ประวัติศาสตร์กฎหมาย: จากโรมันถึงยุค AI
ประวัติศาสตร์กฎหมาย: จากโรมันถึงยุค AI (แต่ยังไม่ถึงยุค Skynet)
.
.
สวัสดีครับ เหล่านักเรียนกฎหมายปีหนึ่ง นักประวัติศาสตร์มือใหม่ และผู้ที่ถูกหลอกให้มาอ่านเรื่องน่าเบื่อนี้!
.
วันนี้เราจะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งกฎหมาย ที่ซึ่งความยุติธรรมมีราคาแพงยิ่งกว่าค่าปรับจอดรถผิดที่ และประวัติศาสตร์ก็ยืดยาวกว่าคิวขอวีซ่าอเมริกา!
.
กฎหมายก็เหมือนกับส้วมสาธารณะ - มีไว้ให้ทุกคนใช้ แต่ไม่มีใครอยากแตะต้องมันจริงๆ หรอก!
.
การศึกษากฎหมายมันไม่ได้มีไว้แค่ให้คุณโม้ในปาร์ตี้ว่าคุณเก่งกว่า AI หรือช่วยให้คุณโต้เถียงกับตำรวจจราจรได้เท่านั้น มันยังช่วยไขปริศนาว่าทำไมเราถึงต้องเสียภาษีให้กับนักการเมืองที่เราอยากเตะก้นทุกคน! มาเริ่มกันเลยครับ
.
.
---------------------
.
กฎหมายโรมัน: ต้นกำเนิดของความปวดหัวทางกฎหมาย
.
.
เริ่มต้นกันที่อาณาจักรโรมัน ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของกฎหมายตะวันตกสมัยใหม่
.
ยุคราชาธิปไตย (753-509 ก่อนคริสตกาล):
.
ในยุคนี้ กษัตริย์โรมันมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นทั้งผู้นำทางการเมือง ศาสนา และกองทัพ คล้ายๆ กับพ่อแม่ยุคโบราณที่สั่งลูกได้ทุกอย่าง กษัตริย์เป็นผู้ออกกฎหมายและตัดสินคดีความ โดยไม่มีใครกล้าบอกว่าพระองค์ไม่ได้สวมเสื้อผ้า
.
ยุคสาธารณรัฐ (509-27 ก่อนคริสตกาล):
.
หลังจากโค่นล้มระบอบกษัตริย์ เพราะเบื่อที่จะต้องทำตามคำสั่งของคนๆ เดียวตลอดเวลา โรมันก็เข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ ซึ่งถือเป็นประชาธิปไตยแบบโรมัน (แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เท่าเทียมกัน เพราะทาสและผู้หญิงยังไม่มีสิทธิ์... ก็ยังดีกว่าไม่มีใครมีสิทธิ์เลยนะ!)
.
ในยุคนี้มีการแบ่งแยกอำนาจระหว่างสภา (Senate) และข้าราชการระดับสูง (Magistrates) คล้ายๆ กับรัฐสภาและรัฐบาลในปัจจุบัน แต่ไม่มีการถ่ายทอดสดการประชุมทาง Facebook Live ("สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เรากำลังจะโหวตว่าจะรุกรานกอลหรือไม่ กดไลค์ถ้าเห็นด้วย กดโกรธถ้าไม่เห็นด้วยนะครับ!")
.
ยุคนี้เองที่เกิดกฎหมาย 12 โต๊ะ (Twelve Tables) ซึ่งถือเป็นประมวลกฎหมายเล่มแรกของโรม เขียนไว้บนแผ่นทองแดง 12 แผ่น กฎหมายนี้ทำให้ชาวโรมันรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แทนที่จะต้องเดาเอาเองว่าวันนี้ผู้ปกครองอารมณ์ดีหรือไม่
.
ยุคจักรวรรดิ (27 ก่อนคริสตกาล - 476 หลังคริสตกาล):
.
จากสาธารณรัฐสู่เผด็จการที่แอบอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย (ฟังดูคุ้นๆ ไหมครับ? ) ยุคนี้เริ่มต้นเมื่อจูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นจักรพรรดิตลอดชีพ ซึ่งไม่นานนักหรอก เพราะโดนลอบสังหาร... บทเรียนสำคัญ: อย่าประกาศตัวเป็นผู้นำตลอดชีพถ้าไม่อยากจบชีวิตเร็วๆ
.
ต่อมา ออกัสตัส หลานชายของซีซาร์ ก็สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกอย่างเป็นทางการ โดยแกล้งทำเป็นว่าสาธารณรัฐยังคงอยู่
.
ในยุคนี้ จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมายและตัดสินคดี แต่ก็ยังคงรักษาสถาบันต่างๆ ของสาธารณรัฐไว้ เช่น วุฒิสภา (ที่ไม่มีอำนาจจริง) และตำแหน่งกงสุล (ที่เป็นแค่ตำแหน่งเกียรติยศ)
.
----------------
.
Corpus Juris Civilis:
.
ไฮไลท์สำคัญของกฎหมายโรมันคือ Corpus Juris Civilis หรือ "ประมวลกฎหมายพลเรือน" ที่รวบรวมขึ้นในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (ค.ศ. 529-534) ถือเป็นคัมภีร์กฎหมายที่ทำให้นักศึกษากฎหมายต้องนอนดึก (และอาจจะฝันร้ายด้วย) ประกอบด้วย:
.
1. Codex Justinianus: รวมพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิ (เหมือนรวมทวีตของผู้นำประเทศ แต่มีผลบังคับใช้จริง)
2. Digesta: รวบรวมความเห็นของนักกฎหมายโรมัน (คล้ายๆ กับฟอรัมกฎหมายออนไลน์ แต่ไม่มีคนด่ากันใต้กระทู้)
3. Institutiones: ตำราเรียนกฎหมายสำหรับนักศึกษา (แต่ไม่มี "สรุปย่อ" ให้อ่านก่อนสอบ)
4. Novellae: กฎหมายใหม่ที่ออกหลังจากรวบรวม Codex (เหมือน DLC ของเกม แต่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม)
.
Corpus Juris Civilis นี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบกฎหมายในยุโรปและทั่วโลก แม้แต่ในประเทศที่ไม่เคยเป็นอาณานิคมของโรมเลยก็ตาม และยังคงเป็นพื้นฐานของการศึกษากฎหมายในหลายประเทศจนถึงปัจจุบัน ทำให้นักศึกษากฎหมายทั่วโลกต้องทนทรมานเหมือนๆ กัน... ความยุติธรรมมีจริง!
.
.
---------------------
.
กฎหมายอิสลาม: เมื่อศาสนาและกฎหมายมาในชุดเดียวกัน
.
.
หลังจากที่เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของกฎหมายโรมันแล้ว มาดูกันต่อที่กฎหมายอิสลาม ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในโลกมุสลิม และทำให้คุณต้องคิดหนักว่าจะกินหมูหรือไม่เมื่อไปเที่ยวดูไบ
.
แหล่งที่มาของกฎหมายอิสลาม:
.
1. อัลกุรอาน: คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่หนังสือสอนทำอาหารตะวันออกกลางนะ
2. ซุนนะฮ์: แบบอย่างการปฏิบัติของศาสดามุฮัมมัด คล้ายๆ กับการดู influencer แต่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
3. อิจญ์มาอฺ: ฉันทามติของนักวิชาการอิสลาม เหมือนการโหวตในรายการเรียลลิตี้ แต่เกี่ยวกับกฎหมาย
4. กิยาส: การใช้เหตุผลเทียบเคียง เหมือนตอนที่คุณพยายามอธิบายกับแม่ว่าทำไมกลับบ้านดึก แต่ใช้กับกฎหมายแทน
.
สาขาของกฎหมายอิสลาม:
.
1. อิบาดัต: เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจ (วิธีทำให้พระเจ้าพอใจ โดยไม่ต้องส่งของขวัญวันเกิด)
2. มุอามาลัต: เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (วิธีอยู่ร่วมกันโดยไม่ตีกัน)
3. อุกูบัต: เกี่ยวกับบทลงโทษ เพราะบางครั้ง มนุษย์ก็ทำตัวน่าโดนจริงๆ
.
.
-----------------
.
กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law): เมื่ออังกฤษคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าใคร
.
.
เมื่อพูดถึงกฎหมายจารีตประเพณี เราต้องย้อนกลับไปที่เกาะอังกฤษ ดินแดนแห่งชา ขนมปังปิ้ง และฝนตก 300 วันต่อปี
.
วิลเลียมผู้พิชิต: เมื่อฝรั่งเศสมาปกครองอังกฤษ
.
ในปี ค.ศ. 1066 วิลเลียมแห่งนอร์มังดีได้บุกและยึดครองอังกฤษ (ใช่ครับ ฝรั่งเศสเคยปกครองอังกฤษ ไม่ใช่แค่ทำให้อาหารอังกฤษอร่อยขึ้นเท่านั้น) การปกครองของวิลเลียมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบกฎหมายอังกฤษ
.
ก่อนหน้านี้ อังกฤษมีกฎหมายท้องถิ่นที่หลากหลาย เช่น กฎหมายเวสเซ็กซ์ กฎหมายเมอร์เซีย และกฎหมายเดน ที่มาพร้อมกับพวกไวกิ้ง ซึ่งเป็นทัวร์จากสแกนดิเนเวียที่ไม่มีใครอยากต้อนรับ วิลเลียมไม่ได้ยกเลิกกฎหมายเหล่านี้ทันที แต่เริ่มกระบวนการทำให้กฎหมายเป็นหนึ่งเดียวทั่วประเทศ เหมือนกับการทำสูตรซอสลับของครอบครัวที่ทุกคนต้องใช้ร่วมกัน
.
-------------------
.
การพัฒนาของระบบศาล: จากศาลท้องถิ่นสู่ศาลหลวง
.
ในยุคแองโกล-แซกซอน การพิจารณาคดีส่วนใหญ่เกิดขึ้นในศาลท้องถิ่น (shire courts) ซึ่งปกครองโดยเชอริฟฟ์ (sheriff) ประจำเขต คล้ายๆ กับผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน แต่มีปืนและม้า
.
วิลเลียมและกษัตริย์องค์ต่อๆ มาได้ส่งผู้พิพากษาเดินทางไปทั่วประเทศ (circuit judges) เพื่อพิจารณาคดีในนามของกษัตริย์ ผู้พิพากษาเหล่านี้ไม่รู้จักกฎหมายท้องถิ่น จึงต้องอาศัยคณะลูกขุนที่เป็นคนในพื้นที่ช่วยตัดสิน เหมือนกับการถามทางคนท้องถิ่นในยุคก่อน GPS แต่แทนที่จะถามทาง ก็ถามว่าใครผิดใครถูก
.
เมื่อผู้พิพากษากลับมาที่เวสต์มินสเตอร์ พวกเขาจะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินและกฎหมายท้องถิ่นที่พบเจอ ทำให้เกิดการสร้างมาตรฐานกฎหมายที่ใช้ร่วมกันทั่วประเทศ นี่คือจุดเริ่มต้นของ "กฎหมายจารีตประเพณี" หรือ Common Law ซึ่งก็คือการที่ผู้พิพากษาทั่วประเทศตกลงกันว่า "เออ ทำแบบนี้แหละ ดูเหมือนจะยุติธรรมดี"
.
------------------
.
หลัก Stare Decisis: เมื่อผู้พิพากษาต้องทำตามคนก่อน
.
หลัก Stare Decisis หรือ "ให้ยึดถือตามบรรทัดฐานที่วินิจฉัยไว้แล้ว" เป็นหัวใจสำคัญของระบบกฎหมายจารีตประเพณี หลักการนี้กำหนดให้ผู้พิพากษาต้องพิจารณาคดีโดยอ้างอิงคำตัดสินในคดีก่อนหน้าที่มีลักษณะคล้ายกัน เหมือนกับการที่คุณต้องทำตามสิ่งที่พี่ๆ เคยทำไว้ในครอบครัว แม้ว่าบางทีมันจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็ตาม
.
ข้อดีของระบบนี้คือทำให้เกิดความแน่นอนและคาดการณ์ได้ในกระบวนการยุติธรรม แต่ข้อเสียก็คือบางครั้งอาจทำให้กฎหมายปรับตัวช้าเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง เหมือนกับการทำตามสูตรอาหารเก่าๆ ทั้งที่มีเครื่องปรุงใหม่ๆ แล้ว แต่คุณยายยืนยันว่าต้องทำแบบนี้เท่านั้น
.
นักกฎหมายชื่อดังอย่าง Ronald Dworkin เปรียบเทียบผู้พิพากษาในระบบ Common Law กับนักเขียนนิยายต่อเนื่อง แต่ละคนต้องเขียนบทต่อจากคนก่อนโดยพยายามรักษาความต่อเนื่องของเรื่องราว แต่ไม่มีใครกล้าเขียนให้ตัวเอกตายกลางเรื่องเหมือน Game of Thrones
.
.
--------------------
.
Equity vs. Common Law: เมื่อความยุติธรรมมาในสองรูปแบบ
.
.
ในช่วงยุคกลาง ระบบ Common Law มีข้อจำกัดมากมาย เช่น มีแบบฟอร์มฟ้องร้อง (writ) ที่ตายตัว ถ้าเลือกแบบฟอร์มผิดก็จะแพ้คดีทันที เหมือนกับการกรอกแบบฟอร์มราชการผิดแล้วต้องไปต่อคิวใหม่ แต่แทนที่จะเสียเวลา คุณเสียคดีเลย
.
เพื่อแก้ปัญหานี้ จึงเกิดระบบ Equity ขึ้น โดยผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องต่อกษัตริย์หรือ Lord Chancellor เพื่อขอความเป็นธรรม ศาล Chancery จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาคดีเหล่านี้ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบที่เคร่งครัดของ Common Law
.
ระบบ Equity นี้ทำให้เกิดหลักการทางกฎหมายใหม่ๆ เช่น การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา (specific performance) หรือการออกคำสั่งห้าม (injunction) ซึ่งไม่มีใน Common Law ดั้งเดิม
.
ในที่สุด ทั้งสองระบบก็ถูกรวมเข้าด้วยกันในปี 1873 โดยหลักการที่ว่า "ถ้า Common Law และ Equity ขัดแย้งกัน ให้ใช้ Equity" (เหมือนกับการที่แม่มักชนะพ่อในการตัดสินใจเรื่องในบ้าน เพราะแม่มักจะ "ยุติธรรม" กว่า...)
.
--------------------
.
การปฏิวัติทางกฎหมายในยุโรป: จากศักดินาสู่ประชาธิปไตย (หรือสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย)
.
.
หลังจากที่เราได้เห็นพัฒนาการของกฎหมายในอังกฤษแล้ว มาดูกันต่อว่าทวีปยุโรปมีการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายอย่างไรบ้าง นอกจากการเปลี่ยนจากการสวมชุดเกราะเป็นสูท
.
------------------
.
Magna Carta: เมื่อขุนนางบอกกษัตริย์ว่า "พอแล้ว!"
.
ในปี 1215 พระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษถูกบังคับให้ลงนามใน Magna Carta หรือ "มหาบัตร" โดยกลุ่มขุนนางที่ไม่พอใจการปกครองแบบเผด็จการของพระองค์ (และการเก็บภาษีที่สูงลิบลิ่ว)
.
Magna Carta กำหนดหลักการสำคัญหลายประการ เช่น:
.
- กษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน
- ห้ามจับกุมหรือลงโทษโดยปราศจากการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (แปลว่าต้องมีการพิจารณาก่อนจะลงโทษ ไม่ใช่ลงโทษก่อนแล้วค่อยคิด)
- การเก็บภาษีต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา
.
แม้ว่า Magna Carta จะถูกยกเลิกและออกใหม่หลายครั้ง แต่หลักการสำคัญของมันยังคงอยู่และกลายเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา เหมือนกับการที่พ่อแม่ยอมให้ลูกออกความเห็นก่อนที่จะตัดสินใจแทนลูกอยู่ดี... แต่อย่างน้อยก็ให้ลูกรู้สึกว่ามีส่วนร่วม
.
--------------------
.
การปฏิวัติฝรั่งเศส: เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ (และกิโยติน)
.
ในปี 1789 ประชาชนชาวฝรั่งเศสลุกฮือขึ้นต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นำไปสู่การปฏิวัติครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงไม่เพียงแค่ฝรั่งเศส แต่ยังส่งผลกระทบไปทั่วยุโรปและโลก
.
หลักการสำคัญที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ได้แก่:
.
- การประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง (เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ... แต่ไม่รวมสิทธิในการไว้หนวดเคราแบบกษัตริย์)
- การแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยเป็นสามฝ่าย (นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ... เหมือนการแบ่งงานในบ้าน แต่ไม่มีใครอยากทำความสะอาดห้องน้ำ)
- การยกเลิกระบอบศักดินาและสิทธิพิเศษของชนชั้นสูง (ทำให้คนรวยต้องต่อคิวซื้อขนมปังเหมือนคนทั่วไป)
.
แม้ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสจะนำมาซึ่งความรุนแรงและความวุ่นวาย รวมถึงการใช้กิโยตินอย่างล้นหลาม ซึ่งเป็นวิธีประหารชีวิตที่ "มนุษยธรรม" กว่าในสมัยนั้น.. แต่หลักการที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ (เหมือนกับการที่คุณต้องทนกินผักเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงนั่นแหละ... แต่นี่คือผักทั้งประเทศต้องกิน)
.
----------------------
.
ประมวลกฎหมายนโปเลียน: กฎหมายฝรั่งเศสที่แพร่กระจายไปทั่วยุโรป
.
หลังจากการปฏิวัติ นโปเลียน โบนาปาร์ต ได้ขึ้นมามีอำนาจและริเริ่มการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ โดยการรวบรวมและจัดระเบียบกฎหมายฝรั่งเศสให้เป็นระบบ เกิดเป็น "ประมวลกฎหมายนโปเลียน" ในปี 1804
.
ประมวลกฎหมายนี้มีลักษณะเด่น ได้แก่:
.
- เขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
- จัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ
- ผสมผสานระหว่างกฎหมายโรมันและกฎหมายจารีตประเพณีของฝรั่งเศส
- ยึดหลักความเสมอภาคและเสรีภาพ
.
ประมวลกฎหมายนโปเลียนแพร่หลายไปทั่วยุโรปพร้อมกับการขยายอำนาจของฝรั่งเศส คล้ายๆ กับการที่วัฒนธรรม K-Pop แพร่หลายไปทั่วโลกในปัจจุบัน แต่แทนที่จะใช้เพลงและการเต้น ก็ใช้กองทัพแทน และกลายเป็นต้นแบบของการปฏิรูปกฎหมายในหลายประเทศ
.
.
-------------------
.
กฎหมายระหว่างประเทศ
.
.
เมื่อโลกเริ่มเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความจำเป็นในการมีกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
.
สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย: จุดเริ่มต้นของรัฐชาติสมัยใหม่
.
ในปี 1648 สนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียได้ยุติสงครามศาสนาที่ดำเนินมาอย่างยาวนานในยุโรป และวางรากฐานสำคัญของระบบรัฐชาติสมัยใหม่ หลักการสำคัญ ได้แก่:
.
- อธิปไตยของรัฐ (ห้ามยุ่งกับกิจการภายในของประเทศอื่น... เว้นแต่คุณจะมีน้ำมัน)
- ความเท่าเทียมกันระหว่างรัฐ (อย่างน้อยก็ในทางทฤษฎี... แต่ในความเป็นจริง บางประเทศก็เท่ากว่าประเทศอื่น)
- หลักไม่แทรกแซงกิจการภายใน (ยกเว้นถ้าคุณเป็นมหาอำนาจ แล้วคุณคิดว่าประเทศอื่นกำลังทำอะไรที่ "ไม่ถูกต้อง")
.
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ: ทำสงครามอย่างไรให้ "มีมนุษยธรรม"
.
เมื่อมนุษย์ยังคงทำสงครามกันไม่เลิก จึงเกิดความพยายามที่จะทำให้สงคราม "มีมนุษยธรรม" มากขึ้น อนุสัญญาเจนีวาเป็นตัวอย่างสำคัญของกฎหมายประเภทนี้ โดยกำหนดหลักการเช่น:
.
- การคุ้มครองพลเรือน
- การปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างมีมนุษยธรรม
- การคุ้มครองผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ในสงคราม
.
---------------------
.
สหประชาชาติ: องค์กรที่สร้างขึ้นเพื่อสันติภาพ (แต่มักจะวุ่นวายเสียเอง)
.
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ ตกลงกันว่า "เอาจริงๆ นะ เราต้องหยุดฆ่ากันได้แล้ว" จึงก่อตั้งสหประชาชาติขึ้นในปี 1945 โดยมีเป้าหมายหลักคือการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
.
สหประชาชาติได้สร้างกรอบกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น:
.
- กฎบัตรสหประชาชาติ
- ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
- อนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทะเล (เพราะแม้แต่ปลาก็ต้องมีกฎ)
.
แม้ว่าสหประชาชาติจะถูกวิจารณ์ว่าไม่มีประสิทธิภาพในหลายกรณี เหมือนกับการประชุมกลุ่มที่ไม่มีใครตัดสินใจได้สักที แต่ก็ยังเป็นเวทีสำคัญสำหรับการเจรจาและแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ
.
.
-------------------
.
กฎหมายในยุคดิจิทัล: ความท้าทายใหม่ในศตวรรษที่ 21
.
.
เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล กฎหมายก็ต้องวิ่งตามให้ทัน (แต่ส่วนใหญ่ก็วิ่งหอบแฮกๆ ตามหลังเทคโนโลยีอยู่ดี เหมือนคุณปู่พยายามเล่น TikTok)
.
ความเป็นส่วนตัวในยุคข้อมูล: เมื่อ Google รู้จักคุณดีกว่าแม่
.
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นประเด็นสำคัญ เกิดกฎหมายอย่าง GDPR ของสหภาพยุโรปที่ให้สิทธิประชาชนในการควบคุมข้อมูลของตนเอง แต่ก็ยังคลิก "ยอมรับ" cookies โดยไม่อ่านอยู่ดี... เหมือนการเซ็นสัญญาขายวิญญาณให้กับบริษัทเทคโนโลยี
.
อาชญากรรมไซเบอร์: เมื่อโจรปล้นธนาคารไม่ต้องออกจากบ้าน
.
กฎหมายต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับอาชญากรรมรูปแบบใหม่ เช่น การแฮ็กข้อมูล การฉ้อโกงออนไลน์ หรือการโจมตีทางไซเบอร์ เพราะโจรสมัยนี้ชอบนั่งแอร์มากกว่าถือปืนบุกธนาคาร... และอาจจะเก่งคอมพิวเตอร์มากกว่าตำรวจด้วยซ้ำ
.
.
---------------
.
EU AI Act: กฎหมายที่จะมาควบคุม AI ไม่ให้ครองโลก... หรือ อย่างน้อยก็ไม่ให้ครองยุโรปนั่นแหละ
.
.
EU AI Act หรือชื่อเต็มๆ ว่า "รัฐบัญญัติปัญญาประดิษฐ์" นี่เป็นเหมือนคู่มือการเลี้ยง AI ให้เป็นเด็กดีของสหภาพยุโรปยังไงยังงั้นเลย โดยมีไฮไลท์สำคัญดังนี้:
.
1. จัดระดับความเสี่ยงของ AI: ตั้งแต่ "เสี่ยงน้อยจนแทบไม่ต้องสนใจ" ไปจนถึง "เสี่ยงมากไปจนอาจทำให้มนุษย์ตกงานหมด"
.
2. ห้ามใช้ AI ที่อันตรายเกินไป: เช่น AI ที่ให้คะแนนความเป็นพลเมืองดี
.
3. ควบคุม AI ความเสี่ยงสูงอย่างเข้มงวด: เพราะเราไม่อยากให้ AI มาเป็นครูแล้วสอนเด็กๆ ว่าโลกแบนหรือ 1+1=3
.
4. ความโปร่งใส: ต้องบอกผู้ใช้ว่ากำลังคุยกับ AI นะ
.
5. ส่งเสริมนวัตกรรม: เพราะเราอยากเห็น startup ที่สร้าง AI มากขึ้นอีก ถ้าเท่านี้มันยังไม่พอ
.
6. บทลงโทษ: ถ้าทำผิดก็ต้องจ่ายค่าปรับ (แต่ถ้า AI เป็นคนทำผิด ใครจะเป็นคนจ่ายล่ะ? )
.
7. ตั้งคณะกรรมการ AI แห่งยุโรป: เพื่อให้แน่ใจว่าทุกประเทศในยุโรปจะเลี้ยง AI เป็นเด็กดีเหมือนๆ กัน
.
8. ไม่ใช้กับ AI ทหาร: เพราะเราไม่อยากยุ่งกับ Skynet
.
9. มุ่งควบคุมคนที่สร้างและใช้ AI: ไม่ใช่ตัว AI เอง
.
10. เตรียมรับมือ AI ขั้นสูง: เผื่อวันหนึ่ง AI จะฉลาดเกินมนุษย์จริงๆ
.
รัฐบัญญัตินี้ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภายุโรปเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2024 และได้รับการอนุมัติเป็นเอกฉันท์จากคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2024 โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (หวังว่า AI จะไม่ฉลาดเกินไปก่อนที่กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้นะ)
.
สรุปง่ายๆ ก็คือ EU AI Act นี้เป็นความพยายามของยุโรปที่จะควบคุม AI ให้อยู่ในร่องในรอย ไม่ให้มันเก่งเกินมนุษย์จนเราตกงานกันหมด แต่ก็ไม่ได้จำกัดจนเกินไปจน AI กลายเป็นแค่เครื่องคิดเลข
.
เราต้องจับตาดูกันต่อไปว่า AI จะพัฒนาไปไกลแค่ไหน และกฎหมายนี้จะตามทันมันได้หรือเปล่า หรือสุดท้ายแล้วเราอาจจะต้องขอให้ AI ช่วยเขียนกฎหมายควบคุมตัวมันเองก็ได้นะ!
.
---------------------
.
และนี่แหละครับ คือเส้นทางอันคดเคี้ยวของกฎหมายที่พาเราจากยุคหินมาถึงยุคที่ AI อาจจะฟ้องเราในศาลได้!
.
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกฎหมาย นักการเมือง หรือแค่คนที่พยายามหาทางหลบภาษีอย่างถูกกฎหมาย จงจำไว้ว่ากฎหมายนั้นเหมือนพริก - เผ็ดร้อน ทำให้ปวดท้อง และบางทีก็ทำให้ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ แต่ถ้าไม่มีมัน สังคมก็จะจืดชืดเหมือนข้าวต้มคนไข้!
.
คุณอาจจะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งกว่าข้ออ้างของนักการเมือง การเรียนรู้กฎหมายนั้นไม่มีวันจบครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.