วิถีเซน - ปฏิบัติธรรมแบบละมุน ใจฟูฟ่อง
วิถีเซน - ปฏิบัติธรรมแบบละมุน ใจฟูฟ่อง
.
เคยสงสัยไหมว่าทำไมพระเซนถึงดูเย็นชิลล์ มีความสุขแบบเรียบง่าย แถมยังดูฉลาดปราดเปรื่องอีกต่างหาก? (อาจเป็นเพราะพวกท่านไม่ต้องเสียเวลาเลือกเสื้อผ้าทุกเช้าก็ได้นะ ) วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ "เซน" แบบเจาะลึกถึงแก่น แต่เข้าใจง่ายเหมือนกินขนมถ้วย!
.
.
เซน หรือที่เรียกเต็มๆ ว่า "พุทธศาสนานิกายเซน" เป็นแขนงหนึ่งของพุทธศาสนามหายานที่เน้นการปฏิบัติสมาธิแบบเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ก่อนจะแพร่หลายไปยังญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และในที่สุดก็มาถึงโลกตะวันตก เหมือนการแผ่ขยายของกลิ่นดอกไม้ยามเช้าที่ลอยละมุนไปทั่วสวน
.
.
คำขวัญของเซนที่ว่า "ตื่นรู้ในทุกขณะ" นั้น หมายความว่าเราสามารถพบธรรมะได้ในทุกการกระทำ แม้แต่ตอนจิบน้ำชา เราก็สามารถสัมผัสได้ถึงรสชาติของชีวิต (ว่าแต่ทำไมบทความปรัชญาต้องมีจิบชาทุกรอบ?)
.
-------------------------------
.
แก่นของเซน
.
แก่นของเซนนั้นตั้งอยู่บนหลักการสำคัญหลายประการ เปรียบเสมือนรากของต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่ผู้คน แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนขี้นก เพราะว่านี่เป็นต้นไม้ทางปัญญาครับ
.
.
ประการแรกคือ "พุทธธรรมชาติ" (Buddha-nature) ซึ่งเชื่อว่าทุกคนมีพุทธะอยู่ในตัว แม้แต่คนขี้เกียจก็มีนะ (อาจจะซุกอยู่ใต้ผ้าห่มก็ได้) เปรียบเสมือนเมล็ดดอกไม้ที่รอการบ่มเพาะ เพียงแต่เราต้องรดน้ำพรวนดินด้วยการฝึกสมาธิและมีสติในชีวิตประจำวัน
.
.
ต่อมาคือแนวคิดเรื่อง "ความว่าง" (Emptiness) ซึ่งไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่า แต่หมายถึงการว่างจากกิเลส เหมือนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆหมอก สดใส โปร่งโล่ง และเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ เมื่อจิตใจของเราว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เราจะพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยโอกาสและความงดงามที่รอให้เราค้นพบ
.
.
นอกจากนี้ เซนยังเชื่อในเรื่องของ "การตรัสรู้แบบฉับพลัน" (Sudden Enlightenment) เปรียบเสมือนดอกบัวที่ผลิบานในยามเช้า สวยงามและเปี่ยมด้วยความหมาย แต่อย่าลืมว่ากว่าดอกบัวจะบาน มันต้องผ่านการเติบโตใต้น้ำมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรม แม้การตรัสรู้อาจเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่การเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลานั้นอาจใช้เวลาทั้งชีวิต
.
.
ที่สำคัญ เซนสอนให้เรา "ไม่ยึดติดกับตัวหนังสือ" (No Attachment to Words) แต่ให้เข้าใจแก่นแท้และนำไปปฏิบัติ เหมือนการอ่านสูตรอาหารแล้วลงมือทำจริงๆ ไม่ใช่แค่อ่านแล้วก็จบ การปฏิบัติจริงนั้นสำคัญกว่าการท่องจำคำสอน เพราะประสบการณ์ตรงเท่านั้นที่จะนำไปสู่ปัญญาที่แท้จริง
.
-------------------------
.
การปฏิบัติของเซน
.
แล้วเราจะเริ่มปฏิบัติเซนได้อย่างไร? หัวใจสำคัญของการปฏิบัติเซนคือการฝึกสมาธิ ซึ่งมีหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็มีเสน่ห์และประโยชน์แตกต่างกันไป
.
.
เริ่มจาก "Zazen" (座禅) หรือการนั่งสมาธิแบบเซน ในท่าดอกบัวที่ทำให้ใจบาน แม้ขาจะรู้สึกตึงนิดๆ ก็ตาม เปรียบเสมือนการนั่งมองพระอาทิตย์ตกดิน สงบ งดงาม และเต็มไปด้วยความหมาย การฝึก Zazen ช่วยให้เราพบความสงบภายในท่ามกลางความวุ่นวายของโลกภายนอก
.
.
อีกวิธีหนึ่งคือ "Shikantaza" (只管打坐) หรือ "แค่นั่ง" ไม่ต้องทำอะไร ฟังดูง่าย แต่ท้าทายเหมือนการนั่งดูพระอาทิตย์ตกโดยไม่ถ่ายรูปลง Instagram เลย เป็นการฝึกให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง ไม่หลงไปกับความคิดปรุงแต่ง แต่เฝ้าดูทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในจิตใจอย่างเป็นกลาง
.
.
สำหรับคนที่ชอบความท้าทายทางปัญญา เซนมี "Koan" (公案) หรือปริศนาธรรมที่ทำให้จิตใจเบิกบาน เช่น "เสียงปรบมือข้างเดียวคืออะไร?" คำตอบอยู่ในความเงียบอันแสนไพเราะ หรืออาจจะอยู่ในเสียงหัวเราะของคุณเมื่อคิดไม่ออก (หรือเสียงท้องร้องเพราะคิดนานเกินไปก็ได้) Koan ช่วยให้เราก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมๆ และเปิดใจรับมุมมองใหม่ๆ
.
.
และสำหรับคนที่ชอบเคลื่อนไหว เซนมี "Kinhin" (経行) หรือการเดินสมาธิ เพราะบางครั้งการเคลื่อนไหวก็นำมาซึ่งความสงบ เหมือนการเดินเล่นในสวนยามเย็น ทุกย่างก้าวคือการภาวนา Kinhin สอนให้เรามีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย เชื่อมโยงกายและใจเข้าด้วยกัน
.
.
ในการปฏิบัติเซน ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เปรียบเสมือนดวงจันทร์กับท้องฟ้ายามค่ำคืน ที่ต่างเกื้อหนุนความงามซึ่งกันและกัน บางครั้งการสอนของอาจารย์เซนอาจดูประหลาด เช่น การโต้ตอบแบบฉับพลัน ที่อาจจะตอบคำถามของลูกศิษย์ด้วยการตบหลังดังปั้ก! เพื่อให้ลูกศิษย์ตื่นจากความคิดปรุงแต่ง
.
.
หรือบางครั้งอาจเป็นคำสอนแบบพาราด็อกซ์ เช่น "การแสวงหาความสงบคือต้นเหตุของความไม่สงบ" ฟังดูขัดแย้งและชวนให้งุนงงใช่ไหม? แต่นี่แหละคือเสน่ห์ของเซน ที่ใช้ถ้อยคำที่ดูย้อนแย้งเพื่อทลายกำแพงทางความคิด กระตุ้นให้เราปล่อยวางความพยายามที่จะ 'เข้าใจ' ด้วยสมอง และเปิดใจสัมผัสความจริงโดยตรง เซนท้าทายให้เราก้าวข้ามการคิดวิเคราะห์แบบเดิมๆ และเปิดรับประสบการณ์ตรงของการตื่นรู้ ซึ่งบ่อยครั้งอยู่เหนือคำอธิบายใดๆ
.
-----------------------------
.
เซนในวิถีชีวิต
.
ไม่ได้เพียงจำกัดอยู่แค่ในวัดหรือสำนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น เซนได้แทรกซึมเข้าไปในศิลปะและวัฒนธรรมในรูปแบบต่างๆ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของเราสามารถเป็นการปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ แม้แต่ตอนยืนต่อคิวซื้อกาแฟก็นับ!
.
.
การจัดดอกไม้ (生け花 - Ikebana) ที่สอนให้เราจัดดอกไม้ให้งาม แต่เข้าใจถึงความไม่จีรังของความงาม เหมือนชีวิตที่งดงามแต่ไม่เที่ยง การจัดดอกไม้แบบเซนจึงเน้นความเรียบง่ายและความว่าง สะท้อนการจัดดอกไม้แบบเซนสะท้อนให้เห็นถึงความงามของธรรมชาติและความไม่จีรังของสรรพสิ่ง ช่วยให้เราเห็นความงามในความเรียบง่าย และยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในชีวิต
.
.
การเขียนพู่กันจีน (書道 - Shodō) ก็เป็นอีกศิลปะที่สะท้อนแนวคิดของเซนได้อย่างชัดเจน เราเขียนตัวอักษรให้เหมือนชีวิต – เรียบง่าย แต่ทรงพลัง ทุกลายเส้นสะท้อนสภาวะจิตของผู้เขียน ไม่ต้องพยายามเขียนให้สวย แค่เขียนให้จริง การเขียนพู่กันจึงเป็นเหมือนการภาวนา ที่เราต้องมีสมาธิจดจ่อ และปล่อยวางความคาดหวัง เพื่อให้ความงามที่แท้จริงปรากฏขึ้น
.
.
สวนหิน (枯山水 - Karesansui) เป็นอีกหนึ่งศิลปะที่สะท้อนปรัชญาเซนได้อย่างลึกซึ้ง การจัดวางก้อนหินและทรายให้เป็นเหมือนจักรวาลย่อส่วน สะท้อนความงามของธรรมชาติในพื้นที่จำกัด สวนหินเซนสอนให้เราเห็นความงามในความเรียบง่าย และจินตนาการถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือสายตา เป็นการฝึกมองสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้น
.
.
เซนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวัดหรือในงานศิลปะเท่านั้น เราสามารถนำหลักการของเซนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะ เพราะแท้จริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตประจำวันคือโอกาสในการฝึกฝน
.
.
ในการทำงาน เราก็สามารถนำหลักเซนมาใช้ได้ ลองทำงานอย่างมีสติ ทุกงานคือการฝึกฝนจิตใจ แม้แต่งานที่น่าเบื่อที่สุดก็สามารถเป็นโอกาสในการฝึกสมาธิได้ (ใช่แล้ว แม้แต่การเขียนรายงานก็นับ!) การทำงานด้วยจิตที่จดจ่อและเป็นหนึ่งเดียวกับงาน ไม่เพียงแต่จะทำให้งานมีคุณภาพมากขึ้น แต่ยังทำให้เราพบความสุขและความหมายในการทำงานอีกด้วย
.
.
ในการขับรถ ที่หลายคนมองว่าเป็นเวลาที่น่าหงุดหงิด เราก็สามารถปฏิบัติเซนได้ ลองขับรถอย่างมีสติ แม้ในช่วงรถติด ก็เหมือนกำลังนั่งสมาธิเคลื่อนที่ ลองฟังเสียงลมหายใจตัวเองแทนการบีบแตรใส่คันหน้าดูสิ การขับรถอย่างมีสติไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเครียดและความโกรธ แต่ยังช่วยให้เราขับรถได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นด้วย
.
.
ในยุคดิจิทัล การใช้โซเชียลมีเดีย ก็เป็นอีกพื้นที่ที่เราสามารถนำหลักเซนมาประยุกต์ใช้ได้ ลองโพสต์อย่างมีสติ แบ่งปันความงามและความดีสู่โลกออนไลน์ ก่อนจะกดไลค์หรือแชร์อะไร ลองถามตัวเองก่อนว่า "สิ่งนี้จะสร้างประโยชน์หรือโทษให้กับผู้อื่นหรือไม่?" การใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติจะช่วยให้เราสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความเมตตามากขึ้น
.
--------------------------
.
แม้ว่าบางครั้งเซนอาจถูกทำให้กลายเป็นเพียงแฟชั่นหรือเทรนด์ (เสื้อยืดลายเซน กาแฟเซน โยคะเซน) แต่แก่นแท้ของเซนยังคงอยู่ และยังคงมีคุณค่าสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาความสงบและปัญญาในชีวิตที่วุ่นวาย
.
.
สำหรับใครที่สนใจจะเริ่มปฏิบัติเซน ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเริ่มอย่างยิ่งใหญ่ เราสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากการนั่งสมาธิวันละ 5 นาที แล้วค่อยเพิ่มเป็น 24 ชั่วโมง... ล้อเล่น… เอาเป็นว่าค่อยๆ เพิ่มตามกำลังนะ การอ่านหนังสือเซนเบื้องต้นก็เป็นอีกวิธีที่ดี แต่อย่าลืมว่าประสบการณ์ตรงสำคัญกว่าตำรา (แปลว่าอ่านจบแล้วต้องลงมือทำด้วย ไม่ใช่แค่อ่านแล้วบอกว่า "โอ้ ฉันเข้าใจเซนแล้ว" แล้วก็กลับไปนอนต่อ )
.
.
เซนสอนเราว่า ชีวิตไม่ได้แยกขาดจากการปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้แยกขาดจากชีวิต เซนไม่ใช่การหนีโลก แต่คือการอยู่กับโลกอย่างเข้าใจและเปี่ยมด้วยความรัก ทุกคนสามารถปฏิบัติเซนได้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร เพราะแก่นแท้ของเซนคือความเป็นมนุษย์นั่นเองครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies #Zen
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.