ประวัติศาสตร์ย่อ 5000 ปี ของระบบเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์
ประวัติศาสตร์ย่อ 5000 ปี ของระบบเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์
.
สวัสดีครับ เพื่อนร่วมโลกที่กำลังพยายามเข้าใจว่าทำไมเงินในกระเป๋าถึงหายไปเร็วนัก!
.
วันนี้เราจะพาคุณไปท่องโลกแห่งเศรษฐศาสตร์ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการที่ไม่จำกัด ยิ่งคุณพยายามทำความเข้าใจมัน คุณก็ยิ่งสับสนว่าทำไมมันถึงไม่เป็นไปตามทฤษฎี บทความนี้จะพาคุณย้อนกลับไปดูว่าบรรพบุรุษของเราเขาคิดค้นศาสตร์แขนงนี้กันมายังไง
.
---------------------
.
วิชาเศรษฐศาสตร์ในรูปแบบที่เป็นศาสตร์สมัยใหม่นั้น โดยทั่วไปถือว่าเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 1776 ครับ เมื่อ Adam Smith ตีพิมพ์หนังสือ "ความมั่งคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of Nations)
.
แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ "เศรษฐศาสตร์คลาสสิก" เท่านั้น ความจริงแล้วแนวคิดและทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยโบราณ ดังที่เราได้เห็นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
.
ยกตัวอย่างเช่น:
.
- ชาวกรีกโบราณอย่าง Aristotle ได้พูดถึงแนวคิดเรื่องมูลค่าและการแลกเปลี่ยนตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล
- ในจีนโบราณ มีการเขียนบทความ "กวนจื่อ" (Guanzi) ที่อธิบายเรื่องอุปสงค์และอุปทานตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล
- นักปราชญ์มุสลิมอย่าง Ibn Khaldun ได้เขียนเกี่ยวกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อนในศตวรรษที่ 14
.
(สิ่งที่ทำให้งานของ Adam Smith แตกต่างและถือเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ เขาได้รวบรวมแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกันและสร้างเป็นระบบทฤษฎีที่ครอบคลุมและเป็นระบบมากขึ้น)
.
.
-----------------------
.
ยุคโบราณ: เมื่อมนุษย์เริ่มนับแกะและหัวใจของคนอื่น
.
เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน ในยุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเงินตรา (และยังไม่มี Netflix ให้ดู) พวกเขาก็เริ่มคิดวิธีจดบันทึกทรัพย์สินกันแล้ว ลองนึกภาพชาวสุเมเรียนกำลังขีดเขียนบนแผ่นดินเหนียวว่า "แกะ 5 ตัว ข้าว 4 ถัง เมีย 3 คน"
.
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการทำบัญชี ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็น Excel ที่ทำให้คุณปวดหัวทุกวันนี้ แต่อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องแกะดินเหนียวแล้ว
.
----------------------
.
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ: บัญชีบนอิฐดินเผา
.
ในขณะที่ชาวสุเมเรียนกำลังขีดเขียนบนดินเหนียว ทางฝั่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ปัจจุบันคือพื้นที่ในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย) ก็ไม่น้อยหน้า พวกเขาพัฒนาระบบการจดบันทึกที่ซับซ้อนบนแผ่นอิฐดินเผา เพื่อติดตามพืชผล ปศุสัตว์ และที่ดิน
.
ลองนึกภาพชาวอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุกำลังพยายามบันทึกจำนวนวัวบนอิฐดินเผา แล้วทำมันหล่นแตก นั่นแหละครับ คือจุดกำเนิดของคำว่า "งานพัง" ที่แท้จริง!
.
-------------------
.
อียิปต์โบราณ: ต้นกำเนิดของนักบัญชีภาษี
.
ในอียิปต์โบราณ ตั้งแต่สมัย 3500 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขามีระบบการบันทึกที่ซับซ้อนมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการเก็บและจัดสรรภาษี
.
นักเขียนอียิปต์โบราณ (หรือที่เราเรียกว่า "สไครบ์") เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบันทึกการเก็บและแจกจ่ายที่ดินและสินค้า พวกเขาคือบรรพบุรุษของเจ้าหน้าที่สรรพากรสมัยนี้นั่นเอง! ถ้าคุณรู้สึกหงุดหงิดเวลาต้องยื่นภาษี ลองนึกภาพว่าชาวอียิปต์โบราณต้องรู้สึกอย่างไร เมื่อต้องจ่ายภาษีเป็นข้าวสาลีและต้องขนมันไปให้ฟาโรห์ด้วยตัวเอง
.
------------------
.
อารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำแยงซี: จีนไม่ได้มีดีแค่เรื่องอาหารนะ
.
นอกจากอารยธรรมในเมโสโปเตเมียและอียิปต์แล้ว จีนก็เป็นอีกแหล่งกำเนิดของแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ โดยเฉพาะในบริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซี
.
ชาวจีนโบราณได้พัฒนาระบบการบันทึกที่ซับซ้อนไม่แพ้ใคร โดยใช้กระดูกและกระดองเต่าในการจารึกข้อมูลทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ "big data" ในการวางแผนเศรษฐกิจเลยก็ว่าได้ แต่แทนที่จะใช้ cloud storage พวกเขาใช้ "cave storage" แทน!
.
-------------------
.
กฎหมายฮัมมูราบี: คู่มือ "How to do business without getting stabbed" ฉบับแรกของโลก
.
ในช่วงปี 1810-1750 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ฮัมมูราบีแห่งบาบิโลนได้สร้างประมวลกฎหมายที่ถือเป็น "คู่มือทำธุรกิจโดยไม่โดนแทง" ฉบับแรกของโลก กฎหมายนี้ระบุบทลงโทษสำหรับการโกงในการค้าขาย เช่น ถ้าคุณขายเบียร์แล้วให้น้อยกว่าที่ตกลง คุณอาจถูกจับโยนน้ำ (ดูเหมือนว่าการให้ 1 แถม 1 ยังไม่มีในสมัยนั้น)
.
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ "จรรยาบรรณทางธุรกิจ" ที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต้องคิดหนักก่อนจะโกงลูกค้า เพราะถ้าโดนจับได้ อาจไม่ได้แค่ถูกแบน แต่อาจถูกส่งไปโลกหน้าเลยทีเดียว คิดดูสิว่าถ้าใช้กฎนี้ในปัจจุบัน จะมีนักธุรกิจกี่คนที่รอดชีวิต?
.
--------------------
.
จีนโบราณ: เมื่อเศรษฐศาสตร์มาพร้อมกับปรัชญา
.
ในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล มีการเขียนบทความชุดที่เรียกว่า "กวนจื่อ" (Guanzi) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในงานเขียนทางเศรษฐศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก บทความเหล่านี้ได้อธิบายแนวคิดเรื่องอุปสงค์และอุปทานได้อย่างน่าทึ่ง ราวกับว่าผู้เขียนมีลางสังหรณ์ว่าในอนาคตจะมีคนเอาไปใช้อธิบายว่าทำไม Bitcoin ถึงมีราคาสูงขนาดนั้น
.
นอกจากนี้ "กวนจื่อ" ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการปริมาณเงินที่ดีและการรักษาเสถียรภาพของสกุลเงิน ซึ่งถ้าธนาคารกลางสมัยนี้ได้อ่าน คงจะรู้สึกเหมือนกำลังอ่านคู่มือการทำงานของตัวเองเลยทีเดียว
.
-----------------
.
กรีกและโรมัน: ต้นกำเนิดของเศรษฐศาสตร์การเมือง
.
ในยุคกรีกโบราณ นักปราชญ์อย่างอริสโตเติลได้เริ่มคิดเกี่ยวกับมูลค่าของสินค้าและความยุติธรรมในการแลกเปลี่ยน เขาเสนอว่าการแลกเปลี่ยนควรเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งถ้าเขามาเห็นราคา popcorn หน้าโรงหนังสมัยนี้ คงจะช็อกแน่ๆ
.
ส่วนในอาณาจักรโรมัน พวกเขาได้พัฒนาระบบการเงินที่ซับซ้อนมาก มีการใช้เหรียญเงินตราที่มีมาตรฐาน มีการให้กู้ยืมเงิน และมีแม้กระทั่งการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ถ้าคุณคิดว่าตลาดหุ้นสมัยนี้บ้า ลองนึกภาพชาวโรมันเก็งกำไรที่ดินรอบๆ โคลอสเซียมดูครับ
.
-------------------
.
ยุคกลาง: นักปราชญ์อาหรับกับการค้นพบว่าเงินชนะสงคราม
.
ในขณะที่คนอื่นๆกำลังงมงายอยู่กับยุคมืด นักปราชญ์ในโลกอาหรับกลับกำลังสร้างรากฐานให้กับเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
.
อิบน์ คอลดูน (Ibn Khaldun) นักปราชญ์ชาวตูนิเซียในศตวรรษที่ 14 ได้เขียนงานชิ้นสำคัญชื่อ "อัล-มุก็อดดิมะฮ์" ซึ่งอธิบายแนวคิดเรื่องการแบ่งงานกันทำ แรงจูงใจจากกำไร และการค้าระหว่างประเทศ เขายังเสนอแนวคิดที่ว่า "เงินต่างหากที่ชนะสงคราม ไม่ใช่กองทัพ" >
.
ลองคิดดูสิครับ ถ้าประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ในปัจจุบัน เราอาจเห็นสงครามที่ใช้บัตรเครดิตตีกันแทนอาวุธ หรือใช้ Crypto แทนระเบิดนิวเคลียร์ก็ได้ อย่างน้อยมันก็คงจะทำให้สนามรบดูหรูหรากว่าเดิม
.
--------------------
.
ยุคแห่งการปฏิวัติความคิด: เมื่อ Adam Smith ค้นพบ "มือที่มองไม่เห็น" (แต่ทุกคนรู้สึกได้ในกระเป๋าตังค์)
.
มาถึงยุคที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่กันบ้าง เมื่อ Adam Smith นักปรัชญาชาวสก็อตแลนด์ได้เขียนหนังสือ "ความมั่งคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of Nations) ในปี 1776
.
Smith เสนอแนวคิดเรื่อง "มือที่มองไม่เห็น" (Invisible Hand) ซึ่งอธิบายว่าเมื่อแต่ละคนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มันจะนำไปสู่ประโยชน์ของสังคมโดยรวม เหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยจัดการทุกอย่างให้ลงตัว
.
แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามือที่มองไม่เห็นนี้กำลังล้วงกระเป๋าคุณอยู่ล่ะก็ คุณไม่ได้คิดไปเองหรอกครับ!
.
Smith ยังเชื่อว่าการแข่งขันเสรีจะทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ และรัฐบาลไม่ควรเข้าแทรกแซงตลาด ซึ่งถ้าเขามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เขาอาจจะต้องตกใจที่เห็นรัฐบาลพยายาม "ช่วย" เศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบจนเกิดเงินเฟ้อ
.
-----------------
.
ทฤษฎีมูลค่าแรงงาน: เมื่อ Karl Marx พยายามอธิบายว่าทำไมเจ้านายถึงรวยกว่าลูกน้อง
.
ในขณะที่ Adam Smith กำลังสร้างรากฐานให้กับระบบทุนนิยม Karl Marx ก็กำลังคิดวิธีที่จะล้มมันลง Marx เสนอ "ทฤษฎีมูลค่าแรงงาน" ที่อธิบายว่ามูลค่าของสินค้าขึ้นอยู่กับจำนวนแรงงานที่ใช้ในการผลิต
.
ตามทฤษฎีนี้ ถ้าคุณใช้เวลา 10 ชั่วโมงในการทำงาน แต่ได้ค่าจ้างแค่ 8 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณถูกเอาเปรียบ 2 ชั่วโมง ซึ่งส่วนต่างนี้แหละที่ทำให้นายทุนรวยขึ้นเรื่อยๆ
.
แต่ถ้าคิดตามทฤษฎีนี้ คนที่ทำงานหนักที่สุดก็ควรจะรวยที่สุด ใช่ไหมครับ? แล้วทำไมทุกคนที่งานหนักถึงไม่ได้เป็นเศรษฐีล่ะ?
.
------------------
.
ยุคแห่งตัวเลข: เมื่อนักเศรษฐศาสตร์เริ่มใช้คณิตศาสตร์ (และทำให้ทุกคนปวดหัว)
.
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นักเศรษฐศาสตร์เริ่มนำคณิตศาสตร์และสถิติมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ นำโดย Léon Walras และ Alfred Marshall ผู้ซึ่งพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ
.
Marshall เป็นผู้นำเสนอแนวคิดเรื่อง "ดุลยภาพของตลาด" ที่อธิบายว่าราคาและปริมาณสินค้าจะปรับตัวจนกระทั่งอุปสงค์เท่ากับอุปทาน ซึ่งถ้าคุณเคยเรียนเศรษฐศาสตร์ คุณคงจำกราฟรูปตัว X ที่ตัดกันได้ใช่ไหมครับ? นั่นแหละ ผลงานของ Marshall
.
แต่ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าทำไมราคาน้ำมันหรือค่าครองชีพไม่เคยลงมาอยู่ในจุดสมดุลสักที ก็อย่าเพิ่งโทษ Marshall เลยนะครับ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง มีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ตลาดไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างในทฤษฎี
.
-------------------
.
ทฤษฎีอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม: หรือวิธีอธิบายว่าทำไมเพชรแพงกว่าน้ำ (ทั้งที่คุณดื่มเพชรไม่ได้)
.
ในยุคนี้เอง ที่นักเศรษฐศาสตร์อย่าง William Stanley Jevons, Carl Menger และ Léon Walras ได้พัฒนาทฤษฎีอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (Marginal Utility Theory) ซึ่งอธิบายว่าคุณค่าของสิ่งของไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับหน่วยสุดท้ายที่เราบริโภค
.
ยกตัวอย่างเช่น แก้วน้ำแก้วแรกมีค่ามากสำหรับคนกระหายน้ำ แต่แก้วที่ 10 อาจไม่มีค่าอะไรเลย (นอกจากทำให้คุณปวดท้อง) ในขณะที่เพชรเม็ดแรกอาจมีค่ามาก และเม็ดที่สองก็ยังมีค่าไม่แพ้กัน
.
นี่จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมเพชรถึงมีราคาแพงกว่าน้ำ ทั้งที่น้ำจำเป็นต่อการมีชีวิตมากกว่า แต่ถ้าคุณยังสงสัยว่าทำไมแหวนเพชรถึงแพงขนาดนั้น คำตอบก็คือ การตลาดและความต้องการอวดรวยของมนุษย์นั่นเอง
.
--------------------
.
ยุคสมัยใหม่: Keynes vs. Friedman - มวยคู่เอกแห่งวงการเศรษฐศาสตร์
.
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 เศรษฐศาสตร์ก็แตกแขนงออกเป็นสองค่ายใหญ่ นำโดย John Maynard Keynes และ Milton Friedman ซึ่งมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจ
.
เศรษฐศาสตร์มหภาค: วิธีทำให้รัฐบาลรู้สึกว่าพวกเขาควบคุมเศรษฐกิจได้ (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้)
.
Keynes เสนอแนวคิด "เศรษฐศาสตร์มหภาค" ที่มองภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ เขาเชื่อว่ารัฐบาลควรแทรกแซงเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤต โดยการใช้นโยบายการคลัง (เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ หรือการลดภาษี) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
.
แนวคิดนี้ทำให้รัฐบาลทั่วโลกรู้สึกว่าพวกเขามีอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจ แต่ความจริงก็คือ บางครั้งมันก็เหมือนกับการพยายามบังคับรถบรรทุกด้วยพวงมาลัยของรถตุ๊กตุ๊ก
.
ในทางตรงกันข้าม Friedman ผู้นำสำนักเศรษฐศาสตร์ Chicago School เชื่อว่ารัฐบาลควรแทรกแซงเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด และควรใช้นโยบายการเงิน (เช่น การควบคุมปริมาณเงินในระบบ) แทนนโยบายการคลัง
.
Friedman มองว่าตลาดเสรีจะสามารถปรับตัวและแก้ปัญหาได้เอง เหมือนกับที่คุณปล่อยให้ลูกล้มบ้างเพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นเอง (แต่อย่าลืมว่าบางครั้งเด็กก็อาจล้มจนหัวแตกได้นะครับ)
.
การถกเถียงระหว่างสองแนวคิดนี้ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน และทุกครั้งที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เราจะได้ยินเสียงของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับการชกมวยที่ไม่มีวันจบสิ้น
.
------------------
.
ยุคหลังสมัยใหม่: เมื่อนักเศรษฐศาสตร์ค้นพบว่ามนุษย์ไม่ได้มีเหตุผลอย่างที่คิด
.
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์เริ่มตระหนักว่าทฤษฎีเก่าๆ ที่มองว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลและตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผลเสมอนั้น อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว
.
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
.
นักเศรษฐศาสตร์อย่าง Richard Thaler, Daniel Kahneman และ Amos Tversky ได้พัฒนาแขนงใหม่ที่เรียกว่า "เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม" ซึ่งศึกษาว่าปัจจัยทางจิตวิทยาและอารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของมนุษย์อย่างไร
.
พวกเขาค้นพบว่า มนุษย์มักจะตกหลุมพรางทางความคิดหลายอย่าง เช่น:
.
1. การยึดติดกับต้นทุนจม (Sunk Cost Fallacy): เช่น การดูหนังต่อทั้งที่ไม่สนุก เพราะเสียเงินค่าตั๋วไปแล้ว
.
2. ความลำเอียงจากความพร้อมใช้ (Availability Bias): เช่น กลัวเครื่องบินตกมากกว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพราะข่าวเครื่องบินตกมักจะเป็นข่าวใหญ่กว่า
.
3. ความมีเหตุผลแบบจำกัด (Bounded Rationality): เช่น การเลือกซื้อสินค้าโดยไม่ได้เปรียบเทียบทุกตัวเลือก เพราะไม่มีเวลาหรือข้อมูลมากพอ
.
แนวคิดเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าทำไมคุณถึงซื้อของที่ไม่จำเป็นในวัน 5.5 , 6.6 ,7.7 ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรซื้อ
.
-------------------
.
เศรษฐศาสตร์ - ศาสตร์แห่งการทำนายอดีตและอธิบายอนาคตที่ไม่เกิดขึ้น
.
เราได้เดินทางผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนานของเศรษฐศาสตร์ จากการนับแกะบนแผ่นดินเหนียว มาจนถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ในยุคดิจิทัล เราได้เห็นว่าเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่พยายามอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์และระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน
.
เศรษฐศาสตร์ก็เหมือนกับการพยากรณ์อากาศ - มันอาจจะช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% เสมอไป
.
นักเศรษฐศาสตร์มักจะถูกล้อเลียนว่าเป็นคนที่เก่งในการอธิบายว่าทำไมการทำนายของพวกเขาถึงผิด แต่ก็ยังคงทำนายต่อไป เหมือนกับหมอดูที่ยังคงทำนายทั้งที่ไม่เคยถูกสักครั้ง
.
แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจโลกรอบตัวเรา และช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในเรื่องการเงินและการใช้ทรัพยากร
.
ดังนั้น ครั้งหน้าเมื่อคุณได้ยินนักการเมืองหรือนักวิเคราะห์พูดถึงเศรษฐกิจ อย่าลืมว่าพวกเขาก็กำลังใช้เครื่องมือที่ไม่สมบูรณ์แบบในการพยายามเข้าใจระบบที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ทั้งหมด
.
-----------------
.
เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน
.
แม้ว่าเศรษฐศาสตร์จะดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วมันแทรกซึมอยู่ในทุกแง่มุมของชีวิตเรา ตั้งแต่การตัดสินใจซื้อกาแฟแก้วละ 180 บาท ไปจนถึงการเลือกเส้นทางอาชีพ (ที่หวังว่าจะทำให้มีเงินซื้อกาแฟแก้วละ 180 บาทได้สบายๆ)
.
การเข้าใจหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์สามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น:
.
1. การเข้าใจเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรใช้เวลาและทรัพยากรอย่างไร
.
2. การรู้จักหลักการของอุปสงค์และอุปทาน จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าทำไมราคาสินค้าถึงขึ้นลงในช่วงเวลาต่างๆ
.
3. ความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยทบต้น จะช่วยให้คุณวางแผนการออมและการลงทุนได้ดีขึ้น
.
4. การตระหนักถึงอคติทางพฤติกรรม จะช่วยให้คุณระมัดระวังในการตัดสินใจทางการเงินมากขึ้น
.
และถ้าวันหนึ่งคุณรู้สึกท้อแท้กับความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ ก็ขอให้นึกถึงคำพูดของ John Maynard Keynes ที่ว่า "In the long run we are all dead" (ในระยะยาว เราก็ตายกันหมด) ซึ่งอาจจะฟังดูเศร้า แต่ก็เป็นการเตือนใจให้เราใช้ชีวิตในปัจจุบันให้คุ้มค่าที่สุด
.
และนี่คือจุดจบของการเดินทางผ่านประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ของเรา หวังว่าคุณจะได้รับทั้งความรู้และความบันเทิงไปพร้อมๆ กันนะครับ!
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.