สรุปหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind
สรุปหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind
เขียนโดย ยูวัล โนอาห์ แฮรารี
ประวัติย่อของมนุษยชาติ สรุปจบในโพสต์เดียว บทที่ 1 ถึง บทที่ 20
(คำเตือน บทความยาวมากครับ)
.
(หมายเหตุ : “ประวัติศาสตร์”และข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ แม้จะติด Best Seller และเป็นหนึ่งในหนังสือชื่อดังระดับโลก แต่ทั้งหมดเป็นเพียงทรรศนะของผู้เขียน ไม่อาจฟันธงได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง100% และมีเนื้อหาบางส่วนที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการ ไปจนถึงขั้นตั้งข้อสังเกตในความไม่แม่นยำของข้อมูลที่ยูวัล โนอาร์เขียน ดังนั้นผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านประกอบครับ)
.
.
เมื่อหนึ่งแสนปีก่อน มนุษย์อย่างน้อย 6 สปีชีส์ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สปีชีส์ Homo sapiens ประสบความสำเร็จเหนือสปีชีส์อื่น เราสามารถหลีกเลี่ยงกฎการคัดเลือกโดยธรรมชาติ และออกแบบโลกใบนี้ด้วยตัวเราเอง หนังสือเล่มนี้มุ่งตอบคำถามว่า "การเป็นมนุษย์" คืออะไร โดยพิจารณาจากอดีต ปัจจุบัน และมองไปถึงอนาคต
.
ข้อคิดหลัก 5 ประการจากหนังสือเล่มนี้
.
1. การเล่าเรื่องและความเชื่อร่วมกัน ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างผู้คนในวงกว้าง
2. การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นกับดักของความสุขสบาย ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่คุณภาพชีวิตกลับแย่ลง
3. เงินตรา ลัทธิจักรวรรดินิยม และศาสนา ผลักดันให้มนุษยชาติรวมตัวกันเป็นสังคมระดับโลก
4. การปฏิวัติวิทยาศาสตร์เกิดจากการยอมรับในสิ่งที่เราไม่รู้ ของมนุษย์เอง
5. ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์จะดีขึ้นเสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์
.
=============================
.
บทที่ 1. สัตว์ที่ไม่มีความสำคัญ
.
- สิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์ยุคปัจจุบันมากที่สุด ปรากฏตัวเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อน
- มนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์เป็นสัตว์ที่ไม่มีความสำคัญ ไม่ได้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปกว่ากอริลลา หิ่งห้อย หรือแมงกะพรุนแต่อย่างใด
- Homo sapiens หมายถึง มนุษย์สายพันธุ์ sapiens (ฉลาด) ในจีนัส Homo (มนุษย์)
- การรุ่งเรืองของ Sapiens นำไปสู่การปฏิวัติทางปัญญา เมื่อ 70,000 ปีก่อน
- จนถึงราว 10,000 ปีก่อน มนุษย์หลายสปีชีส์ดำรงชีวิตร่วมกันมาโดยตลอด
- Homo sapiens เป็นเพียงหนึ่งในหลายสปีชีส์ของมนุษย์ที่เคยมีชีวิตอยู่
- Homo neanderthalensis (มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล) อาศัยอยู่ในยุโรปและเอเชียตะวันตก
- Homo erectus (มนุษย์ที่เดินตัวตรง) แพร่กระจายอยู่ในเอเชียตะวันออก และอยู่รอดที่นั่น 2 ล้านปี ทำให้เป็นสปีชีส์มนุษย์ที่ทนทานที่สุดเท่าที่เคยมี
- Homo soloensis อาศัยอยู่บนเกาะชวาของอินโดนีเซีย
- Homo floresiensis คือมนุษย์ร่างเตี้ย มีความสูงสุดเพียง 3.5 ฟุต และน้ำหนักไม่เกิน 55 ปอนด์ อาศัยอยู่บนเกาะฟลอเรสของอินโดนีเซีย
- Homo denisova อาศัยอยู่ในไซบีเรีย
- Homo rudolfensis วิวัฒนาการในแอฟริกาตะวันออก
- Homo ergaster ก็วิวัฒนาการในแอฟริกาตะวันออกเช่นกัน
#ค่าใช้จ่ายของการคิด
- มนุษย์ทุกสายพันธุ์ล้วนมีสมองขนาดใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่นมาก
- สมองขนาดใหญ่ต้องการพลังงานมหาศาล
- เราแลกสมองขนาดใหญ่ด้วยการใช้เวลาหาอาหารนานขึ้น และความฝ่อของกล้ามเนื้อ
- การเดินตัวตรงสองขาก็เป็นอีกหนึ่งลักษณะเฉพาะของมนุษย์
- มือของเราวิวัฒนาการเพื่อทำงานประณีต และผลิตเครื่องมือที่ซับซ้อน
- เมื่อ 100,000 ปีก่อน Homo sapiens ไต่ระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างรวดเร็ว จนระบบนิเวศไม่ทันได้ปรับตัว
#มนุษย์ผู้ทำอาหาร
- เมื่อ 300,000 ปีก่อน มนุษย์เริ่มใช้ไฟเป็นประจำทุกวัน
- ไฟทำให้มนุษย์ปรุงอาหารได้ ซึ่งทำให้อาหารหลายชนิดย่อยง่ายขึ้น
- ลิงชิมแปนซีใช้เวลาเคี้ยวอาหารดิบ 5 ชั่วโมงต่อวัน มนุษย์ใช้เวลารับประทานอาหารปรุงสุกเพียง 1 ชั่วโมง
- การปรุงอาหารทำให้ลำไส้สั้นลง ใช้พลังงานน้อยลง จนสร้างแรงผลักดันให้สมองของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลและ Sapiens มีขนาดใหญ่โตขึ้น
#ผู้พิทักษ์พี่น้อง
- เมื่อ 70,000 ปีก่อน Sapiens จากแอฟริกาตะวันออกแพร่ขยายไปยังคาบสมุทรอาระเบีย และจากนั้นก็รวดเร็วเข้าครอบครองพื้นที่มหาทวีปยูเรเซียทั้งหมด
- ทฤษฎี Interbreeding บอกว่า Sapiens ผสมพันธุ์กับสปีชีส์มนุษย์อื่น และมนุษย์ในปัจจุบันก็เป็นผลจากการผสมข้ามสายพันธุ์นี้
- ทฤษฎี Replacement บอกว่า Sapiens ไม่สามารถผสมพันธุ์กับสปีชีส์มนุษย์อื่นได้ แต่ฆ่าพวกมันอย่างหมดจด ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมผ่านการแย่งชิงทรัพยากร
- ดีเอ็นเอเฉพาะตัวของมนุษย์ยุคใหม่ในตะวันออกกลางและยุโรปนั้น 1-4% มาจากดีเอ็นเอของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล
- ไม่ว่า Sapiens จะรับผิดชอบหรือไม่ แต่เมื่อใดที่พวกเขาไปถึงที่ใหม่ ประชากรพื้นเมืองก็จะสูญพันธุ์ไม่นานนัก
.
===============================
.
บทที่ 2. ต้นไม้แห่งความรู้
.
- ช่วง 70,000-30,000 ปีก่อน มีการประดิษฐ์เรือ ตะเกียง ธนู ลูกศร และเข็มขึ้น สิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะชิ้นแรกก็ปรากฏในยุคนี้ เช่นเดียวกับหลักฐานที่ชัดเจนของศาสนา การค้า และชนชั้นทางสังคม
- ช่วงนี้เรียกว่ายุคปฏิวัติทางปัญญา
- เราไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการปฏิวัตินี้ แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการกลายพันธุ์แบบสุ่ม
- Homo sapiens พิชิตโลกได้ด้วยภาษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- การซุบซิบนินทาเป็นสิ่งจำเป็นในการประสานงานระหว่างคนจำนวนมาก
- ลักษณะที่แท้จริงเฉพาะของภาษาเราคือความสามารถในการส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
- นิยายทำให้เราสามารถจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ร่วมกันได้ ความเชื่อที่เหมือนกันช่วยให้เราร่วมมือกันอย่างยืดหยุ่นและสามัคคี
#ตำนานของเปอโยต์
- ขนาดสูงสุดตามธรรมชาติของกลุ่มที่เชื่อมโยงกันด้วยการพูดคุยนินทา คือประมาณ 150 คน
- คนแปลกหน้าจำนวนมากกว่านั้นสามารถร่วมมือกันได้ หากยึดมั่นในตำนานและความเชื่อเดียวกัน
- บริษัทเป็นสิ่งประดิษฐ์ในจินตนาการร่วมกันของเราในยุคปัจจุบัน
- บริษัทจำกัดความรับผิดมีความเป็นอิสระทางกฎหมายจากบุคคลที่ก่อตั้ง ลงทุน หรือจัดการมัน
#ข้ามพ้นยีนโนม
- มนุษย์สมัยก่อนจะเปลี่ยนพฤติกรรม ประดิษฐ์เครื่องมือใหม่ หรือค้นพบดินแดนใหม่ ก็ต่อเมื่อเกิดการกลายพันธุ์หรือแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
- ตั้งแต่การปฏิวัติทางปัญญาเป็นต้นมา Sapiens สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว ถ่ายทอดพฤติกรรมใหม่ไปยังรุ่นต่อไปโดยไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
.
============================
.
บทที่ 3. วันหนึ่งในชีวิตของอดัมและอีฟ
.
- เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่ามนุษย์โบราณใช้ชีวิตอย่างไร เพราะหลักฐานทางโบราณคดีมีน้อยมาก
- การใช้ชีวิตของชนเผ่าล่าสัตว์เก็บพืชผลในปัจจุบัน มาอธิบายวิถีชีวิตของมนุษย์โบราณก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ
- ในปัจจุบัน สังคมล่าสัตว์เก็บพืชผลได้รับอิทธิพลจากสังคมเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมข้างเคียง
- สังคมล่าสัตว์สมัยใหม่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศโหดร้ายและภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งอาจให้ภาพลวงตาในการทำความเข้าใจสังคมโบราณที่เคยเร่ร่อนอยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์
- ท้ายที่สุด ลักษณะเด่นที่สุดของสังคมล่าสัตว์เก็บพืชผลคือความแตกต่างระหว่างสังคมเหล่านั้น
#สังคมร่ำรวยดั้งเดิม
- สุนัขเป็นสัตว์ชนิดแรกที่ถูกมนุษย์เลี้ยง เมื่อราว 15,000 ปีก่อน
- วันนี้ มนุษยชาติโดยรวมมีความรู้มากกว่าคนสมัยโบราณมาก แต่ในระดับปัจจเจกบุคคล มนุษย์โบราณที่เป็นนายพรานและคนเก็บของป่าคือผู้ที่มีความรู้และทักษะสูงส่งกว่าใครในประวัติศาสตร์
- คนโบราณมีสมรรถภาพทัดเทียมนักวิ่งมาราธอน และมีความคล่องแคล่วทางกายที่ผู้คนในปัจจุบันไม่อาจทำได้ แม้จะฝึกโยคะหรือไท้เก๊กมานานหลายปี
- พวกเขาทำงานเพียง 35-45 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- พวกเขามีประสบการณ์ที่หลากหลายตลอดทั้งวัน
- มนุษย์โบราณรับประทานอาหารที่มีความหลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
- มนุษย์โบราณยังได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อน้อยกว่าด้วย
- อาหารที่ดีต่อสุขภาพและหลากหลาย สัปดาห์ทำงานที่ค่อนข้างสั้น และความหายากของโรคติดเชื้อ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเรียกสังคมล่าสัตว์เก็บของป่าก่อนยุคเกษตรกรรมว่าเป็น 'สังคมร่ำรวยดั้งเดิม'
- แต่โลกของพวกเขาก็ยังคงโหดร้ายและไม่ปรานี มีอัตราการตายของเด็กสูง อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ในมาตรฐานปัจจุบันอาจเป็นโทษประหารชีวิตได้ และการเผชิญหน้ากับกลุ่มล่าสัตว์อื่นๆ อาจรุนแรงอย่างยิ่ง
.
=======================================
.
บทที่ 4. อุทกภัย
.
- เมื่อ 45,000 ปีก่อน Sapiens ข้ามทะเลไปออสเตรเลีย ซึ่งยากที่ผู้เชี่ยวชาญจะอธิบายความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ได้
- ช่วงเวลาที่นายพรานและคนเก็บของป่ากลุ่มแรกเหยียบชายหาดออสเตรเลีย คือช่วงเวลาที่ Homo sapiens ไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในพื้นที่แผ่นดินใหญ่แห่งนั้น และกลายเป็นสายพันธุ์อันตรายที่สุดในประวัติของโลกใบนี้นับจากนั้นเป็นต้นมา
- ผู้ตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียได้เปลี่ยนโฉมหน้าระบบนิเวศไปจนแทบจำไม่ได้
- ในเวลาเพียงไม่กี่พันปี จากสัตว์ชนิดพันธุ์ในออสเตรเลียที่มีน้ำหนักตัว 100 ปอนด์ขึ้นไป 24 ชนิด สูญพันธุ์ไปถึง 23 ชนิด
#ผิดแน่นอน
- การเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพอากาศเมื่อ 45,000 ปีก่อนนั้นเป็นหลักฐานที่ไม่เพียงพอต่อการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่เช่นนี้
- เวลาที่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ สิ่งมีชีวิตในทะเลมักจะได้รับผลกระทบหนักพอๆ กัน แต่ไม่มีหลักฐานว่าสัตว์ทะเลจำนวนมากหายสาบสูญไปเมื่อ 45,000 ปีก่อน
- การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เช่นที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสหัสวรรษถัดไปทุกครั้งที่ผู้คนไปตั้งถิ่นฐานยังที่อื่นในโลกใบนอก
- สัตว์ขนาดใหญ่ขยายพันธุ์ช้า และสัตว์ยักษ์ในออสเตรเลียไม่มีเวลาเรียนรู้ที่จะหนีจากมนุษย์ผู้รุกรานไป พวกมันคงแปลกใจที่พบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายจากมนุษย์
- Sapiens อาจใช้ไฟเผาพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อสร้างทุ่งหญ้า
#การสิ้นสุดของตัวเฉื่อย
- ภายใน 2,000 ปีหลังจากที่ Sapiens บุกเข้าไปทั่วทวีปอเมริกา อเมริกาเหนือสูญเสียสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ 34 จาก 47 ประเภท ส่วนอเมริกาใต้สูญเสีย 50 จาก 60 ประเภท
#เรือโนอาห์
- Homo sapiens ทำให้สัตว์ใหญ่ครึ่งหนึ่งของโลกสูญพันธุ์ไปก่อนที่มนุษย์จะประดิษฐ์ล้อ ตัวอักษร หรือเครื่องมือเหล็กเสียอีก
- บางทีถ้าผู้คนจำนวนมากขึ้นตระหนักถึงการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ 2 ครั้งในอดีต พวกเขาอาจจะไม่มองข้ามการสูญพันธุ์ครั้งที่ 3 ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
.
=============================
.
บทที่ 5. การฉ้อฉลยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
.
- เมื่อ 10,000 ปีก่อน Sapiens หยุดการล่าสัตว์เก็บพืชผล และเริ่มใช้เวลาและความพยายามเกือบทั้งหมดไปกับการคุมชะตากรรมของพืชและสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด
- ในช่วง 2,000 ปีมานี้ ไม่มีสัตว์หรือพืชใดถูกนำมาเลี้ยงเพิ่มเติม
- แทนที่จะเป็นยุคแห่งการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น การปฏิวัติเกษตรกรรมกลับทำให้ชาวนามีชีวิตที่ยากลำบากและไม่เป็นที่พอใจยิ่งกว่าคนเก็บของป่า
- ข้าวสาลี ข้าว และมันฝรั่งต่างหากที่เลี้ยงดู Homo sapiens
- ข้าวสาลีไม่ได้ทำให้มนุษย์มีอาหารที่ดีขึ้น ไม่ได้มอบความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือช่วยป้องกันความรุนแรงระหว่างมนุษย์ได้
- ข้าวสาลีไม่ได้ให้อะไรกับมนุษย์ในระดับปัจเจก แต่มันมอบบางสิ่งให้กับ Homo sapiens ในฐานะสปีชีส์ การเพาะปลูกข้าวสาลีให้อาหารต่อหน่วยพื้นที่มากกว่า และทำให้จำนวน Homo sapiens เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
#กับดักสุขสบาย
- ข้าวสาลีเริ่มเติบโตขึ้นเมื่ออุณหภูมิอุ่นขึ้นตอนท้ายของยุคน้ำแข็ง
- เมื่อมนุษย์เผาป่าและพุ่มไม้ ข้าวสาลีก็ยิ่งเจริญงอกงาม
- ในพื้นที่ที่ข้าวสาลีเจริญงอกงาม เกมล่าสัตว์และแหล่งอาหารอื่นๆ ก็มีมากมาย กลุ่มคนเร่ร่อนจึงทยอยวางวิถีชีวิตแบบล่าสัตว์เก็บของ และตั้งค่ายถาวร
- พวกเขาเรียนรู้เทคนิคการเพาะปลูกขั้นสูงจนกลายเป็นชาวนา
- การย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านถาวรและแหล่งอาหารที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชากรเริ่มเติบโต
- แต่โรคระบาดในชุมชนและภาวะทุพโภชนาการทำให้อัตราการตายของเด็กพุ่งสูง ในหลายสังคมเกษตรกรรม เด็กอย่างน้อย 1 ใน 3 คนตายก่อนอายุ 20 ปี
- การเติบโตของประชากรทำลายเรือของมนุษยชาติ ไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตแบบล่าสัตว์อีกต่อไป
- กฎเหล็กข้อหนึ่งของประวัติศาสตร์คือ สิ่งฟุ่มเฟือยมักกลายเป็นความจำเป็นและก่อให้เกิดพันธะใหม่ๆ
- เราคิดค้นอุปกรณ์ประหยัดเวลามากมายที่สัญญาว่าจะทำให้ชีวิตผ่อนคลายขึ้น แต่กลับให้ผลตรงข้าม อีเมลเป็นตัวอย่างที่ดี
#เหยื่อของการปฏิวัติ
- สัตว์ที่ถูกมนุษย์เลี้ยง เช่น แกะ ไก่ ลา ฯลฯ จัดหาอาหาร วัตถุดิบ และพลังกล้ามเนื้อ
- ปัจจุบันโลกมีแกะราว 1 พันล้านตัว หมูมากกว่า 1 พันล้านตัว วัวมากกว่า 1 พันล้านตัว และไก่กว่า 25 พันล้านตัว
- แม้ประชากรมนุษย์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่สัตว์ส่วนใหญ่มีชีวิตที่สั้นและทรมาน ความไม่สอดคล้องระหว่างความสำเร็จในการวิวัฒนาการกับความทุกข์ทรมานของปัจเจกสัตว์ อาจเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้จากการปฏิวัติเกษตรกรรม
.
============================
.
บทที่ 6. การสร้างปิรามิด
.
- คนล่าสัตว์ไม่คำนึงถึงอนาคตเพราะพวกเขาใช้ชีวิตแบบเลี้ยงชีพหาเช้ากินค่ำ การไม่กังวลกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ทำให้พวกเขาประหยัดความวิตกกังวลไปได้มาก
- แต่ชาวนาต้องคำนึงถึงอนาคตและทำงานเพื่อมันตลอดเวลา
- ตั้งแต่เริ่มมีการเกษตร ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตก็กลายเป็นตัวละครสำคัญในโรงละครแห่งจิตใจมนุษย์
- ความเครียดในการทำไร่ไถนาเป็นรากฐานของระบบการเมืองและสังคมขนาดใหญ่
#ระเบียบในจินตนาการ
- เราเชื่อในระเบียบบางอย่าง ไม่ใช่เพราะมันเป็นความจริงเชิงภววิสัย แต่เพราะการเชื่อมันทำให้เราร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสังคมที่ดีขึ้นได้
- เช่น ลัทธิโรแมนติกบอกว่า เพื่อให้ได้ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ เราต้องมีประสบการณ์หลากหลายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- เช่น ลัทธิบริโภคนิยมบอกว่า การมีความสุขคือการบริโภคสินค้าและบริการมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
#กำแพงคุก
- ทำให้คนเชื่อในระเบียบในจินตนาการอย่างศาสนาคริสต์ ประชาธิปไตย หรือทุนนิยมได้อย่างไร?
- ประการแรกสุด ห้ามยอมรับเด็ดขาดว่าระเบียบนั้นเป็นเพียงสิ่งที่จินตนาการขึ้นมา ต้องยืนยันว่ามันเป็นความจริงที่เทพเจ้าหรือกฎธรรมชาติสร้างขึ้น
- ประการที่สอง ให้การศึกษากับผู้คนอย่างละเอียดโดยคอยเตือนหลักการของระเบียบอยู่เสมอ
.
==========================
.
บทที่ 7. ความจำเต็มพิกัด
.
- สมองมนุษย์ไม่ได้ปรับตัวมาเพื่อจัดเก็บและประมวลผลตัวเลขได้ดีนัก
- ระหว่าง 3500-3000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมียตอนใต้ประดิษฐ์ภาษาเขียนขึ้นเป็นครั้งแรก มีชื่อเรียกว่าอักษรรูปลิ่ม
#ลงนามคุชิม
- ข้อความแรกในประวัติศาสตร์ไม่ได้มีข้อคิดทางปรัชญา บทกวี ตำนาน หรือกฎหมาย แต่เป็นเอกสารทางเศรษฐกิจ บันทึกการจ่ายภาษี การสะสมหนี้สิน และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
- ควิปุ (Quipus) เป็นเชือกสีสันสดใสทำจากขนสัตว์หรือฝ้าย มีการผูกปมไว้ต่างตำแหน่ง โดยการรวมปมต่างๆ เข้ากับเชือกสีต่างๆ สามารถบันทึกข้อมูลตัวเลขปริมาณมากได้
#ความมหัศจรรย์ของระบบราชการ
- การบันทึกข้อมูลต้องอาศัยระบบจัดหมวดหมู่และระบบการเรียกข้อมูลที่ดี อาณาจักรอียิปต์ จีนโบราณ และอาณาจักรอินคา ต่างสร้างสถาบันเฉพาะขึ้นมาเพื่อฝึกฝนอาชีพอย่างเคร่งครัดในเคล็ดลับของการประมวลผลข้อมูล ได้แก่นักเขียน เสมียน บรรณารักษ์ และนักบัญชี
#ภาษาแห่งตัวเลข
- เลขอารบิกถูกคิดค้นโดยชาวฮินดูเป็นครั้งแรก แต่ชาวอาหรับได้รับการยกย่องเพราะเมื่อพวกเขารุกรานอินเดีย ก็ได้พบระบบนี้ นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วเผยแพร่ไปทั่วตะวันออกกลางและยุโรป
- ใครก็ตามที่ต้องการมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล องค์กร และบริษัท ต้องเรียนรู้ที่จะพูดในภาษาตัวเลข
- แต่เดิมการเขียนถือกำเนิดเพื่อรับใช้จิตสำนึกของมนุษย์ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเจ้านายมากขึ้นเรื่อยๆ
.
========================
.
บทที่ 8. ไม่มีความยุติธรรมในประวัติศาสตร์
.
- มนุษย์จัดระเบียบตนเองในเครือข่ายความร่วมมือขนาดใหญ่ โดยการสร้างระเบียบในจินตนาการและแต่งเรื่องราวขึ้นมา
- นักวิชาการไม่รู้จักสังคมขนาดใหญ่ที่สามารถละทิ้งการเลือกปฏิบัติได้ทั้งหมด
- ลำดับชั้นมีหน้าที่สำคัญ มันทำให้คนแปลกหน้ารู้ว่าควรปฏิบัติต่อกันอย่างไร โดยไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการทำความรู้จักกันเป็นการส่วนตัว
- แม้แต่คนที่เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษ ความสามารถนั้นมักจะถูกปล่อยให้หลับไหลหากขาดการหล่อเลี้ยง ฝึกฝน และใช้งาน ไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสได้เพาะบ่มความสามารถของตน ซึ่งมักจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งในลำดับชั้นทางสังคมที่พวกเขาจินตนาการขึ้นมา
#วงจรชั่วร้าย
- คนที่เคยตกเป็นเหยื่อของประวัติศาสตร์ มีแนวโน้มที่จะตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง และคนที่ประวัติศาสตร์ให้สิทธิพิเศษ ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับสิทธิพิเศษอีก
#เขาและเธอ
- วัฒนธรรมมักจะบอกว่ามันห้ามเฉพาะสิ่งที่ผิดธรรมชาติ แต่ในเชิงชีววิทยา ไม่มีอะไรผิดธรรมชาติเลย อะไรก็ตามที่เป็นไปได้โดยนิยามแล้วถือว่าเป็นธรรมชาติ
- เพศของคุณ (ชายหรือหญิง) คือประเภททางชีววิทยาที่มีคุณสมบัติเป็นภาวะวิสัยและคงที่ตลอดประวัติศาสตร์ ส่วนเพศสภาพ (ผู้ชายหรือผู้หญิง) คือประเภททางวัฒนธรรมที่มีคุณสมบัติระหว่างอัตวิสัยและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
#มีอะไรดีเกี่ยวกับผู้ชาย?
- ไม่ใช่พละกำลังทางกาย ประวัติศาสตร์มนุษย์แสดงให้เห็นว่ามักมีความสัมพันธ์ผกผันระหว่างความเก่งกาจทางกายภาพกับอำนาจทางสังคม
- ไม่ใช่ความก้าวร้าวตามธรรมชาติ ผู้สร้างจักรวรรดินั้นเป็นนักสร้างความร่วมมือชั้นยอด พวกเขารู้วิธีปลอบประโลม จัดการ และมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่หลากหลาย
- ไม่ใช่แรงขับทางการแข่งขันที่จะสืบพันธุ์ ทฤษฎีที่ว่าผู้หญิงต้องพึ่งพาผู้ชายในการปกป้องพวกเธอระหว่างตั้งครรภ์นั้นมองข้ามความจริงที่พวกเธอสามารถพึ่งพาผู้หญิงคนอื่นๆ ได้โดยง่าย
.
=============================
.
บทที่ 9. ลูกศรแห่งประวัติศาสตร์
.
- ทุกวัฒนธรรมมีความเชื่อ บรรทัดฐาน และค่านิยมเฉพาะตัว แต่สิ่งเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- เสรีภาพและความเสมอภาคถูกมองว่าเป็นค่านิยมพื้นฐานในวัฒนธรรมตะวันตก แต่ทั้งสองสิ่งนี้ขัดแย้งกันเอง ความเสมอภาคจะรับประกันได้ก็ต่อเมื่อจำกัดเสรีภาพของคนที่ร่ำรวยกว่า การรับประกันว่าปัจเจกชนทุกคนจะมีอิสระในการทำสิ่งที่ตนปรารถนาย่อมส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยมากขึ้น
- พรรคเดโมแครตต้องการสังคมที่เท่าเทียมกันมากขึ้น แม้ว่าจะต้องเพิ่มภาษีเพื่อสนับสนุนโครงการสวัสดิการ
- พรรครีพับลิกันต้องการให้เสรีภาพส่วนบุคคลสูงสุด แม้ว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจนจะเพิ่มมากขึ้น
- มักมองว่าความไม่ลงรอยกันทางความคิดเป็นความล้มเหลวของจิตใจมนุษย์ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ
#ดาวเทียมสอดแนม
- หลายสหัสวรรษที่ผ่านมา วัฒนธรรมเล็กๆ ง่ายๆ ค่อยๆ หลอมรวมกลายเป็นอารยธรรมที่ใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้น
- ในช่วงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา วัฒนธรรมทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนแปลงไปจนแทบจำไม่ได้ จากคลื่นลูกใหญ่ของอิทธิพลระดับโลก
#วิสัยทัศน์ระดับโลก
- พ่อค้า ผู้พิชิต และผู้เผยแพร่ศาสนา เป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ข้ามพ้นการแบ่งแยกทางวิวัฒนาการแบบ 'เรา vs พวกเขา' และคาดการณ์ถึงศักยภาพของเอกภาพของมนุษยชาติ
- เงินคือผู้พิชิตระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
.
============================
.
บทที่ 10. กลิ่นของเงิน
.
- มนุษย์ยุคล่าสัตว์ไม่มีเงิน พวกเขาแบ่งปันสินค้าและบริการผ่านระบบเศรษฐกิจแบบช่วยเหลือเกื้อกูลและพันธะผูกพัน
- การเกิดขึ้นของเมืองและอาณาจักร และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง นำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ในการแบ่งงานกันทำ
- สังคมที่ซับซ้อนทำให้เกิดความจำเป็นต้องมีเงินตรา
#เปลือกหอยและบุหรี่
- เงินไม่ใช่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มันเป็นการปฏิวัติทางจิตใจล้วนๆ
- เงินคืออะไรก็ได้ที่ผู้คนเต็มใจใช้เพื่อเป็นตัวแทนของมูลค่าของสิ่งอื่นๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อวัตถุประสงค์ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
- เปลือกหอยเบี้ยถูกใช้เป็นเงินมานานราว 4,000 ปี ทั่วแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย ผู้คนยังคงจ่ายภาษีเป็นเปลือกหอยเบี้ยในยูกันดาภายใต้การปกครองของอังกฤษในต้นศตวรรษที่ 20
- ในคุกสมัยใหม่และค่ายเชลยศึก บุหรี่มักถูกใช้แทนเงิน
- เหรียญและธนบัตรเป็นรูปแบบที่หายากของเงินในปัจจุบัน จากเงินทั้งหมดในโลกราว 60 ล้านล้านเหรียญ มีเหรียญและธนบัตรรวมกันน้อยกว่า 6 ล้านล้านเหรียญ มากกว่า 90% ของเงินทั้งหมดมีอยู่ในรูปดิจิทัลบนเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์เท่านั้น
#เงินทำงานอย่างไร?
- ดอลลาร์มีค่าเฉพาะในจินตนาการร่วมกันของเราเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างคือ เงินไม่ใช่ความจริงในเชิงวัตถุ แต่เป็นการประกอบสร้างทางจิตวิทยา
- ข้าวบาร์เลย์เป็นเงินชนิดแรก เพราะผู้คนไว้ใจในคุณค่าทางชีวภาพของมันได้ คุณกินมันได้ แต่การขนย้ายลำบาก
- การปฏิวัติที่แท้จริงในประวัติศาสตร์การเงินเกิดขึ้นเมื่อผู้คนไว้ใจในเงินที่ไร้คุณค่าในตัวเอง แต่เก็บรักษาและขนย้ายได้ง่ายกว่า
#หลักคำสอนแห่งทองคำ
- อุปสงค์และอุปทานที่มองไม่เห็นได้ทำให้วัฒนธรรมที่ต่างกันทั่วโลกให้คุณค่ากับทองคำในลักษณะเดียวกัน
#ราคาของเงิน
- เงินสามารถกัดกร่อนประเพณีท้องถิ่น ความสัมพันธ์ฉันท์มิตร และคุณค่าความเป็นมนุษย์ได้
- แม้เงินจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในวงกว้างระหว่างคนแปลกหน้า แต่ความไว้วางใจนี้ไม่ได้ฝังอยู่ในตัวมนุษย์ ชุมชน หรือคุณค่าอันศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่ในตัวเงินและระบบที่รองรับมัน
- เงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรวมมนุษยชาติเข้าด้วยกันได้
.
=========================
.
บทที่ 11. วิสัยทัศน์จักรวรรดิ
.
- อาณาจักรทั้งหมดล่มสลายในที่สุด แต่มักทิ้งมรดกอันหรูหราและคงทนไว้ มนุษย์เกือบทั้งหมดในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ล้วนเป็นลูกหลานของอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง
#จักรวรรดิคืออะไร?
- จักรวรรดิปกครองประชาชนจำนวนมากที่แตกต่างกัน แต่ละกลุ่มมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและอาณาบริเวณเป็นของตัวเอง
- จักรวรรดิมีพรมแดนที่ยืดหยุ่นและมีความอยากได้อยากมีที่จะพิชิตประเทศและดินแดนเพิ่มเติมแบบไม่จำกัด
- จักรวรรดิเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความหลากหลายของมนุษย์ลดลงอย่างมาก
#จักรวรรดิชั่วร้าย?
- จักรวรรดิเป็นรูปแบบการปกครองที่พบมากที่สุดในช่วง 2,500 ปีที่ผ่านมา และเป็นรูปแบบการปกครองที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ
- การสร้างและรักษาจักรวรรดิมักเกี่ยวข้องกับการสังหารประชากรจำนวนมหาศาลอย่างโหดเหี้ยมและการกดขี่ผู้รอดชีวิตอย่างรุนแรง
- อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าจักรวรรดิไม่ได้ทิ้งอะไรที่มีค่าไว้เลย สัดส่วนสำคัญของความสำเร็จทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติเป็นหนี้บุญคุณการแสวงหาประโยชน์จากประชากรที่ถูกพิชิต
#คนดีและคนเลวในประวัติศาสตร์
- แม้ว่าเราจะปฏิเสธมรดกของจักรวรรดิที่โหดร้ายโดยสิ้นเชิง ด้วยความหวังว่าจะสร้างและปกป้องวัฒนธรรม "ดั้งเดิม" ที่มีมาก่อนหน้านั้น สิ่งที่เราจะปกป้องก็อาจเป็นเพียงมรดกของจักรวรรดิที่เก่าแก่กว่าและโหดร้ายไม่แพ้กัน
- ถ้านักชาตินิยมฮินดูสุดโต่งทำลายอาคารทั้งหมดที่ผู้พิชิตอังกฤษทิ้งไว้ เช่นสถานีรถไฟหลักของมุมไบ แล้วจะทำอย่างไรกับสิ่งก่อสร้างที่ผู้พิชิตชาวมุสลิมทิ้งไว้ เช่นทัชมาฮาล?
- คำถามที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมนั้นซับซ้อน การแบ่งอดีตเป็นคนดีและคนเลวอย่างง่ายๆ ไม่นำไปสู่ที่ใด
#จักรวรรดิระดับโลกใหม่
- ทุกวันนี้ รัฐต่างๆ กำลังสูญเสียอิสรภาพอย่างรวดเร็ว ไม่มีรัฐใดสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างอิสระ ประกาศสงครามตามอำเภอใจ หรือแม้แต่บริหารกิจการภายในของตัวเองตามที่ตนเห็นสมควร
- จักรวรรดิระดับโลกไม่ได้ปกครองโดยรัฐหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใดเป็นการเฉพาะ แต่ปกครองโดยชนชั้นนำหลากเชื้อชาติ และเชื่อมโยงกันด้วยวัฒนธรรมและผลประโยชน์ร่วมกัน
.
============================
.
บทที่ 12. กฎหมายของศาสนา
.
- ปัจจุบันมักมองว่าศาสนาเป็นแหล่งกำเนิดของการเลือกปฏิบัติ ความขัดแย้ง และความแตกแยก แต่ในความเป็นจริง ศาสนาคือตัวรวมมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่อันดับสามรองจากเงินและจักรวรรดิ
- ศาสนาอาจนิยามได้ว่าเป็นระบบของบรรทัดฐานและคุณค่าของมนุษย์ ซึ่งตั้งอยู่บนความเชื่อในระเบียบเหนือมนุษย์
- ศาสนาโบราณส่วนใหญ่มีลักษณะเฉพาะถิ่นและเป็นการแยกกัน ศาสนาสากลและเผยแพร่เพิ่งเริ่มปรากฏในสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล
#ทำให้ลูกแกะเงียบ
- ผลกระทบทางศาสนาประการแรกของการปฏิวัติเกษตรกรรมคือการเปลี่ยนพืชและสัตว์จากสมาชิกที่เท่าเทียมบนโต๊ะกลมแห่งจิตวิญญาณ มาเป็นทรัพย์สิน
- ตำนานปรัมปราโบราณจำนวนมากคือสัญญาทางกฎหมาย ซึ่งมนุษย์สัญญาว่าจะอุทิศตนให้กับเทพเจ้าตลอดไป เพื่อแลกกับอำนาจเหนือพืชและสัตว์ - บทแรกๆ ของหนังสือปฐมกาลคือตัวอย่างชั้นดี
#ประโยชน์ของการบูชารูปเคารพ
- ลัทธิเทวนิยมมีแนวโน้มเปิดกว้างโดยธรรมชาติและไม่ค่อยกลั่นแกล้งพวก 'นอกรีต' และ 'ศาสนาอื่น'
- ชาวโรมันลัทธิเทวนิยมฆ่าชาวคริสต์ไม่ถึงสองสามพันคน ในทางตรงกันข้าม ตลอดช่วง 1,500 ปีถัดมา ชาวคริสต์สังหารกันเองนับล้านๆ เพื่อปกป้องการตีความศาสนาแห่งความรักและเมตตานิดหน่อยที่แตกต่างกัน
#สงครามระหว่างความดีกับความชั่ว
- ชาวคริสต์ทั่วไปเชื่อในพระเจ้าเอกเทวนิยม แต่ก็เชื่อในมารร้ายแบบทวินิยม นักบุญแบบพหุเทวนิยม และผีแบบวิญญาณนิยม
#กฎแห่งธรรมชาติ
- ในช่วงสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล มีการแพร่หลายของศาสนาใหม่ที่มีลักษณะไม่ใส่ใจในเรื่องเทพเจ้า ตัวอย่างเช่น ศาสนาเชนและพุทธในอินเดีย ลัทธิเต๋าและขงจื๊อในจีน และลัทธิสโตอิก ลัทธิคิวนิคและลัทธิเอพิคคิวเรียนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
#พุทธศาสนา
- บุคคลสำคัญคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พระสิทธัตถะ โคตมะ
- พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นว่ามนุษย์ทุกข์ทรมานไม่เพียงจากความพินาศวินาศครั้งคราว เช่น สงครามหรือโรคระบาด แต่ยังเกิดจากความวิตกกังวล ความคับข้องใจ และความไม่พึงพอใจ
- เมื่อจิตประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา มันจะโหยหาที่จะกำจัดความรำคาญนั้น เมื่อจิตประสบสิ่งที่พึงปรารถนา มันจะโหยหาให้ความสุขนั้นคงอยู่และเพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น ดังนั้นจิตจึงไม่พอใจและกระสับกระส่ายอยู่เสมอ
- วิธีเดียวที่จะยุติวงจรอุบาทว์คือเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง แล้วก็จะไม่มีความทุกข์
- เพื่อที่จะยอมรับความเศร้าในฐานะความเศร้า ความสุขในฐานะความสุข ความเจ็บปวดในฐานะความเจ็บปวด พระพุทธเจ้าทรงพัฒนาเทคนิคการทำสมาธิชุดหนึ่ง เพื่อฝึกจิตให้ประสบกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น โดยปราศจากตัณหา การปฏิบัติเหล่านี้ฝึกจิตให้มุ่งความสนใจไปที่คำถาม "ตอนนี้ฉันกำลังประสบอะไรอยู่" มากกว่า "ฉันอยากประสบอะไร"
#การบูชามนุษย์
- 300 ปีที่ผ่านมาเป็นยุคเจริญของลัทธิโลกียนิยม
- คนหลายคนเชื่อในอุดมการณ์อย่างลัทธิทุนนิยม คอมมิวนิสต์ ชาตินิยม หรือเสรีนิยม ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเท่าๆ กับที่เชื่อในศาสนา
- อุดมการณ์และศาสนาคือสิ่งเดียวกันโดยพื้นฐาน
- ศาสนามนุษยนิยมบูชา Homo sapiens และเชื่อว่าเรามีธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์และศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแตกต่างจากสัตว์และปรากฏการณ์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
- มนุษยนิยมเสรีนิยมเชื่อว่า "มนุษยธรรม" เป็นคุณภาพของมนุษย์แต่ละคน และเสรีภาพของปัจเจกบุคคลจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "สิทธิมนุษยชน" คือบทบัญญัติของพวกเขา
- มนุษยนิยมสังคมนิยมเชื่อว่า "มนุษยธรรม" เป็นสิ่งรวมหมู่มากกว่าเป็นปัจเจก ในขณะที่มนุษยนิยมเสรีนิยมแสวงหาเสรีภาพสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้สำหรับปัจเจกบุคคล มนุษยนิยมสังคมนิยมกลับแสวงหาความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ทุกคน
- มนุษยนิยมวิวัฒนาการเชื่อว่ามนุษยชาติไม่ใช่สิ่งที่เป็นสากลและเป็นนิรันดร์ แต่เป็นสายพันธุ์ที่สามารถผันแปรได้ซึ่งสามารถวิวัฒน์หรือเสื่อมถอยได้ พวกนาซีคือตัวแทนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแนวคิดนี้
.
======================
.
บทที่ 13. ความลับของความสำเร็จ
.
- การกล่าวว่าสังคมระดับโลกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์สุดท้ายต้องเป็นสังคมระดับโลกแบบที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
#ความเข้าใจผิดเรื่องการมองย้อนกลับ
- ยิ่งคุณรู้จักช่วงประวัติศาสตร์หนึ่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากที่จะอธิบายว่าทำไมสิ่งต่างๆ ถึงได้เกิดขึ้นในแบบนี้แทนที่จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
- สิ่งที่ผู้ร่วมสมัยมองว่าเป็นไปได้ยากมักจะเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อคอนสแตนตินขึ้นครองราชย์ในปี 306 คริสต์ศาสนายังเป็นเพียงลัทธิเล็กๆ แถบตะวันออก ถ้าคุณเสนอตอนนั้นว่ามันกำลังจะกลายเป็นศาสนาประจำรัฐของโรมัน คุณคงโดนหัวเราะเยาะ
- ประวัติศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยลัทธิกำหนดนิยม และไม่สามารถทำนายได้เพราะมันวุ่นวาย
.
=========================
.
บทที่ 14. การค้นพบความไม่รู้
.
- 500 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเติบโตของอำนาจมนุษย์อย่างน่าทึ่งและไม่เคยปรากฏมาก่อน
- ประชากรเพิ่มขึ้น 14 เท่า การผลิตเพิ่มขึ้น 240 เท่า และการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 115 เท่า
- การพัฒนาระเบิดปรมาณูในปี 1945 ไม่เพียงเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ แต่ยังให้ความสามารถแก่มนุษยชาติในการยุติมันอีกด้วย
- มนุษย์เชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพวกเขาสามารถเพิ่มขีดความสามารถของตนเองได้โดยการลงทุนในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
#ความไม่รู้
- วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ตั้งอยู่บนความเต็มใจที่จะยอมรับว่าเราไม่รู้ ความสำคัญของการสังเกตและคณิตศาสตร์ และการได้มาซึ่งพลังใหม่ๆ
- ขนบของความรู้โบราณยอมรับความไม่รู้เพียงสองประเภท คือบุคคลอาจไม่รู้สิ่งสำคัญบางอย่าง หรือขนบทั้งหมดอาจไม่รู้สิ่งที่ไม่สำคัญ
- วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เป็นขนบของความรู้ที่มีเอกลักษณ์ ตรงที่ยอมรับอย่างเปิดเผยว่ามีความไม่รู้ร่วมกันเกี่ยวกับคำถามที่สำคัญที่สุด
#บทบัญญัติทางวิทยาศาสตร์
- ความรู้คือการเชื่อมโยงการสังเกตกับทฤษฎีทางคณิตศาสตร์
- ในยุโรปยุคกลาง ตรรกศาสตร์ ไวยากรณ์ และวาทศาสตร์คือแกนของการศึกษา วันนี้นักเรียนศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำอื่นๆ
#ความรู้คืออำนาจ
- ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจกลศาสตร์ควอนตัม ชีววิทยาระดับเซลล์ หรือเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่เราทุกคนได้รับประโยชน์จากอำนาจที่วิทยาศาสตร์มอบให้เรา
- ประโยชน์ใช้สอยเป็นการทดสอบที่ดีที่สุดสำหรับความจริง ทฤษฎีที่ทำให้เราสามารถทำสิ่งใหม่ๆ ได้ก็ถือว่าเป็นความรู้แล้ว
- กองทหารของนโปเลียน แม้จะนำโดยอัจฉริยะด้านกลยุทธ์ของเขา ก็ไม่มีวันสู้นายพลที่ไร้ความสามารถแต่มีอาวุธสมัยใหม่ได้
- ดินปืนถูกคิดค้นในจีนก่อนปืนใหญ่จะกลายเป็นปัจจัยตัดสินชะตากรรมในสนามรบถึง 600 ปี ชาวจีนใช้สารประกอบใหม่นี้สำหรับพลุ
- วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีทางการทหารเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้นก็ต่อเมื่อเกิดระบบทุนนิยมและการปฏิวัติอุตสาหกรรม
#อุดมคติแห่งความก้าวหน้า
- จนกระทั่งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อในความก้าวหน้า พวกเขาคิดว่ายุคทองอยู่ในอดีต
- การยอมรับความไม่รู้ของเรา ประกอบกับพลังใหม่จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ผู้คนเริ่มสงสัยว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงเป็นไปได้จริงๆ
- ตัวอย่างเช่น ความยากจน วัฒนธรรมหลายแห่งมองว่าความยากจนเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหลายประเทศทั่วโลกวันนี้ ความยากจนทางกายภาพเป็นเรื่องในอดีต ปัจเจกบุคคลได้รับการปกป้องจากความทุกข์ยากส่วนบุคคลโดยการประกัน ระบบสวัสดิการสังคมของรัฐ และ NGO
#โครงการกิลกาเมช
- สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ความตายไม่ใช่โชคชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นเพียงปัญหาทางเทคนิค
- สมองที่ดีที่สุดของเราไม่ได้เสียเวลาพยายามให้ความหมายกับความตาย แต่พวกเขากำลังศึกษาระบบสรีรวิทยา ฮอร์โมน และพันธุกรรมที่รับผิดชอบต่อโรคและความชรา
- ยา การฉีด และการผ่าตัดที่ซับซ้อน ช่วยชีวิตเราจากโรคและการบาดเจ็บมากมายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นโทษประหารชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
- นักวิชาการบางคนแนะนำว่า ภายในปี 2050 มนุษย์บางคนจะไม่ตาย
#ผู้อุปถัมภ์ที่ร่ำรวยของวิทยาศาสตร์
- วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่แพงมาก
- การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ได้รับทุนเพราะมีคนเชื่อว่ามันสามารถช่วยบรรลุเป้าหมายทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือศาสนาบางอย่างได้
- วิทยาศาสตร์ไม่สามารถกำหนดลำดับความสำคัญของตัวเองได้ และไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะทำอะไรกับการค้นพบของมัน
- การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สามารถเจริญรุ่งเรืองได้ต่อเมื่อจับมือกับศาสนาหรืออุดมการณ์บางอย่างเท่านั้น อุดมการณ์เป็นผู้อธิบายค่าใช้จ่ายในการวิจัย เพื่อแลกกับการที่อุดมการณ์จะมีอิทธิพลต่อวาระของวิทยาศาสตร์และกำหนดว่าจะทำอะไรกับการค้นพบ
- วงจรตอบกลับระหว่างวิทยาศาสตร์ จักรวรรดิ และทุน อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา
.
=============================
.
บทที่ 15. การแต่งงานระหว่างวิทยาศาสตร์และจักรวรรดิ
.
- การปฏิวัติวิทยาศาสตร์และลัทธิจักรวรรดินิยมสมัยใหม่แยกขาดจากกันไม่ได้
#ทำไมต้องยุโรป?
- ระหว่างปี 1500 ถึง 1750 ยุโรปตะวันตกได้แรงผลักดันและกลายเป็นเจ้าของ "โลกภายนอก" ซึ่งก็คือทวีปอเมริกาสองทวีปและมหาสมุทร และก็เป็นเพราะมหาอำนาจแห่งเอเชียแสดงความสนใจกับดินแดนเหล่านี้น้อยมาก
- ศูนย์กลางอำนาจของโลกเปลี่ยนมาอยู่ที่ยุโรประหว่างปี 1750 ถึง 1850 เมื่อชาวยุโรปทำให้มหาอำนาจแห่งเอเชียต้องอับอายขายหน้าในสงครามหลายครั้ง และยึดครองส่วนใหญ่ของเอเชีย
- วันนี้มนุษย์ทุกคน ในระดับที่มากกว่าที่พวกเขายอมรับ เป็นชาวยุโรปในเรื่องการแต่งกาย ความคิด และรสนิยม
- อิทธิพลและการครอบงำของยุโรปตั้งแต่ปี 1850 เป็นต้นมา เป็นผลมาจากความซับซ้อนทางอุตสาหกรรม-วิทยาศาสตร์-การทหาร และเวทมนตร์ทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
- ชาวจีนและเปอร์เซียไม่ได้ขาดการประดิษฐ์ทางเทคโนโลยี เช่น เครื่องจักรไอน้ำ (ซึ่งสามารถลอกเลียนแบบหรือซื้อได้อย่างเสรี) พวกเขาขาดค่านิยม ตำนาน กลไกทางกฎหมาย และโครงสร้างทางการเมืองและสังคมที่ใช้เวลาหลายศตวรรษในการก่อร่างและเติบโตในโลกตะวันตก และไม่สามารถลอกเลียนแบบและรับเอามาใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- ชาวยุโรปเคยชินกับการคิดและปฏิบัติในแบบวิทยาศาสตร์และทุนนิยม แม้ก่อนที่พวกเขาจะได้เปรียบทางเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ
#จิตใจของการพิชิต
- วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เฟื่องฟูภายใต้และเพราะอาณาจักรยุโรป
- นักพฤกษศาสตร์ผู้ค้นหาพืชและนายทหารเรือผู้ค้นหาอาณานิคมต่างมีจิตใจคล้ายกันที่เริ่มต้นด้วยการยอมรับความไม่รู้และผลักดันให้พวกเขาออกไปค้นพบสิ่งใหม่ๆ
#แผนที่เปล่า
- ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 ชาวยุโรปเริ่มวาดแผนที่โลกที่มีพื้นที่ว่างมากมาย แผนที่เปล่าเหล่านี้เป็นการก้าวกระโดดทางจิตวิทยาและอุดมการณ์ เป็นการยอมรับอย่างชัดเจนว่าชาวยุโรปไม่รู้จักส่วนใหญ่ของโลก
- ยุโรปไม่ได้มีความได้เปรียบทางเทคโนโลยีเหนือกว่าส่วนอื่นๆ ของโลก สิ่งที่ทำให้ชาวยุโรปพิเศษคือความทะเยอทะยานที่ไม่มีใครเทียบได้และไม่รู้จักพอที่จะสำรวจและพิชิต
#แมงมุมหายากและคัมภีร์ที่ถูกลืม
- ภาษาศาสตร์ได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิอย่างกระตือรือร้น จักรวรรดิยุโรปเชื่อว่าเพื่อจะปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาต้องรู้จักภาษาและวัฒนธรรมของผู้ที่ตกเป็นเมืองขึ้น
- หากปราศจากความรู้ดังกล่าว เป็นไปไม่ได้ที่ชาวอังกฤษจำนวนน้อยอย่างไร้สาระจะสามารถปกครอง กดขี่ และแสวงประโยชน์จากผู้คนนับล้านได้สำเร็จ
- ชาวยุโรปสมัยใหม่เชื่อว่าการได้มาซึ่งความรู้ใหม่เป็นเรื่องดีเสมอ
- พวกจักรวรรดินิยมอ้างว่าจักรวรรดิของพวกเขาไม่ใช่กิจการแสวงหาผลประโยชน์อันกว้างใหญ่ แต่เป็นโครงการจิตอาสาที่ทำเพื่อชนชาติที่ไม่ใช่ชาวยุโรป
- เนื่องจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับวิทยาศาสตร์ จักรวรรดิเหล่านี้จึงมีอำนาจมากและเปลี่ยนโลกไปมากจนอาจไม่สามารถตีตราได้ง่ายๆ ว่าดีหรือชั่ว พวกมันสร้างโลกในแบบที่เรารู้จักรวมถึงอุดมการณ์ต่างๆ ที่เราใช้ในการตัดสินพวกมัน
.
================================
.
บทที่ 16. หลักคำสอนแห่งทุนนิยม
.
- เพื่อที่จะเข้าใจประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสมัยใหม่ คุณต้องเข้าใจคำๆ เดียวจริงๆ นั่นคือ การเติบโต
- ตลอดประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ เศรษฐกิจมีขนาดคงที่
- เครดิตทำให้เราสามารถสร้างปัจจุบันโดยแลกกับอนาคต มันตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าทรัพยากรในอนาคตของเราจะอุดมสมบูรณ์กว่าในปัจจุบันอย่างแน่นอน
#พายที่ใหญ่ขึ้น
- ในช่วง 500 ปีที่ผ่านมา ความคิดเรื่องความก้าวหน้าทำให้ผู้คนวางใจในอนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ ความไว้วางใจนี้สร้างเครดิต เครดิตนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง และการเติบโตก็เสริมความเชื่อมั่นในอนาคตและเปิดทางให้เครดิตเพิ่มขึ้น
- ในหลักคำสอนทุนนิยมใหม่ บทบัญญัติแรกและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ผลกำไรจากการผลิตต้องนำไปลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มการผลิต"
- ทุนนิยมค่อยๆ กลายเป็นมากกว่าหลักคำสอนทางเศรษฐกิจ มันครอบคลุมถึงจริยธรรม - ชุดของคำสอนเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนควรประพฤติปฏิบัติ อบรมเลี้ยงดูลูก และแม้กระทั่งวิธีคิด
- ถามนักทุนนิยมดูว่าจะนำความยุติธรรมและเสรีภาพทางการเมืองมาสู่ที่อย่างซิมบับเวหรืออัฟกานิสถานได้อย่างไร คุณมักจะได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับวิธีที่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและชนชั้นกลางที่เฟื่องฟูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสถาบันประชาธิปไตยที่มั่นคง
- ความเชื่อของทุนนิยมในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่มีที่สิ้นสุดขัดแย้งกับเกือบทุกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับจักรวาล
- ธนาคารและรัฐบาลพิมพ์ แต่ในท้ายที่สุด นักวิทยาศาสตร์ต่างหากที่ออกเงิน
#โคลัมบัสค้นหานักลงทุน
- นโปเลียนล้อเลียนชาวอังกฤษ เรียกพวกเขาว่าชาติของพ่อค้า แต่พ่อค้าเหล่านี้ก็เอาชนะนโปเลียนเอง และจักรวรรดิของพวกเขากลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น
#ในนามของทุน
- ปริมาณเครดิตในระบบเศรษฐกิจไม่ได้ถูกกำหนดโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจล้วนๆ แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์ทางการเมือง เช่น การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือนโยบายต่างประเทศที่ทะเยอทะยานมากขึ้น
#ลัทธิบูชาตลาดเสรี
- ในตอนท้ายของยุคกลาง ระบบทาสเกือบไม่เป็นที่รู้จักในยุโรปคริสต์ ในช่วงยุคใหม่ตอนต้น การขยายตัวของทุนนิยมยุโรปเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แรงตลาดที่ไร้การควบคุม ไม่ใช่กษัตริย์ผู้เผด็จการหรือคนเหยียดเชื้อชาติ ต่างหากที่รับผิดชอบต่อความวิบัตินี้
- ทุนนิยมแบบตลาดเสรีไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลกำไรจะได้มาอย่างเป็นธรรม หรือถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรม
- หลังปี 1908 และโดยเฉพาะหลังปี 1945 ความโลภของทุนนิยมถูกยับยั้งไว้บ้าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ความไม่เท่าเทียมกันก็ยังแพร่หลายอยู่
.
=======================
.
บทที่ 17. ล้อเฟืองของอุตสาหกรรม
.
- ในทางตรงกันข้าม ขณะที่การใช้พลังงานและวัตถุดิบของมนุษยชาติเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในช่วงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา ปริมาณที่มีให้ใช้ประโยชน์กลับเพิ่มขึ้นจริงๆ
#ความลับในครัว
- เครื่องจักรไอน้ำเป็นการประดิษฐ์ชิ้นแรกที่เปลี่ยนความร้อนเป็นการเคลื่อนไหว
- เครื่องยนต์สันดาปภายในปฏิวัติการขนส่งของมนุษย์
#มหาสมุทรพลังงาน
- ทุกๆ ไม่กี่ทศวรรษ เราค้นพบแหล่งพลังงานใหม่ ทำให้ผลรวมของพลังงานที่เราใช้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- กิจกรรมและอุตสาหกรรมของมนุษย์ทั้งหมดรวมกันใช้พลังงานประมาณ 500 exajoules ต่อปี เทียบเท่ากับปริมาณพลังงานที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ในเพียง 90 นาที
#ชีวิตบนสายพานลำเลียง
- ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา มีเพียง 2% ของประชากรที่ทำมาหากินด้วยการเกษตร แต่ 2% นี้ผลิตอาหารมากพอที่จะเลี้ยงประชากรสหรัฐฯ ทั้งหมด ยังเหลือเป็นส่วนเกินส่งออกด้วย
- หากปราศจากการทำให้เกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรมในเมืองคงไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะจะไม่มีมือและสมองมากพอที่จะไปทำงานในโรงงานและสำนักงาน
#ยุคแห่งการช้อปปิ้ง
- เศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่ต้องเพิ่มการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอด แล้วใครจะเป็นคนซื้อของพวกนี้ล่ะ?
- ลัทธิบริโภคนิยมมองว่าการบริโภคสินค้าและบริการมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่ดี
- ลัทธิบริโภคนิยมทำงานหนักมาก ด้วยความช่วยเหลือจากจิตวิทยาสมัยนิยม เพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อว่าการได้ใจตัวเองเป็นเรื่องดี ในขณะที่ความประหยัดเป็นการกดขี่ตัวเอง
- แต่ละปี ประชากรสหรัฐฯ ใช้เงินกับการควบคุมน้ำหนักมากกว่าจำนวนเงินที่จำเป็นในการเลี้ยงคนหิวโหยทั้งหมดในส่วนที่เหลือของโลก
- คนรวยใส่ใจเป็นพิเศษในการบริหารสินทรัพย์และการลงทุนของตน ในขณะที่คนรวยน้อยกว่ากลับเป็นหนี้จากการซื้อรถยนต์และทีวีที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีจริงๆ
- คนรวยลงทุน ในขณะที่คนจนซื้อ
.
========================
.
บทที่ 18. การปฏิวัติถาวร
.
- ในอนาคตไม่น่าจะขาดแคลนทรัพยากร แต่มีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะทำลายสิ่งที่เหลืออยู่ของแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ส่วนใหญ่สูญพันธุ์
- การทำลายระบบนิเวศอาจเพิ่มความถี่ของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มนุษย์ก่อขึ้น
#เวลาสมัยใหม่
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมเปลี่ยนตารางเวลาและสายพานลำเลียงให้เป็นแม่แบบสำหรับกิจกรรมเกือบทุกอย่างของมนุษย์
- ระบบขนส่งสาธารณะทำให้การพึ่งพาการรักษาเวลาอย่างเคร่งครัดแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
- นาฬิกาพกราคาถูกแต่แม่นยำกลายเป็นของธรรมดา
- ปัจจุบัน ครอบครัวที่ร่ำรวยทั่วไปมีนาฬิกามากกว่าประเทศยุคกลางทั้งประเทศ
- บทบาทของครอบครัวและชุมชนท้องถิ่นถูกแทนที่ด้วยรัฐและตลาด
#ความล่มสลายของครอบครัวและชุมชน
- คนที่สูญเสียครอบครัวและชุมชนในปี 1750 เท่ากับตายทั้งเป็น เธอไม่มีงานทำ ไม่ได้รับการศึกษา และไม่มีใครช่วยเหลือยามเจ็บไข้และยากลำบาก
- เมื่อเวลาผ่านไป รัฐและตลาดใช้อำนาจที่เพิ่มขึ้นอ่อนแอความผูกพันแบบดั้งเดิมของครอบครัวและชุมชน ตำรวจถูกส่งไปเพื่อหยุดการแก้แค้นทางครอบครัวและแทนที่ด้วยการตัดสินในศาล ตลาดส่งพ่อค้าไปกวาดล้างประเพณีท้องถิ่นที่สืบทอดกันมายาวนานและแทนที่ด้วยแฟชั่นการค้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
- "จงเป็นปัจเจกชนของตัวเอง" คุณไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวหรือชุมชนของคุณอีกต่อไป เรา รัฐและตลาด จะดูแลคุณแทน
- แต่การปลดปล่อยปัจเจกบุคคลมีค่าใช้จ่าย หลายคนในพวกเราตอนนี้โอดครวญถึงการสูญเสียครอบครัวและชุมชนที่แข็งแกร่ง และรู้สึกแปลกแยกและถูกคุกคามจากอำนาจที่รัฐและตลาดอันไร้ตัวตนมีเหนือชีวิตของเรา
#ชุมชนในจินตนาการ
- เผ่าผู้บริโภคคือชุมชนในจินตนาการของตลาด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ลูกค้าทุกคนในตลาดจะรู้จักกันอย่างที่ชาวบ้านรู้จักกันในอดีต
- ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชุมชนระดับชาติถูกบดบังด้วยเผ่าของผู้บริโภคที่ไม่รู้จักกันอย่างสนิทสนม แต่มีนิสัยและความสนใจในการบริโภคเหมือนกัน
#PerpetuumMobile
- ในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา จังหวะของการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นจนระเบียบทางสังคมมีลักษณะเป็นพลวัตและเปลี่ยนแปลงได้ มันดำรงอยู่ในสภาวะของการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
- ปัจจุบัน แม้แต่คนอายุ 30 ก็สามารถบอกกับวัยรุ่นที่ไม่เชื่ออย่างซื่อสัตย์ว่า "ตอนฉันยังเด็ก โลกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"
- ลักษณะเดียวของสังคมสมัยใหม่ที่เรามั่นใจได้คือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่ง
- เจ็ดทศวรรษที่ผ่านไปนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคที่สงบสุขที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ - และโดยมีช่องว่างกว้าง นี่น่าแปลกใจเพราะช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมากกว่ายุคใดๆ ก่อนหน้านี้
#สันติภาพในเวลาของเรา
- คนส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของยุคสมัยที่เราอยู่ว่ามีสันติภาพมากแค่ไหน เรามักลืมไปได้ง่ายว่าโลกในอดีตรุนแรงกว่านี้มากแค่ไหน
- ในปีหลังจากเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีการพูดถึงการก่อการร้ายและสงครามมากมาย แต่คนทั่วไปก็ยังมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายมากกว่าถูกฆ่าโดยผู้ก่อการร้าย ทหาร หรือพ่อค้ายา
- การลดลงของความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตของรัฐ ตลอดประวัติศาสตร์ ความรุนแรงส่วนใหญ่เกิดจากการทะเลาะวิวาทระดับท้องถิ่นระหว่างครอบครัวและชุมชน
#PaxAtomica
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
- รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเพื่อยุติสงครามทั้งปวงควรมอบให้แก่โรเบิร์ต ออปเปนไฮเมอร์และผู้ร่วมสร้างระเบิดปรมาณูคนอื่นๆ
- อาวุธนิวเคลียร์ได้เปลี่ยนสงครามระหว่างมหาอำนาจให้กลายเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ และทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะแสวงหาการครอบครองโลกด้วยกำลังอาวุธ
- ผลกำไรจากสงครามลดลง
- ปัจจุบันความมั่งคั่งอยู่ในสิ่งของน้อยลงและกระจุกตัวอยู่ในทุนมนุษย์และความรู้ในการจัดการองค์กรมากขึ้น ซึ่งยากที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร
- สันติภาพกลายเป็นเรื่องที่ได้กำไรมากกว่าที่เคย
- เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่โลกถูกครอบงำโดยชนชั้นนำที่รักสันติ - นักการเมือง นักธุรกิจ ปัญญาชน และศิลปินที่มองสงครามอย่างแท้จริงว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายและหลีกเลี่ยงได้
- เครือข่ายการเชื่อมโยงระหว่างประเทศที่แน่นแฟ้นขึ้นทำให้ความเป็นอิสระของประเทศส่วนใหญ่ลดลง ลดโอกาสที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะปล่อยสุนัขล่าเหยื่อแห่งสงครามออกมาด้วยตัวเอง
.
=========================
.
บทที่ 19. แล้วพวกเขาก็มีความสุขกันตลอดไป
.
- นักประวัติศาสตร์มักหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามว่า "ความก้าวหน้า" ทำให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้นหรือไม่?
- ความสามารถ พฤติกรรม และทักษะใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องทำให้ชีวิตดีขึ้น
- บางคนโต้แย้งว่าความสามารถของมนุษย์และความสุขมีความสัมพันธ์แบบผกผัน อำนาจทำให้เสื่อมทราม
- เวลาตัดสินยุคสมัยใหม่ มันล่อใจเกินไปที่จะใช้มุมมองของคนชั้นกลางชาวตะวันตกในศตวรรษที่ 21 เราต้องไม่ลืมมุมมองของคนงานเหมืองถ่านชาวเวลส์ในศตวรรษที่ 19 ผู้ติดฝิ่นชาวจีน หรือชนพื้นเมืองแทสมาเนีย ทรูกานีนีไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าโฮเมอร์ ซิมป์สัน
- เรายังตัดสินยุคสมัยนี้เร็วเกินไป แม้แต่ยุคทองอันสั้นในครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาอาจกลายเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งหายนะในอนาคตก็เป็นได้
- เราจะแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนของ Sapiens สมัยใหม่ได้ก็ต่อเมื่อเราละเลยชะตากรรมของสัตว์อื่นๆ ทั้งหมดไปเสีย
#การนับความสุข
- ปัจจัยทางสังคม จริยธรรม และจิตวิญญาณมีผลกระทบต่อความสุขของเราพอๆ กับสภาพวัตถุ
- บางทีผู้คนในสังคมร่ำรวยสมัยใหม่อาจทุกข์ทรมานจากความแปลกแยกและความไร้ความหมายอย่างมาก แม้จะมั่งคั่งก็ตาม และบางทีบรรพบุรุษของเราที่ยากจนกว่าอาจพบความพึงพอใจมากมายในชุมชน ศาสนา และความผูกพันกับธรรมชาติ
- เงินนำมาซึ่งความสุขเพียงแค่ระดับหนึ่ง และเกินระดับนั้นไปก็มีนัยสำคัญน้อยมาก
- ความเจ็บป่วยเป็นที่มาของความทุกข์ระยะยาวก็ต่อเมื่ออาการทรุดลงอย่างต่อเนื่องหรือก่อให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรัง
- ครอบครัวและชุมชนดูเหมือนจะมีผลต่อความสุขของเรามากกว่าเงินและสุขภาพ
- การปรับปรุงสภาพวัตถุในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมาอาจถูกหักล้างด้วยการล่มสลายของครอบครัวและชุมชน ถ้าเป็นเช่นนั้น คนทั่วไปก็อาจไม่มีความสุขไปกว่าในปี 1800
- ความสุข = ความเป็นจริง - ความคาดหวัง
#ความสุขทางเคมี
- ผู้คนมีความสุขจากความรู้สึกที่พึงใจในร่างกายของพวกเขา
- เรามีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความสุขในระดับหนึ่ง บางคนร่าเริงตามธรรมชาติมากกว่าคนอื่น
- หากเรายอมรับแนวทางทางชีววิทยาต่อความสุข ประวัติศาสตร์ก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่มีผลต่อชีวเคมีของเรา
- เมื่อเราตระหนักในที่สุดว่ากุญแจสู่ความสุขอยู่ในมือของระบบชีวเคมีของเรา เราก็เลิกเสียเวลากับการเมืองและการปฏิรูปสังคม การยึดอำนาจ และอุดมการณ์ต่างๆ แล้วหันไปโฟกัสกับสิ่งเดียวที่ทำให้เรามีความสุขได้จริงๆ นั่นคือการปรับเปลี่ยนชีวเคมีของเรา
#ความหมายของชีวิต
- ตามการศึกษาของแดเนียล คาห์เนแมน ความสุขอาจเป็นการมองชีวิตในภาพรวมว่ามีความหมายและคุ้มค่า
- บางที ความสุขคือการประสานหลอกลวงส่วนตัวเรื่องความหมายของเราเข้ากับหลอกลวงรวมหมู่ที่มีอิทธิพลในขณะนั้น
.
===========================
.
บทที่ 20. จุดจบของ Homo Sapiens
.
- การแทนที่การคัดเลือกตามธรรมชาติด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาดอาจเกิดขึ้นได้ 3 ทาง คือ ผ่านวิศวกรรมชีวภาพ วิศวกรรมไซบอร์ก หรือวิศวกรรมชีวิตอนินทรีย์
- นักพันธุศาสตร์หวังว่าจะฟื้นคืนชีพสัตว์ที่สูญพันธุ์แล้ว
- อวัยวะเทียมได้รับการออกแบบให้ควบคุมโดยสัญญาณไฟฟ้าจากสมอง
- ช่วงต่อไปของประวัติศาสตร์จะไม่เพียงรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในจิตสำนึกและอัตลักษณ์ของมนุษย์ด้วย
.
.
#Ending
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.