7 หลักการของเฮอร์เมติก: คู่มือสำหรับคนอยากเป็นเทพ(แต่ไม่มีทางเป็นได้)
7 หลักการของเฮอร์เมติก: คู่มือสำหรับคนอยากเป็นเทพ(แต่ไม่มีทางเป็นได้)
.
ทำไมคุณถึงควรสนใจเรื่องนี้ (แม้ว่าคุณจะไม่สนก็ตาม)
.
สวัสดีครับ เพื่อนร่วมโลกที่กำลังหลงทางในมหาสมุทรแห่งชีวิต! คุณเคยรู้สึกไหมว่าชีวิตนี้มันช่างวุ่นวาย สับสน และไร้ความหมาย? คุณเคยตื่นมาตอนเช้าแล้วถามตัวเองว่า "ฉันมาทำอะไรอยู่บนโลกใบนี้?" หรือไม่? ถ้าใช่ ยินดีด้วย! คุณกำลังเข้าใกล้การค้นพบความลับของจักรวาลแล้ว! (หรือไม่ก็กำลังจะเสียสติ แล้วแต่กรณี)
.
แต่ไม่ต้องกลัวไป! เพราะวันนี้เรามีคู่มือสุดพิเศษที่จะพาคุณไปรู้จักกับ "7 หลักการของเฮอร์เมติก" หรือที่เรียกกันว่า "คัมภีร์ไขความลับของจักรวาลฉบับย่อ" นั่นเอง!
.
ปรัชญาเฮอร์เมติกนี้ไม่ใช่แค่คำสอนธรรมดาๆ นะครับ แต่มันคือภูมิปัญญาโบราณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ ผ่านกรีก โรมัน จนมาถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน!
.
.
แต่ทำไมคุณถึงควรสนใจมันล่ะ? ก็เพราะว่า...
.
1. มันจะทำให้คุณดูฉลาดขึ้นในสายตาเพื่อน (แม้ว่าความจริงคุณจะงงไปหมดก็ตาม)
2. คุณจะมีข้ออ้างดีๆ ในการทำตัวประหลาดๆ เพราะกำลัง "ค้นหาความจริงของจักรวาล"
3. ถ้าโชคดี คุณอาจจะค้นพบความลับของการมีชีวิตที่มีความสุข (หรือไม่ก็ยิ่งสับสนไปกว่าเดิม)
.
ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อม รัดเข็มขัดนิรภัยของคุณให้แน่น และมาเริ่มการเดินทางสู่ความลับของจักรวาลไปพร้อมๆ กันเถอะ!
.
-----------------------
.
ประวัติความเป็นมาแบบย่อ เพราะใครจะอ่านประวัติยาวๆ กัน
.
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อนานมาแล้ว... (ใช่ เหมือนนิทานทุกเรื่องที่คุณเคยฟังนั่นแหละ) มีชายคนหนึ่งชื่อ เฮอร์เมส ทริสเมจิสตัส (Hermes Trismegistus) ซึ่งบางคนบอกว่าเขาเป็นเทพเจ้า บางคนบอกว่าเขาเป็นนักปราชญ์ แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเขาเป็นตัวละครสมมติที่รวมเอาเทพเฮอร์เมสของกรีกและเทพโทธของอียิปต์เข้าด้วยกัน (ใช่ครับ เขาเป็น "เทพ 2 in 1" นั่นเอง!)
.
เฮอร์เมสคนนี้ได้เขียนตำราปรัชญาและวิทยาศาสตร์ลึกลับเอาไว้มากมาย ซึ่งรวมถึงหลักการทั้ง 7 ข้อที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ตำราเหล่านี้ส่วนใหญ่สูญหายไปตามกาลเวลา (อาจจะเพราะสมัยนั้นยังไม่มี Google Drive)
.
แต่โชคดีที่ยังมีนักปราชญ์บางคนจดจำและสืบทอดคำสอนเหล่านี้มาได้ จนกระทั่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "The Three Initiates" ได้รวบรวมและเขียนหลักการทั้ง 7 ข้อนี้ลงในหนังสือชื่อ "The Kybalion"
.
และนั่นก็คือที่มาของหลักการลับสุดยอดที่เรากำลังจะพูดถึงนี่เองครับ
.
-----------------------
.
หลักการที่ 1: The Principle of Mentalism - ทุกอย่างคือจิต (แม้แต่สมองของคุณก็เถอะ)
.
มาถึงหลักการแรกกันแล้ว! เตรียมสมองของคุณให้พร้อม
.
หลักการนี้บอกว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างคือจิต จักรวาลคือปรากฏการณ์ทางจิต" หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทุกอย่างที่คุณเห็น สัมผัส และรับรู้ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากจิตทั้งสิ้น!
.
แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งวิ่งไปชนกำแพงเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้นะครับ เพราะถึงแม้มันจะเป็นภาพลวงตา แต่มันก็เจ็บจริงๆ นะ!
.
แล้วเราจะเอาหลักการนี้ไปใช้ยังไงล่ะ? ก็ง่ายมาก:
.
1. ครั้งต่อไปที่คุณเจอปัญหา ให้บอกตัวเองว่า "มันเป็นแค่ภาพลวงตาที่เกิดจากจิตเท่านั้น"
.
2. ลองนึกภาพว่าคุณรวย หล่อ เก่ง แล้วดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น (ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้น ก็แสดงว่าจินตนาการคุณยังไม่แรงพอ)
.
3. ถ้าใครมาด่าคุณ ให้คิดว่า "นี่เป็นแค่ความคิดในหัวฉันเอง" (แต่ถ้าเขาต่อยคุณด้วย ก็อย่าลืมว่ากำปั้นเขาก็เป็นความคิดในหัวคุณเหมือนกันนะ)
.
สรุปง่ายๆ คือ ทุกอย่างเกิดจากจิตของคุณเอง! ดังนั้น ถ้าชีวิตคุณแย่ ก็โทษจิตได้เลย! (แต่ถ้าชีวิตดี ก็อย่าลืมขอบคุณตัวเอง)
.
----------------------
.
หลักการที่ 2: The Principle of Correspondence - บนเหมือนล่าง ล่างเหมือนบน (แต่กลางๆ ล่ะ?)
.
มาถึงหลักการที่สองแล้ว! หลักการนี้บอกว่า "สิ่งที่อยู่เบื้องบนก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง และสิ่งที่อยู่เบื้องล่างก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน"
.
ฟังดูเหมือนคำพูดของคนเมา แต่จริงๆ แล้วมันมีความหมายลึกซึ้ง
.
หลักการนี้หมายความว่า ทุกอย่างในจักรวาลมีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดอย่างอะตอม ไปจนถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุดอย่างกาแล็กซี่ ต่างก็มีรูปแบบและกฎเกณฑ์ที่คล้ายคลึงกัน
.
แล้วเราจะเอาไปใช้ยังไงล่ะ? ลองดูตัวอย่างนี้:
.
1. ถ้าคุณอยากรู้ว่าจักรวาลทำงานยังไง ลองสังเกตตัวเองสิ! เช่น ถ้าคุณขี้เกียจ จักรวาลก็อาจจะกำลังขี้เกียจอยู่เหมือนกัน (นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมยังไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาเยี่ยมเรา)
.
2. ถ้าคุณอยากเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ลองดูการทำงานของเซลล์ในร่างกายสิ! ถ้าเซลล์ทำงานร่วมกันได้ดี ร่างกายก็แข็งแรง เหมือนกับสังคมที่คนทำงานร่วมกันได้ดี สังคมก็จะเข้มแข็ง
.
3. ถ้าคุณอยากรู้ว่าโลกหมุนไปทางไหน ลองสังเกตน้ำในอ่างล้างหน้าตอนเปิดท่อระบายน้ำสิ! แต่อย่าจ้องนานเกินไป เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าคุณกำลังทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง
.
สรุปง่ายๆ คือ ทุกอย่างในจักรวาลนี้เชื่อมโยงกันหมด! ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณทำอะไรสักอย่าง ให้คิดไว้เสมอว่าคุณอาจจะกำลังส่งผลกระทบต่อดาวอังคารอยู่ก็ได้!
.
---------------------
.
หลักการที่ 3: The Principle of Vibration – ทุกอย่างสั่นไหว ยกเว้นหัวใจคนรักจริง
.
มาถึงหลักการที่สามแล้ว! หลักการนี้บอกว่า "ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเคลื่อนไหว ทุกสิ่งสั่นสะเทือน"
.
ใช่แล้ว! ทุกอย่างในจักรวาลนี้กำลังสั่นอยู่ตลอดเวลา! ตั้งแต่อะตอมเล็กๆ ไปจนถึงดาวฤกษ์ขนาดมหึมา ทุกอย่างกำลัง "แด๊นซ์" กันอย่างสนุกสนาน!
.
แล้วเราจะเอาความรู้นี้ไปใช้ยังไงดีล่ะ? ลองดูวิธีการเหล่านี้:
.
1. ครั้งหน้าที่คุณรู้สึกเบื่อหรือซึมเศร้า ให้ลุกขึ้นมาเต้นซะ! เพราะนั่นคือวิธีที่คุณจะ "ปรับความถี่" ของตัวเองให้สูงขึ้น!
.
2. ลองสังเกตว่าคนรอบตัวคุณมี "ความถี่" แบบไหน ถ้าใครมีความถี่ต่ำๆ ชอบบ่นตลอดเวลา ก็อย่าเข้าใกล้มากนัก เดี๋ยวจะติดไวรัสความเซ็งไปด้วย!
.
3. พยายาม "ยกระดับความถี่" ของตัวเองด้วยการคิดบวก ทำสมาธิ ฟังเพลงที่คุณชอบ หรือไปคอมเมนต์บวกกับชาวบ้าน
.
4. ถ้าคุณอยากดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ก็ต้องพยายามรักษา "ความถี่" ของตัวเองให้สูงไว้ เหมือนกับการปรับคลื่นวิทยุให้ตรงกับสถานีที่คุณอยากฟัง!
.
สรุปก็คือ ทุกอย่างในจักรวาลนี้กำลังสั่นอยู่!
.
.
----------------------
.
หลักการที่ 4: The Principle of Polarity - ทุกอย่างมีขั้ว (แม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองเป็นกลาง)
.
มาถึงหลักการที่สี่แล้ว! หลักการนี้บอกว่า "ทุกสิ่งมีคู่ตรงข้าม ทุกสิ่งมีขั้วของมัน"
.
นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างในโลกนี้เป็นแม่เหล็กนะครับ แต่มันหมายถึงทุกสิ่งในจักรวาลมีด้านตรงข้ามของมันเสมอ
.
ลองมาดูตัวอย่างกัน:
.
1. ร้อน-เย็น: ความร้อนและความเย็นเป็นสิ่งเดียวกัน แค่อยู่คนละขั้วเท่านั้น! เหมือนกับตอนที่คุณกินไอศกรีมหน้าหม้อชาบู คุณจะรู้เลยว่า "เย็นจัด" กับ "ร้อนจัด" มันใกล้กันแค่ไหน!
.
2. รัก-เกลียด: ความรักและความเกลียดก็เป็นอารมณ์เดียวกัน แค่อยู่คนละด้านเท่านั้น แต่บางทีมันก็อยู่ด้านเดียวกันเหมือนตอนรวมพรรคจัดตั้งรัฐบาล
.
3. ดี-ชั่ว: แม้แต่ความดีและความชั่วก็เป็นเรื่องของมุมมอง! พระเอกในหนังของฝ่ายหนึ่งอาจเป็นตัวร้ายในสายตาของอีกฝ่ายก็ได้ เหมือนกับตอนที่คุณแอบกินขนมคนเดียวตอนดึก คุณอาจจะรู้สึกเหมือนเป็นสปายแสนเก่ง แต่ในสายตาแมวคุณ คุณคือโจรปล้นตู้เย็น!
.
แล้วเราจะเอาหลักการนี้ไปใช้ยังไงดีล่ะ?
.
1. ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกแย่ ให้นึกไว้ว่ามันเป็นแค่อีกด้านของความรู้สึกดีๆ เท่านั้น! แค่พลิกเหรียญ คุณก็จะเจอด้านสว่างแล้ว! (แต่ถ้าคุณพลิกเหรียญแล้วยังเจอแต่ด้านมืด ก็... เอ่อ... ลองพลิกอีกสักสองสามรอบนะ)
.
2. เวลาที่คุณเจอคนที่คิดต่างจากคุณ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเขาผิด! บางทีคุณอาจจะแค่มองคนละด้านของเหรียญเดียวกันก็ได้ (หรือไม่ก็คุณกำลังมองเหรียญคนละเหรียญกัน ในกรณีนี้ ก็... ช่างมันเถอะ)
.
3. ถ้าคุณรู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่ ก็แปลว่าคุณกำลังอยู่ใกล้กับจุดที่ชีวิตจะดีขึ้นแล้วล่ะ! แต่ถ้ามันแย่มานานมากๆ แล้ว ก็อดทนต่อไปนะครับ
.
สรุปก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้มีสองด้านเสมอ! เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน หรือเหมือนกับคุกกี้ที่มีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง... เอ๊ะ หรือว่าคุกกี้มันกลมนะ? (เห็นไหม แม้แต่ตัวอย่างของผมก็ยังมีสองด้านเลย!)
.
.
--------------------
.
หลักการที่ 5: The Principle of Rhythm - ทุกอย่างมีจังหวะ (ยกเว้นคนเต้นไม่เป็น)
.
มาถึงหลักการที่ห้าแล้ว! หลักการนี้บอกว่า "ทุกสิ่งมีจังหวะ ทุกอย่างขึ้นแล้วลง ทุกอย่างเคลื่อนไหวเหมือนลูกตุ้ม"
.
ใช่แล้วครับ! ชีวิตนี้มันเหมือนเพลงแดนซ์สุดมันส์ที่ไม่มีวันจบ! (แต่บางครั้งก็อาจจะเหมือนเพลงเศร้าเนิบๆ ที่เปิดซ้ำไม่รู้จบ)
.
มาดูตัวอย่างของจังหวะในชีวิตกัน:
.
1. ฤดูกาล: โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ เช่น ร้อน หนาว ฝน และฤดูเสียภาษี
.
2. วันและคืน: โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน (แต่สำหรับคนที่ติดซีรีส์ ทุกเวลาคือเวลานอนดึก)
.
3. อารมณ์: บางวันคุณรู้สึกเหมือนจะพุ่งทะยานไปถึงดวงจันทร์ บางวันก็รู้สึกเหมือนตกลงไปอยู่ใต้บาดาล (โดยเฉพาะวันจันทร์)
.
แล้วเราจะเอาความรู้นี้ไปใช้ยังไงดีล่ะ?
.
1. เวลาที่ชีวิตกำลังแย่ อย่าเพิ่งท้อ! เพราะตามหลักจังหวะแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องดีขึ้น! (แต่ถ้ามันแย่นานเกินไป ก็อาจจะต้องตรวจสอบว่าคุณติดอยู่ในลูปอะไรหรือเปล่า)
.
2. ถ้าชีวิตกำลังดีเหลือเกิน ก็อย่าเพิ่งลำพอง! เพราะตามหลักจังหวะแล้ว มันอาจจะกำลังจะแย่ลงก็ได้! (แต่ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นอีก... หวังว่านะ)
.
3. ลองสังเกตจังหวะของตัวเอง เช่น ช่วงไหนที่คุณทำงานได้ดีที่สุด ช่วงไหนที่คุณขี้เกียจที่สุด แล้วจัดตารางชีวิตให้เข้ากับจังหวะของคุณ! (แต่ถ้าคุณขี้เกียจตลอดเวลา ก็... เอ่อ... อาจจะต้องปรึกษาหมอนะครับ)
.
4. อย่าลืมว่าแม้แต่ลมหายใจของคุณก็ยังมีจังหวะ! ลองฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ เวลาที่รู้สึกเครียด (แต่อย่าลืมหายใจออกด้วยนะ เดี๋ยวจะเป็นลม)
.
สรุปก็คือ ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยจังหวะ! บางทีถ้าคุณฟังให้ดีๆ คุณอาจจะได้ยินเสียงดนตรีของจักรวาลก็ได้! หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่เสียงท้องร้องของคุณ
.
.
-----------------------
.
หลักการที่ 6: The Principle of Cause and Effect - ทุกการกระทำมีผล (แม้แต่การไม่ทำอะไรเลย)
.
.
มาถึงหลักการที่หกแล้ว! หลักการนี้บอกว่า "ทุกสาเหตุย่อมมีผล และทุกผลย่อมมีสาเหตุ"
.
ฟังดูเหมือนเรื่องง่ายๆ ใช่ไหมล่ะ? แต่ความจริงแล้ว มันลึกซึ้งยิ่งกว่าที่คุณคิด!
.
มาดูตัวอย่างกัน:
.
1. คุณตื่นสาย → คุณรีบออกจากบ้าน → คุณลืมกินข้าว → คุณหิวตอนประชุม → คุณโมโหเพื่อนร่วมงานเพราะความหิว → เพื่อนร่วมงานไม่ชอบคุณ → คุณเครียด → คุณนอนไม่หลับ → คุณตื่นสายอีก... และวงจรอุบาทว์ก็ดำเนินต่อไป!
.
2. คุณยิ้มให้คนแปลกหน้า → เขายิ้มตอบ → คุณรู้สึกดี → คุณอารมณ์ดีทั้งวัน → คุณทำงานได้ดี → เจ้านายชม → คุณได้โบนัส → คุณมีเงินซื้อยาสระผมใหม่ → ผมคุณสวย → คนอื่นยิ้มให้คุณ... และวงจรแห่งความสุขก็ดำเนินต่อไป!
.
แล้วเราจะเอาความรู้นี้ไปใช้ยังไงดีล่ะ?
.
1. คิดก่อนทำ! เพราะทุกการกระทำของคุณจะส่งผลต่อไปเรื่อยๆ แต่อย่าคิดนานเกินไปนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนไม่ทำอะไรเลย
.
2. ถ้าคุณอยากเปลี่ยนผล ก็ต้องเปลี่ยนสาเหตุ! อยากให้ชีวิตดีขึ้น? เริ่มจากการเปลี่ยนนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เช่น เลิกกินขนมดึกๆ... หรือไม่ก็แค่เปลี่ยนเป็นขนมที่มีแคลอรี่น้อยลงก็ได้
.
3. อย่าโทษคนอื่นหรือโชคชะตา! เพราะส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณมักจะเป็นผลมาจากการกระทำของคุณเอง (แต่ถ้ามัวโทษตัวเองอย่างเดียว เมื่อไหร่เราจะได้โทษคนอื่น)
.
4. แม้แต่การไม่ทำอะไรเลยก็มีผลนะ! เช่น ถ้าคุณไม่ออกกำลังกาย ผลก็คือคุณจะอ้วนขึ้นเรื่อยๆ
.
สรุปก็คือ ทุกอย่างที่คุณทำ (หรือไม่ทำ) ล้วนมีผล! ดังนั้น จงเลือกทำในสิ่งที่ดี... หรือไม่ก็เลือกทำในสิ่งที่สนุก แล้วค่อยรับผิดชอบผลลัพธ์ทีหลังก็ได้!
.
.
-----------------
.
หลักการที่ 7: The Principle of Gender - ทุกอย่างมีเพศ (แม้แต่ความคิดของคุณ)
.
และแล้วก็มาถึงหลักการสุดท้าย! หลักการนี้บอกว่า "ทุกสิ่งมีลักษณะของทั้งความเป็นชายและความเป็นหญิง"
.
ก่อนที่คุณจะเริ่มสงสัยว่าก้อนหินมีเพศยังไง ขอบอกก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเพศสรีระนะครับ แต่เป็นเรื่องของพลังงานและคุณลักษณะ!
.
มาดูตัวอย่างกัน:
.
1. ในตัวเราทุกคน มีทั้งพลังที่เป็น "ชาย" (เช่น ความกล้า การริเริ่ม) และพลังที่เป็น "หญิง" (เช่น ความอ่อนโยน การดูแล) ผสมผสานกันอยู่ (ใช่ ถึงแม้คุณจะเป็นชายแทร่สุดแมนที่ชอบยกเวทและดื่มเบียร์ คุณก็ยังมีด้านอ่อนโยนอยู่นะ... อย่างน้อยก็ตอนที่เห็นลูกหมาน่ารักๆ)
.
2. แม้แต่สมองของเราก็ยังแบ่งเป็นซีกซ้าย (ตรรกะ, การวิเคราะห์ - มักถูกมองว่าเป็น "ชาย") และซีกขวา (ความคิดสร้างสรรค์, อารมณ์ - มักถูกมองว่าเป็น "หญิง") แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าสมองคุณไม่ทำงานเลย ก็อาจจะต้องปรึกษาหมอนะครับ
.
3. ในธรรมชาติ เราเห็นการผสมผสานนี้ได้ทั่วไป เช่น ต้นไม้ที่แข็งแรง (ชาย) แต่ก็ให้ร่มเงาที่ร่มรื่น (หญิง) หรือมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ (ชาย) แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิต (หญิง)
.
แล้วเราจะเอาความรู้นี้ไปใช้ยังไงดีล่ะ?
.
1. ยอมรับทั้งสองด้านในตัวคุณ! อย่ากลัวที่จะแสดงความอ่อนโยนถ้าคุณเป็นผู้ชาย หรือความเข้มแข็งถ้าคุณเป็นผู้หญิง (แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้วอยากใส่ชุดเจ้าหญิง ก็ตามสบายครับ ไม่มีใครว่า)
.
2. ใช้ทั้งสองพลังในการแก้ปัญหา! บางครั้งคุณต้องใช้ตรรกะ (ชาย) บางครั้งคุณต้องใช้ความรู้สึก (หญิง) การผสมผสานทั้งสองอย่างจะทำให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แต่ถ้าคุณใช้ทั้งสองแล้วยังแก้ปัญหาไม่ได้ ก็... ลองขอความช่วยเหลือดูนะครับ)
.
3. มองเห็นความสมดุลในทุกสิ่ง! เช่น ในความสัมพันธ์ ต้องมีทั้งการให้และการรับ การนำและการตาม)
.
สรุปก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้มีทั้งพลัง "ชาย" และ "หญิง"! การเข้าใจและใช้ประโยชน์จากทั้งสองด้านจะทำให้ชีวิตคุณสมดุลและมีความสุขมากขึ้น!
.
.
------------------
.
บทสรุป: จะนำหลักการทั้ง 7 ไปใช้อย่างไรให้ชีวิตยุ่งเหยิงน้อยลง (หรือมากขึ้น แล้วแต่คุณชอบ)
.
และแล้วเราก็มาถึงจุดจบของการเดินทางอันแสนวุ่นวายนี้แล้ว! หวังว่าตอนนี้คุณจะรู้สึกเหมือนได้รับความลับของจักรวาลมาครอบครอง... หรือไม่ก็รู้สึกงงไปหมดก็ได้ ไม่เป็นไร ทั้งสองอย่างถือว่าปกติ!
.
สรุปสั้นๆ สำหรับคนขี้เกียจอ่าน (หรือคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วสมองช็อต):
.
1. ทุกอย่างคือจิต - ดังนั้นอย่าคิดมาก เพราะทุกอย่างอาจจะไม่มีอยู่จริง!
2. บนเหมือนล่าง ล่างเหมือนบน - ชีวิตคุณก็เหมือนจักรวาล แค่เล็กกว่าหน่อย (และน่าจะยุ่งเหยิงกว่า)
3. ทุกอย่างสั่น - ถ้าชีวิตไม่สั่น ก็แปลว่าคุณตายแล้ว!
4. ทุกอย่างมีขั้ว - เวลาเจอเรื่องแย่ๆ ก็นึกถึงด้านดีไว้ (แต่ถ้านึกไม่ออก ก็... ร้องไห้ไปก่อนก็ได้)
5. ทุกอย่างมีจังหวะ - ชีวิตก็เหมือนเต้นรำ บางทีก็ก้าวไปข้างหน้า บางทีก็ถอยหลัง (แต่ถ้าคุณเต้นไม่เป็น ก็... แกว่งแขนไปมาก็พอ)
6. ทุกการกระทำมีผล - ระวังสิ่งที่คุณทำ! (แต่อย่าระวังจนไม่กล้าทำอะไรเลยนะ)
7. ทุกอย่างมีเพศ – ยอมรับทั้งด้านแข็งแกร่งและอ่อนโยนในตัวคุณ!
.
ทีนี้คุณก็พร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจในความลับของจักรวาลแล้ว! (หรือไม่ก็พร้อมที่จะไปนอนเพราะอ่านมาเยอะแล้วเหนื่อย ก็ได้)
.
และถ้าคุณยังรู้สึกสับสนหลังจากอ่านบทความนี้ ก็ไม่ต้องกังวลไปครับ! นั่นแปลว่าคุณเข้าใจแล้วล่ะ! เพราะยิ่งเข้าใจจักรวาล ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย!
.
ขอให้โชคดีในการใช้ชีวิตนะครับ! และอย่าลืม... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยคุณก็รู้แล้วว่าทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตาที่เกิดจากจิตของคุณเอง! แต่ก็อย่าใช้เป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวนะครับ
.
.
.
.
#SuccessStrategies #Hermetic
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.