แล้วเอสเอสคนหนึ่งไล่ตามมา ผมพยายามส่งสัญญาณให้เขากลับไป แต่ไม่ทัน ทหารนาซีคนนั้นแย่งชามซุปไปแล้วฟาดหัวเคิร์ทจนชามแตก น้ำซุปร้อนๆ ทำให้ใบหน้าของเขาพองเป็นแผลเหวอะ พวกเรารีบเอาหิมะมาประคบ และไปขอครีมกับผ้าพันแผลพิเศษสำหรับแผลไฟไหม้จากเพื่อนหมอในค่าย ถ้าไม่รีบรักษา เคิร์ทอาจเสียใบหน้าไป"
.
------------------------------------
.
#การสูญเสียพ่อแม่
.
เอ็ดดี้ก็ต้องมาเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อพ่อแม่ของเขาถูกส่งตรงเข้าไปในห้องแก๊สในวันที่เดินทางมาถึงค่ายเอาชวิตซ์
.
"ผมเห็นพ่อและแม่ได้แค่ไกลๆ ก่อนที่พวกเขาจะถูกผลักเข้าไปในกลุ่มที่ถูกส่งตรงเข้าห้องแก๊ส ... 2 วันต่อมา ผมถามเอสเอสว่าพ่อของผมไปไหน เขาจูงผมไปที่ระหว่างแดนและชี้ไปที่ควัน 'นั่นไง พ่อของนายไปที่นั่น แม่ของนายก็ด้วย ไปที่ห้องรับแขก (ห้องแก๊ส) และเตาเผาศพ' ผมได้รู้ตอนนั้นเองว่าตัวเองกลายเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายแล้ว พ่อผม บุรุษที่แข็งแกร่งและใจดีที่สุดที่ผมเคยรู้จัก กลายเป็นแค่ความทรงจำ ไม่ได้รับแม้แต่พิธีฝังศพให้เกียรติ และแม่ผม โอ้แม่ที่น่าสงสารของผม ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะกล่าวคำอำลา ผมคิดถึงแม่ทุกวัน ทุกคืนผมยังฝันถึงแม่ และบางครั้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเรียกหาแม่ เธอจากไปแล้ว ถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณี ถูกขโมยไปจากผม ผมจะไม่มีวันได้เจอแม่อีกแล้ว"
.
----------------------------------------
.
#มนุษย์
.
ที่เอาชวิตซ์ เอ็ดดี้รอดตายมาได้เพราะความสามารถด้านวิศวกรรมของเขา เขาถูกส่งไปทำงานในโรงงานทำอุปกรณ์ทางการแพทย์ของบริษัทไอ. จี. ฟาร์เบน
.
"ในฐานะหัวหน้าช่างของโรงงานไอ. จี. ฟาร์เบน ผมต้องควบคุมดูแลท่อส่งลมแรงดันสูง ซึ่งใช้ขับเคลื่อนเครื่องจักรกว่า 200 เครื่องที่ผลิตเสบียงสำหรับกองทัพเยอรมัน ผมต้องสวมป้ายคล้องคอเอาไว้ว่า หากพบท่อรั่วแม้แต่ครั้งเดียวจะต้องถูกแขวนคอ มีคนงานทั้งหมด 200 คน แต่ละคนทำหน้าที่ดูแลเครื่องจักรของตัวเอง และผมต้องคอยตรวจดูให้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะจับตาดูทุกเครื่องพร้อมกัน ดังนั้นผมจึงทำนกหวีด 200 อัน แจกให้นักโทษทุกคน หากเห็นเครื่องเริ่มแรงดันลด ให้รีบเป่านกหวีด แล้วผมจะวิ่งไปซ่อมทัน ถึงแม้โรงงานจะมีเครื่องผลิตของหลากหลาย แต่มันถูกออกแบบมาให้ทุกเครื่องเชื่อมโยงกัน ถ้าเครื่องใดเครื่องหนึ่งเสีย ทุกเครื่องก็ต้องหยุด แล้วผมจะตายแน่ ในระหว่างปีที่ผมทำงาน ไม่มีสักเครื่องที่เสีย เรื่องที่น่าแปลกใจคือ หนึ่งใน 200 คนงานนั้นคือน้องสาวของผมเอง"
.
นอกจากความทารุณโหดร้ายของนาซีแล้ว อีกสิ่งที่ฆ่านักโทษอย่างช้าๆ คือภาวะขาดอาหารที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน
.
"เราอ่อนแอลงทุกวัน และรู้ว่าถ้าอ่อนแอจนทำงานไม่ไหว เราก็ตาย พวกหมอจะมาสำรวจเราเป็นประจำว่ามีเหา และชั่งน้ำหนัก หากใครมีเหาเม็ดเดียว พวกมันจะอัดแก๊สเข้ามาในห้องนอน ฆ่าเราทุกคน ทุกเดือนพวกหมอจะให้เราเข้าแถวแล้วเช็คก้น เพื่อดูว่ามีไขมันสะสมอยู่รึเปล่า ถ้าเห็นว่าสะโพกเป็นแค่แผ่นหนังหุ้มกระดูก พวกมันจะหยิกได้ แปลว่าเราไร้ประโยชน์แล้ว ต้องถูกส่งไปแก๊ส ทุกเดือนมีคนถูกส่งไปตายเยอะมาก แล้วพวกเราก็อยู่อย่างหวาดกลัว"
.
"ผมกับเคิร์ทจะรอดูผลหลังการเช็คทุกเดือนว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่มั้ย มันเป็นปาฏิหาริย์ทุกครั้ง ถึงจะป่วยแต่หน้าเรายังดูอิ่มอยู่บ้าง เลยยังไม่โดนฆ่า ผมยังอัศจรรย์ใจกับร่างกายมนุษย์ ว่ามันทนได้ขนาดไหน ผมเป็นวิศวกรแม่นยำ เคยใช้เวลาหลายปีสร้างเครื่องจักรซับซ้อนประณีตที่สุด แต่ไม่มีทางสร้างเครื่องจักรอย่างร่างกายมนุษย์ได้ มันคือเครื่องจักรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก มันเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังชีวิต ซ่อมแซมตัวเองได้ ทำอะไรก็ได้ตามที่คุณต้องการ ร่างกายผมถูกผลักดันจนถึงขีดจำกัดในเอาชวิตซ์ มันถูกทำให้อดอยาก ทุบตี แช่แข็ง บาดเจ็บ แต่มันก็ยังทำให้ผมมีชีวิตอยู่ และยังทำให้ผมอยู่มาได้ถึงวันนี้ กว่าร้อยปีแล้ว ช่างเป็นเครื่องจักรอัศจรรย์จริงๆ"
.
--------------------------------------------------
.
#การล่มสลายของนาซี
.
แม้จะต้องเผชิญกับความทารุณโหดร้ายในค่ายกักกัน แต่เอ็ดดี้ก็ยังได้เห็นความเมตตากรุณาในหัวใจของผู้คน ทั้งจากผู้คุมบางคน และจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน
.
"ผมนึกถึงสิ่งที่พ่อสอนผมตอนเป็นเด็ก ความสุขที่ได้ให้มีมากกว่าความสุขที่ได้รับ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่จะทำได้ ถ้าผมมีอาหารหรือเสื้อผ้าเกินมา ผมจะแบ่งปันให้คนที่ต้องการ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเป็นมนุษย์ต่างจากพวกนาซี ไม่ว่าจะต้องเจออะไร ผมจะไม่มีวันเป็นคนเลวแบบพวกมัน ผมจะไม่ทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอด จะไม่ขโมยขนมปังของคนอื่น และจะพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่าที่จะทำได้"
.
เมื่อกองทัพอังกฤษ อเมริกา และโซเวียตบุกเข้ามาในเยอรมนี ชะตากรรมของนาซีกำลังจะถึงจุดจบ พวกนาซีเริ่มตื่นตระหนกและสั่งอพยพนักโทษออกจากเอาชวิตซ์และค่ายย่อยอื่นๆ
.
"วันที่ 18 มกราคม 1945 เรามีเคอร์ฟิวตอน 3 ทุ่ม และหลังนับจำนวนแล้ว เราถูกแจ้งว่าจะไม่ได้ไปทำงานวันนี้ พวกมันให้เราออกเดินทัพไปเยอรมนี สงครามกำลังแย่สำหรับนาซี กองทัพรัสเซียใกล้เข้ามาแล้ว เพียง 20 กิโลเมตร และนาซีที่ควบคุมเอาชวิตซ์ตกใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร พวกมันกลัวมากว่าสิ่งที่พวกมันทำกับพวกเราจะถูกเปิดโปง และมีคำสั่งอพยพค่าย ระเบิดเตาเผาศพ พวกมันไม่รู้จะทำอะไรกับพวกเรา เลยตัดสินใจให้เดินไปค่ายอื่นลึกเข้าไปในเยอรมัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ 'เดอะ เดธ มาร์ช' หรือเดินทัพแห่งความตายจากเอาชวิตซ์ มีนักโทษราว 15,000 คนเสียชีวิต บางคนแข็งตายเพราะความหนาวขณะเดินทาง บางคนล้มลงด้วยความอ่อนแรง และถ้าล้ม นาซีก็จะเอาปืนจ่อปากแล้วยิงให้ตายเลยบนที่นั่น ไม่มีการถามอะไรทั้งนั้น"
.
"พวกเราเดินทางเป็นเวลานานราวกับชั่วนิรันดร์ ตลอดทั้งคืนในหิมะ คุณสามารถได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่นาซียิงพวกเรา ปัง ปัง ปัง มันคือช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิต อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศา เราไม่มีอาหารหรือน้ำ เราเดินไปเป็นเวลาสามวันสามคืน แต่ผมยังมีเคิร์ทเคียงข้าง"
.
ระหว่างการเดินทัพแห่งความตาย เอ็ดดี้ได้หาโอกาสหลบหนีอย่างหวุดหวิดหลายครั้ง
.
"วันหนึ่งผมเจอถังไม้สำหรับดองแตงกวา มีฝาปิดเป็นแผ่นไม้ ผมเก็บมาสองอัน เผื่อจะใช้ประโยชน์อะไรได้ เวลาพักเราก็จะนั่งบนฝาถัง แล้วซ่อนไม่ให้ทหารเห็น บางคนคงคิดผมบ้า แบกแผ่นไม้เปล่าๆ มาทั้งที่อ่อนแรงจะแย่อยู่แล้ว จนกระทั่งเรามาถึงถนนเส้นใหญ่ที่มีคูน้ำอยู่สองข้าง และมีท่อระบายน้ำลอดข้ามถนน ผมเห็นเป็นโอกาสที่จะหนีได้ พอตกดึกพอที่ไม่มีใครเห็น ผมก็วิ่งจากขบวนหลบเข้าไปซ่อนในท่อระบายน้ำ พอดีน้ำท่วมมาถึงครึ่งท่อ ทำให้ตัวผมจมน้ำเย็นเฉียบ ผมรีบหยิบแผ่นไม้มากั้นตัวทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ลอยไปกับน้ำ แล้วก็ค่อยๆ หลับไป ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน พอตื่นขึ้นมา แผ่นไม้ที่กั้นตัวเอาไว้เต็มไปด้วยรอยกระสุน 38 รอยที่แผ่นขวา และ 10 รอยที่แผ่นซ้าย ถ้าไม่มีไม้พวกนั้นป้องกัน ป่านนี้ผมคงตายไปแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่เห็นใครออกมาจากท่อได้เลย เพราะพวกเอสเอสจะยืนรอยิงปืนกลเข้าไปในท่อ เพื่อฆ่าคนที่ซ่อนอยู่"
.
ในที่สุดกองทัพอเมริกาก็ช่วยชีวิตเอ็ดดี้ไว้ได้ แต่เขายังไม่พ้นขีดอันตราย
.
"เมื่อกองทัพอเมริกันมาช่วย ผมแทบจะไม่มีชีวิตชีวาอยู่แล้ว พวกเขาห่อตัวผมด้วยผ้าห่ม แล้วผมก็หมดสติไป ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงโรงพยาบาลในเยอรมัน ร่างกายซูบผอม เหลือแค่หนังหุ้มกระดูก น้ำหนักเพียง 28 กิโลกรัม และกำลังป่วยหนักด้วยอหิวาตกโรคและไข้รากสาดใหญ่ หมอบอกว่าผมมีโอกาสเสียชีวิตถึง 65% ผมรอดมาได้ก็เหมือนปาฏิหาริย์ ในวินาทีนั้น ผมสัญญากับพระเจ้าว่า ถ้ามีชีวิตรอด ผมจะกลายเป็นคนใหม่ ผมจะออกจากแผ่นดินเยอรมัน และจะไม่หวนกลับมาอีกเป็นอันขาด ผมจะมุ่งมั่นใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเยียวยาแผลใจ และแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้น รวมถึงจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีความหวัง ร่างกายจะทำเรื่องอัศจรรย์ได้ วันพรุ่งนี้จะมาถึง ถ้าเรารอดวันนี้ไปได้"
.
หลังจากนั้นชีวิตของเอ็ดดี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย เขาตามหาครอบครัวและพบว่าเหลือรอดกันมาได้น้อยคน เขายังต้องเผชิญกับความหวาดระแวงและการเหยียดเชื้อชาติในสังคม แม้แต่เพื่อนร่วมชาติยิวบางคนก็ยังได้รับบาดแผลทางใจจนไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปได้
.
จนกระทั่งปี 1950 เอ็ดดี้จึงตัดสินใจย้ายไปเมืองใหม่ที่ออสเตรเลีย เพื่อหวังเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ที่นั่นเขาได้พบกับภรรยาที่แสนดี และมีลูกชาย 2 คนที่น่ารักเป็นที่รัก การได้เป็นพ่อ ได้เห็นความสุขของครอบครัว คือสิ่งที่เยียวยาและเติมเต็มหัวใจให้เขากลับมาเบิกบานอีกครั้ง
.
แต่บาดแผลจากอดีตก็ยากที่จะลบเลือน เอ็ดดี้เลือกที่จะไม่พูดถึงมันนาน จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกว่านี่คือหน้าที่ที่เขาต้องทำ การบอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของนาซี เพื่อเป็นบทเรียนให้โลกได้รู้ เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของสันติภาพและการให้เกียรติความเป็นมนุษย์
.
"ตอนนี้ผมกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมไม่อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นถ้าผู้รอดชีวิตอย่างผมจากไปหมดแล้ว เรื่องราวของพวกเราจะจางหายไปจากประวัติศาสตร์หรือเปล่า หรือว่าคนจะยังจดจำเรา ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วสำหรับคนรุ่นใหม่ คนหนุ่มสาวที่มีแรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น พวกเขาจะได้ยินเรื่องราวความเจ็บปวดของเรา และสืบทอดความหวังของเราต่อไป"
.
"ดังนั้นผมจึงยังคงเล่าเรื่องราวของผมต่อไป ให้ใครก็ตามที่อยากฟัง ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง เพราะมันเจ็บปวดมาก แต่หากสามารถเปลี่ยนแปลงแนวคิดของใครได้สักคน มันก็คุ้มค่าแล้ว และผมหวังว่าคนนั้นจะเป็นคุณ เพื่อนใหม่ของผม"
.
------------------------------------------
.
#บทส่งท้าย
.
"75 ปีที่แล้ว หลังจากสงครามสิ้นสุด ผมได้พบกับนาซีคนหนึ่งที่ถูกจับเป็นเชลยสงคราม ผมถามเขาว่า ทำไม ทำไมถึงทำแบบนั้น แต่เขาตอบไม่ได้ เขาเริ่มตัวสั่นและร้องไห้ ดูไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้ว ผมแทบสงสารเขา เขาไม่ดูเหี้ยมโหด แค่ดูน่าสมเพช เหมือนเป็นศพเดินได้แล้ว แต่คำถามของผมยังคงไร้คำตอบ"
.
"ยิ่งผมแก่ตัวลงผมก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นว่าทำไม ทำไมมันถึงเกิดขึ้น ผมไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงมัน เหมือนกับเป็นโจทย์ปัญหาทางวิศวกรรมที่ผมต้องคิดหาคำตอบ ถ้าเป็นเครื่องจักร ผมสามารถตรวจสอบ หาจุดบกพร่อง แก้ไขมันได้ แต่นี่คือเรื่องของมนุษย์ คำตอบเดียวที่ผมคิดได้คือ ความเกลียดชังเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้าย เหมือนมะเร็งที่อาจฆ่าศัตรูของคุณได้ แต่สุดท้ายก็จะทำลายตัวคุณเองด้วย อย่าโทษคนอื่นที่ทำให้ชีวิตเราแย่ ไม่มีใครบอกว่าชีวิตนั้นง่าย แต่ชีวิตก็จะง่ายขึ้นถ้าเรารักมัน ถ้าเรารังเกียจชีวิตตัวเอง มันก็จะยากเกินกว่าจะอยู่ต่อไปได้ นี่คือเหตุผลที่ผมพยายามเป็นคนใจดี แม้ผมจะต้องทนทุกข์ทรมานมามากมาย ผมอยากพิสูจน์ให้พวกนาซีเห็นว่าพวกมันคิดผิด ผมอยากแสดงให้คนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเห็นว่าพวกเขาคิดผิด ดังนั้นผมจึงไม่เกลียดใคร ไม่แม้แต่ฮิตเลอร์ ผมให้อภัยเขาไม่ได้หรอก เพราะถ้าให้อภัย ผมก็จะเป็นทรยศต่อชาวยิว 6 ล้านคนที่ถูกฆ่า จะไม่มีการอภัยใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในเมื่อผมพูดแทนคน 6 ล้านคนที่ไม่อาจพูดได้อีกแล้วได้ ผมก็จะใช้ชีวิตเพื่อพวกเขา ใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้"
.
"ผมสัญญากับตัวเองว่า เมื่อผ่านช่วงเวลามืดมนที่สุดในชีวิตมาได้แล้ว ผมจะมีความสุขไปจนวันตาย จะยิ้มให้กับโลกใบนี้ เพราะถ้าเรายิ้ม โลกก็จะยิ้มตอบเรา ชีวิตไม่ได้มีแต่ความสุข บางวันก็ยากลำบาก แต่เราต้องจำไว้ว่า เรานั้นโชคดีแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่ เราทุกคนโชคดีเช่นนี้ ลมหายใจทุกครั้งคือของขวัญ ชีวิตนั้นงดงาม ถ้าเรายอมให้มันเป็นเช่นนั้น ความสุขอยู่ในมือเรา"
.
"75 ปีก่อน ผมไม่คิดเลยว่าจะได้มีลูก มีหลาน มีเหลน ตอนนั้นผมตกต่ำที่สุดในชีวิต แต่ตอนนี้ผมกลับได้อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว โปรดอย่าลืมที่จะใช้เวลาชื่นชมทุกๆ ช่วงเวลาในชีวิตของคุณ ทั้งเรื่องดีและร้าย บางครั้งคุณอาจจะร้องไห้ บางครั้งคุณอาจจะหัวเราะ และถ้าคุณโชคดีพอ คุณจะมีเพื่อนคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้าง เหมือนอย่างที่ผมเคยมีมาตลอดชีวิต โปรดอย่าลืมที่จะมีความสุขในทุกๆ วัน และอย่าลืมที่จะมอบความสุขให้คนอื่นด้วย ทำให้ตัวเองเป็นเพื่อนกับทุกคนในโลก ทำอย่างนี้เพื่อเพื่อนใหม่อย่างผมนะ เอ็ดดี้ จาคุ"
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.