เส้นทางสุดช็อคของประวัติศาสตร์ไฟฟ้า : "ฉันจะหาทาง หรือไม่ก็สร้างมันเอง"
เส้นทางสุดช็อคของประวัติศาสตร์ไฟฟ้า : "ฉันจะหาทาง หรือไม่ก็สร้างมันเอง"
.
นักประวัติศาสตร์ A: เฮ้! นายเคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงมีไฟฟ้าใช้?
นักประวัติศาสตร์ B: ไม่เคยคิดเลย ฉันแค่กดสวิตช์แล้วมันก็สว่าง
นักประวัติศาสตร์ A: งั้นมานั่งฟังเรื่องราวสุดบ้าของบรรพบุรุษเราที่ทำให้เรามีไฟฟ้าใช้กันดีกว่า!
นักประวัติศาสตร์ B: โอเค แต่ถ้าน่าเบื่อฉันจะหลับนะ
.
สวัสดีครับวันนี้เราจะมาท่องไปในเส้นทางประวัติศาสตร์ไฟฟ้า ผ่านแนวคิด "Aut viam inveniam aut faciam"(ภาษาละติน) หรือแปลตรงๆ ว่า "ฉันจะหาทาง หรือไม่ก็สร้างมันเอง" หรือถ้าจะให้แปลแบบคนขี้เกียจก็คือ "ถ้าไม่มีรีโมท ก็ลุกไปกดเองได้... หรือไม่ก็ประดิษฐ์รีโมทใหม่ซะเลย!"
.
เตรียมตัวให้พร้อม เราจะย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ยุคที่คนยังคิดว่าไฟฟ้าเป็นเวทมนตร์ จนถึงยุคที่เราใช้มันชาร์จแบตมือถือดู TikTok ได้ทั้งคืน!
.
---------------------------
.
วิลเลียม กิลเบิร์ต: จอมขยี้อำพันผู้เปิดศาสตร์ไฟฟ้า (ประมาณปี 1600)
.
.
เรื่องราวของเราเริ่มต้นในปี 1600 กับวิลเลียม กิลเบิร์ต แพทย์ประจำราชสำนักของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ แต่อย่าคิดว่าเขาเป็นแค่หมอหลวงธรรมดา เพราะกิลเบิร์ตมีงานอดิเรกสุดแปลก: ชอบขยี้อำพัน!
.
คุณอาจจะนึกภาพชายวัยกลางคนนั่งขยี้อำพันอยู่ในห้องทำงาน พลางพูดกับตัวเองว่า "โอ้! ทำไมมันดึงดูดขนนกได้นะ? " นี่แหละครับ จุดเริ่มต้นของการศึกษาไฟฟ้าสถิต!
.
แต่กิลเบิร์ตไม่ได้แค่ขยี้อำพันเล่นๆ นะ เขาทำการทดลองอย่างเป็นระบบ ทดสอบวัสดุต่างๆ มากกว่า 20 ชนิด ทั้งแก้ว กำมะถัน ขี้ผึ้ง และอื่นๆ เพื่อดูว่าอะไรสามารถสร้างแรงดึงดูดแบบเดียวกับอำพันได้บ้าง ถ้าเป็นสมัยนี้ คงเรียกว่า "นักสะสมขยะระดับเทพ" ไปแล้ว
.
กิลเบิร์ตตั้งชื่อแรงดึงดูดนี้ว่า "อิเล็กทริก" จากคำว่า "elektron" ในภาษากรีก ซึ่งแปลว่าอำพัน นี่คือที่มาของคำว่า "ไฟฟ้า" (electricity) ที่เราใช้กันทุกวันนี้! ถ้าไม่มีเขา เราอาจจะเรียกมันว่า "พลังลึกลับที่ทำให้ผมชี้" ก็ได้
.
นอกจากนี้ เขายังศึกษาเรื่องแม่เหล็กและเสนอว่าโลกของเราเป็นเหมือนแม่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งอธิบายการทำงานของเข็มทิศได้
.
กิลเบิร์ตยังสร้างเครื่องมือชิ้นแรกสำหรับตรวจจับไฟฟ้าสถิต เรียกว่า "versorium" ซึ่งเป็นเข็มโลหะที่สามารถหมุนได้อิสระ คล้ายกับเข็มทิศ แต่ใช้สำหรับตรวจจับแรงไฟฟ้าสถิตแทน นี่ถือเป็นต้นแบบของเครื่องมือวัดไฟฟ้าในยุคต่อมา
.
------------------------
.
สเตฟาน เกรย์: ผู้ค้นพบว่าไฟฟ้าวิ่งได้ (ประมาณปี 1729)
.
.
หลังจากกิลเบิร์ตเปิดทางให้ศึกษาไฟฟ้าสถิต ก็มีนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ สนใจศึกษาต่อ แต่คนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ สเตฟาน เกรย์
.
เกรย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่เริ่มต้นอาชีพเป็นเพียงช่างย้อมผ้า แต่ด้วยความสนใจในไฟฟ้า เขาได้ทำการทดลองมากมายในบ้านของตัวเอง บางครั้งถึงขั้นแขวนเด็กๆ ด้วยเชือกไหมเพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง! (อย่าลองทำตามที่บ้านนะครับ! )
.
นักประวัติศาสตร์ B: เดี๋ยวนะ เกรย์แขวนเด็กด้วยเชือกไหมเพื่อทดลองเรื่องไฟฟ้าเนี่ยนะ?
นักประวัติศาสตร์ A: ใช่แล้ว แต่อย่าเพิ่งตกใจไป ในยุคนั้นการแขวนเด็กถือเป็นกิจกรรมสันทนาการปกติ
.
การค้นพบที่สำคัญที่สุดของเกรย์คือ การพบว่าไฟฟ้าสามารถ "วิ่ง" จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ เขาทดลองโดยใช้เชือกป่านยาวเกือบ 300 ฟุต แขวนด้วยเส้นไหม และพบว่าไฟฟ้าสถิตสามารถวิ่งไปตามเชือกได้!
.
ลองนึกภาพชายแก่กำลังวิ่งไปตามเชือกยาวๆ พร้อมตะโกนว่า "มันวิ่งได้! มันวิ่งได้!"
.
เกรย์ยังค้นพบว่าวัสดุบางอย่าง เช่น โลหะ สามารถนำไฟฟ้าได้ดี ในขณะที่วัสดุอื่น เช่น ไหม กลับเป็นฉนวน นี่เป็นพื้นฐานสำคัญในการออกแบบอุปกรณ์ไฟฟ้าในอนาคต ถ้าไม่มีเขา เราอาจจะยังใช้สายไฟทำจากเส้นด้ายอยู่เลย!
.
ที่น่าขำก็คือ เกรย์เคยพยายามส่งไฟฟ้าผ่านเชือกที่ยาวถึง 800 ฟุต แต่มันไม่สำเร็จ เพราะเชือกแตะพื้นดิน ทำให้ไฟฟ้ารั่วไหล เขาจึงต้องขอให้เพื่อนช่วยยกเชือกขึ้นด้วยแท่งแก้ว ซึ่งเป็นฉนวน นี่เป็นที่มาของเสาไฟฟ้าที่เราเห็นกันทุกวันนี้นั่นเอง
.
---------------------------
.
เบนจามิน แฟรงคลิน: ผู้ชายที่กล้าไปจับฟ้าผ่า (ประมาณปี 1752)
.
มาถึงยุคของเบนจามิน แฟรงคลิน ผู้ที่ตัดสินใจว่าการอ่านหนังสือในร่มไม่น่าตื่นเต้นพอ จึงออกไปเล่นว่าวตอนฝนตก
.
แฟรงคลินผูกกุญแจเข้ากับเชือกว่าว หวังว่าจะพิสูจน์ว่าฟ้าผ่าคือไฟฟ้า คุณลองนึกภาพชายวัยกลางคนยืนท้าฟ้าท้าฝนอยู่กลางทุ่งโล่งดูสิ ถ้าเป็นสมัยนี้ คงมีคนถ่าย TikTok แล้วตั้งชื่อคลิปว่า "เบนจามิน vs ไฟฟ้า! ชาเลนจ์สุดระทึก! (ไม่จำกัดอายุ)"
.
แต่การทดลองนี้ไม่ใช่เรื่องตลก มันอันตรายมาก! มีนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนคนหนึ่งชื่อ Georg Wilhelm Richmann พยายามทำแบบเดียวกัน แต่โชคร้ายโดนฟ้าผ่าเสียชีวิต นี่เป็นบทเรียนสำคัญว่า ไม่ใช่ทุกอย่างที่เห็นบน YouTube จะสามารถทำตามได้
.
แฟรงคลินโชคดีที่รอดมาได้ และการทดลองของเขานำไปสู่การประดิษฐ์สายล่อฟ้า ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างตึกสูงได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นไม้ขีดไฟยักษ์! ถ้าไม่มีแฟรงคลิน เราอาจจะต้องสร้างตึกแบนๆ เตี้ยๆ เพื่อหลบฟ้าผ่า แล้วโลกเราก็คงดูเหมือนแพนเค้กยักษ์ไปแล้ว
.
นอกจากนี้ แฟรงคลินยังเป็นคนแรกที่ใช้คำว่า "ประจุบวก" และ "ประจุลบ" ในการอธิบายไฟฟ้า เขายังคิดค้นคำศัพท์อื่นๆ ที่เรายังใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เช่น แบตเตอรี่ ตัวนำ และตัวเก็บประจุ ถ้าไม่มีเขา เราอาจจะเรียกแบตเตอรี่ว่า "กล่องเวทมนตร์ที่ทำให้มือถือไม่ดับ" ก็ได้!
.
------------------------
.
อเลสซานโดร โวลตา: ผู้ชายที่ทำให้กบกระตุก (เพื่อวิทยาศาสตร์) (ประมาณปี 1799)
.
.
ต่อมาในปี 1799 อเลสซานโดร โวลตา นักฟิสิกส์ชาวอิตาเลียน สงสัยว่าทำไมขากบถึงกระตุกเมื่อโดนโลหะสองชนิดพร้อมกัน
.
เรื่องนี้เริ่มต้นจากการทดลองของเพื่อนร่วมงาน ลุยจิ กัลวานี ที่สังเกตว่าขากบกระตุกเมื่อโดนโลหะ กัลวานีคิดว่านี่เป็น "ไฟฟ้าจากสัตว์" แต่โวลตาไม่เชื่อ เขาคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น
.
แทนที่จะคิดว่า "เอ๊ะ! กบคงจั๊กจี้" โวลตากลับคิดว่า "นี่ต้องเป็นไฟฟ้าแน่ๆ!" เขาจึงทำการทดลองมากมาย จนในที่สุดก็ประดิษฐ์ "เสาโวลตา" ขึ้นมา ซึ่งก็คือแบตเตอรี่เครื่องแรกของโลกนั่นเอง
.
เสาโวลตาประกอบด้วยแผ่นสังกะสีและทองแดงวางสลับกัน คั่นด้วยผ้าชุบน้ำเกลือ เมื่อต่อสายไฟเข้ากับปลายทั้งสองด้าน ก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าไหลได้อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถผลิตไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องพึ่งธรรมชาติ!
.
คิดดูสิ ถ้าไม่มีโวลตา เราอาจจะต้องชาร์จมือถือด้วยการนำไปแช่ในตู้ปลา! หรือไม่ก็ต้องวิ่งออกไปกลางสายฝนทุกครั้งที่แบตหมด แล้วก็คงมีแอพพยากรณ์อากาศที่บอกว่า "วันนี้ฝนตก เหมาะแก่การชาร์จแบต" ด้วย
.
ที่น่าสนใจคือ โวลตาเคยส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สัน เพื่อรายงานการค้นพบของเขา และเจฟเฟอร์สันก็ตอบกลับว่า "นี่เป็นของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดที่ยุโรปมอบให้กับอเมริกา นับตั้งแต่การค้นพบทวีปนี้" แสดงว่าคนในยุคนั้นก็รู้แล้วว่าการค้นพบนี้จะเปลี่ยนโลกอย่างไร!
.
-----------------------
.
ฮัมฟรี เดวี่: ผู้ให้กำเนิดหลอดไฟ ก่อนเอดิสัน (ประมาณปี 1809)
.
.
ในปี 1809 ฮัมฟรี เดวี่ นักเคมีชาวอังกฤษ คิดว่าการจุดเทียนนั้นน่าเบื่อเกินไป เขาจึงประดิษฐ์ "หลอดอาร์ค" ขึ้นมา โดยใช้ขั้วคาร์บอนสองขั้วที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ทำให้เกิดแสงสว่างจ้า
.
แต่มีปัญหาเล็กๆ นิดเดียว... มันสว่างเกินไป ร้อนเกินไป และอายุการใช้งานสั้นมาก! ถ้าคุณคิดว่าหลอด LED ของคุณร้อน ลองจินตนาการถึงหลอดไฟที่สามารถใช้ย่างไก่ได้สิ! เดวี่อาจจะเป็นคนแรกที่สามารถทำให้ "แสงสว่าง" และ "อาหารเย็น" อยู่ในประโยคเดียวกันได้
.
แม้ว่าหลอดอาร์คของเดวี่จะไม่เหมาะสำหรับใช้ในบ้าน แต่มันกลับมีประโยชน์มากในการให้แสงสว่างในเหมืองแร่ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนงานได้มาก ถ้าไม่มีเดวี่ คนงานเหมืองอาจจะต้องพกแมวเรืองแสงลงไปทำงานด้วย!
.
นอกจากนี้ เดวี่ยังมีผลงานสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การค้นพบธาตุหลายชนิด (โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม ฯลฯ) และการประดิษฐ์ตะเกียงนิรภัยสำหรับเหมืองแร่ ซึ่งช่วยป้องกันการระเบิดของแก๊สมีเทนในเหมือง ถ้าไม่มีเขา เราอาจจะไม่มีเกลือแกงใส่อาหาร และคนงานเหมืองก็อาจจะต้องทำงานในความมืดและเสี่ยงระเบิดตลอดเวลา!
.
ที่น่าขำก็คือ เดวี่มักทดลองสูดดมแก๊สต่างๆ ด้วยตัวเอง! เขาเคยเกือบเสียชีวิตจากการสูดดมคาร์บอนมอนอกไซด์ แต่ก็ยังไม่เลิกทำการทดลองแบบนี้
.
---------------------------
.
โทมัส เอดิสัน: จอมโหดแห่งเมนโลพาร์ค (ประมาณปี 1879)
.
.
ในปี 1879 โทมัส เอดิสัน ตั้งใจว่าจะทำให้โลกสว่างไสว แต่ด้วยวิธีของเขาเอง เขาพัฒนาหลอดไฟให้ใช้งานได้จริง โดยใช้ไส้หลอดคาร์บอน
.
เอดิสันไม่ได้แค่ประดิษฐ์หลอดไฟเท่านั้น เขายังสร้างระบบจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ทั้งระบบด้วย! เขามุ่งมั่นจะทำให้ DC เป็นมาตรฐานของโลก จนได้ฉายา "จอมโหดแห่งเมนโลพาร์ค"
.
เอดิสันเป็นนักประดิษฐ์ที่ขยันมาก เขาเคยกล่าวว่า "ความสำเร็จประกอบด้วย 1% แรงบันดาลใจ และ 99% เหงื่อ" ซึ่งก็จริงนะครับ เพราะเขาทดลองวัสดุกว่า 6,000 ชนิดก่อนจะพบไส้หลอดที่เหมาะสม! ถ้าเป็นยุคนี้ก็คง "นี่มันไม่ใช่การประดิษฐ์หลอดไฟ แต่เป็นการพยายามเผาทุกอย่างในบ้านชัดๆ"
.
แต่เอดิสันก็มีด้านมืดเหมือนกัน เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ระบบ DC ของเขาเป็นที่ยอมรับ รวมถึงการโจมตีระบบ AC ของคู่แข่งว่าอันตราย เขาถึงขั้นจัดแสดงการประหารสัตว์ด้วยไฟฟ้า AC เพื่อพิสูจน์ว่ามันอันตราย! WTF!!!
.
ถึงแม้ว่าสุดท้ายระบบ AC จะชนะ แต่เอดิสันก็ยังเป็นที่จดจำในฐานะ "พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ค" ผู้สร้างนวัตกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบันทึกเสียง โทรเลข และแน่นอน หลอดไฟที่เปลี่ยนโลกของเรา ถ้าไม่มีเขา เราอาจจะยังต้องใช้หิ่งห้อยเป็นไฟหรี่ในห้องนอนอยู่เลย!
.
--------------------------
.
นิโคลา เทสลา: พ่อมดไฟฟ้าผู้ถูกลืม (ช่วงปลายศตวรรษที่ 19)
.
.
ในขณะที่เอดิสันกำลังวุ่นวายกับ DC นิโคลา เทสลา กลับมองเห็นอนาคตของไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เขาพัฒนาระบบ AC ที่สามารถส่งไฟฟ้าได้ไกลกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า
.
เทสลาเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถพิเศษ เขาสามารถจินตนาการเครื่องจักรที่ซับซ้อนในหัวได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเขียนแบบ! เขาเคยกล่าวว่า "ถ้าเอดิสันต้องหาเข็มในกองฟาง เขาจะค่อยๆ ตรวจสอบทุกเส้นฟางอย่างละเอียด ส่วนผม ผมจะนั่งลงบนกองฟางและรอให้เข็มมาหาผมเอง"
.
เทสลาต้องต่อสู้กับการโฆษณาชวนเชื่อของเอดิสัน แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า AC ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยการจัดแสดงที่น่าทึ่ง เช่น การยืนให้กระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลผ่านร่างกาย แล้วใช้มือถือหลอดไฟให้สว่าง!
.
ในที่สุด AC ก็กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก คิดดูนะ ถ้าไม่มีเทสลา เราอาจจะต้องเสียบปลั๊กทุก 100 เมตรเวลาชาร์จมือถือ! แล้วคงมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมา เช่น "นักวิ่งส่งไฟฟ้า" ที่ต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างบ้านกับโรงไฟฟ้าเพื่อขนส่งไฟฟ้า DC
.
นอกจากนี้ เทสลายังเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า วิทยุ (ก่อนมาร์โคนีด้วยซ้ำ) และแม้กระทั่งแนวคิดเรื่องการส่งพลังงานไร้สาย ซึ่งปัจจุบันเราเห็นในรูปแบบของการชาร์จมือถือไร้สาย
.
แต่น่าเสียดายที่เทสลาไม่เก่งเรื่องธุรกิจและการจัดการเงิน เขาเสียชีวิตในสภาพยากจนและถูกลืมในยุคนั้น แม้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกหลายอย่าง บางครั้งการเป็นอัจฉริยะก็ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในชีวิต แต่อย่างน้อยคุณก็อาจจะได้มีรถยนต์ไฟฟ้าตั้งชื่อตามคุณในอีก 100 ปีข้างหน้า!
.
-----------------------
.
ลี เดอ ฟอเรสต์: ผู้พิสูจน์ว่าความว่างเปล่าก็มีค่า (ต้นศตวรรษที่ 20)
.
.
หลังจากที่เทสลาทำให้โลกหมุนด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ ลี เดอ ฟอเรสต์ก็เข้ามาพิสูจน์ว่าแม้แต่ความว่างเปล่าก็ยังมีประโยชน์ (นอกจากในหัวของคนบางคน)
.
ในปี 1906 เดอ ฟอเรสต์คิดค้น "หลอดสุญญากาศ" หรือ "ออดิออน" ซึ่งทำหน้าที่เป็นสวิตช์ไฟฟ้าที่ควบคุมได้ เปรียบเสมือน "สมองกล" ยุคแรกของวงการอิเล็กทรอนิกส์
.
หลอดสุญญากาศนี้ทำงานโดยใช้อิเล็กตรอนที่ลอยอยู่ในสุญญากาศภายในหลอดแก้ว ควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าได้อย่างแม่นยำ กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของวิทยุ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ยุคแรก ทำให้ผู้คนสามารถรับฟังเสียงจากระยะไกลได้ และประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น
.
เดอ ฟอเรสต์พิสูจน์ให้เห็นว่า บางครั้งการ "ดูดเอาทุกอย่างออกไป" ก็สามารถสร้างนวัตกรรมได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับวิธีการทำงานของรัฐบาลทั่วโลกโดยสิ้นเชิง! แต่ก็เป็นแนวคิดที่ทำให้เราได้ฟังเพลงผ่านวิทยุ ดูทีวี และใช้คอมพิวเตอร์ในเวลาต่อมา
.
-----------------------------
.
วิลเลียม ชอคลีย์: ผู้ทำให้ "เล็ก" กลายเป็น "เท่" (กลางศตวรรษที่ 20)
.
.
ต่อมาในปี 1948 วิลเลียม ชอคลีย์และทีมงานที่ Bell Labs ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการคิดค้น "ทรานซิสเตอร์" ซึ่งทำงานเหมือนหลอดสุญญากาศ แต่มีขนาดจิ๋วกว่ามาก ใช้พลังงานน้อยกว่า และมีความเสถียรมากกว่า
.
ทรานซิสเตอร์นี้เปรียบเสมือนการย่อห้องทั้งห้องให้เหลือขนาดเท่าเม็ดถั่ว ซึ่งถ้าใช้กับห้องนอนของวัยรุ่นบางคน อาจจะทำให้ความรกกลายเป็นความเรียบร้อยในพริบตา!
.
การค้นพบนี้ได้ปฏิวัติวงการอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีขนาดเล็กลง ใช้พลังงานน้อยลง และฉลาดขึ้น นำไปสู่การพัฒนาคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนที่เราใช้กันทุกวันนี้ ทรานซิสเตอร์ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในวงจรรวม (Integrated Circuit) ซึ่งเป็นหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ทั้งหมด
.
ด้วยการค้นพบของสองท่านนี้ เราจึงสามารถก้าวจากยุคที่ต้องเสียบปลั๊กทุก 100 เมตร มาสู่ยุคที่เราสามารถใช้สมาร์ทโฟนส่องหาปลั๊กไฟในร้านกาแฟได้อย่างสบายๆ แถมยังแชร์รูป "ที่นั่งทำงานวันนี้" ลง Instagram ได้อีกต่างหาก
.
ไม่เพียงเท่านั้น เรายังสามารถพกพาคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลมหาศาลไว้ในกระเป๋ากางเกง และเชื่อมต่อกับโลกได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ผู้กล้าคิดนอกกรอบเหล่านี้นั่นเองครับ
.
---------------------
.
และทั้งหมดนี้ครับ ก็คือเส้นทางวิวัฒนาการของไฟฟ้า จากการขยี้อำพันของกิลเบิร์ต สู่การช็อตกบของโวลตา จนถึงการย่อโลกทั้งใบให้อยู่ในมือของชอคลีย์ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้เกิดจากอัจฉริยะเพียงคนเดียว แต่เกิดจากคนบ้าๆ บอๆ หลายคนที่กล้าทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเพี้ยน!
.
นักประวัติศาสตร์ A: และนี่ก็คือประวัติศาสตร์ไฟฟ้าโดยย่อ ว่าแต่...นายฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย?
นักประวัติศาสตร์ B: *สะดุ้งตื่น* ฮะ!? อะไรนะ!? โอ้... ใช่ ใช่ ฉันฟังอยู่
.
นักประวัติศาสตร์ A: จริงเหรอ? งั้นสรุปมาซิว่าเราเพิ่งคุยอะไรกันไป
นักประวัติศาสตร์ B: เอ่อ… เรื่องคนชอบขยี้อำพัน แล้วก็เด็กโดนแขวน... แล้วก็พ่อมดไฟฟ้า?
.
นักประวัติศาสตร์ A: งั้นคราวหน้าเราไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์การแพทย์กันไหม? รับรองว่าจะทำให้นายรู้สึกตื่นเต้นเหมือนโดนไฟฟ้าจี้สมอง!
.
นักประวัติศาสตร์ B: ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร ฉันขอเป็นคนธรรมดาที่แค่เปิดไฟแล้วรู้สึกขอบคุณบรรพบุรุษพวกนี้ก็พอ
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.