มหากาพย์การค้นหาอนุภาคพระเจ้า (God Particle)

มหากาพย์การค้นหาอนุภาคพระเจ้า (God Particle)
.
คุณเคยรออะไรนานถึง 48 ปีไหม? บางคนรอคู่แท้ บางคนรอถูกหวย บางคนรอให้ทีมฟุตบอลที่รักคว้าแชมป์ลีก แต่มีกลุ่มคนบ้าบิ่นกลุ่มหนึ่งที่รอ... การค้นพบอนุภาคที่พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริง!
.
นี่คือเรื่องราวของความไม่ยอมแพ้ ความอดทน และความบ้าระห่ำทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้การค้นหา "อนุภาคพระเจ้า" กลายเป็นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟิสิกส์สมัยใหม่ เตรียมตัวให้พร้อม เพราะนี่จะเป็นการเดินทางที่เหนือกว่าการนั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ซะอีก!
.
------------------------------
.
อนุภาคพระเจ้า (God Particle) คืออะไร?
.
อนุภาคฮิกส์ หรือที่บางคนเรียกว่า "อนุภาคพระเจ้า" เป็นอนุภาคที่เราเชื่อว่ามีอยู่ทั่วจักรวาลในสิ่งที่เราเรียกว่า "สนามฮิกส์"
.
ลองนึกภาพว่าจักรวาลเป็นเหมือนสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และอนุภาคต่างๆ ก็เหมือนคนที่ว่ายน้ำอยู่ในสระ บางคน (หรือบางอนุภาค) ว่ายน้ำได้เร็วมาก เหมือนไม่มีแรงต้านเลย แต่บางคนก็ว่ายช้า เหมือนมีอะไรมาต้านไว้
.
นั่นแหละครับ คือหน้าที่ของสนามฮิกส์ มันทำให้อนุภาคบางตัวเคลื่อนที่ช้าลง และนั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า "มวล" นั่นเอง
.
ทำไมมันถึงสำคัญ? ก็เพราะมันช่วยอธิบายว่าทำไมสสารถึงมีมวล ทำไมเราถึงไม่ทะลุผ่านพื้นไปได้ หรือทำไมดาวและดวงอาทิตย์ถึงอยู่รวมกันเป็นก้อน ไม่กระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล
.
การค้นพบอนุภาคนี้ในปี 2012 ที่ CERN เป็นการยืนยันทฤษฎีที่ Peter Higgs และเพื่อนร่วมงานเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1964 มันทำให้เราเข้าใจจักรวาลมากขึ้น และอาจนำไปสู่การค้นพบใหม่ๆ ได้ในอนาคตนั่นเองครับ
.
(ส่วนที่มาของการเรียกว่า “God Particle” มาจาก Leon Lederman นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ในหนังสือของเขาที่ชื่อ "The God Particle: If the Universe Is the Answer, What Is the Question?")
.

.
--------------------------
.
จุดเริ่มต้นแห่งความบ้าคลั่ง (หรือบางทีอาจเป็นอัจฉริยภาพ?)
.


ย้อนกลับไปในปี 1964 โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ The Beatles กำลังเขย่าวงการดนตรี สงครามเย็นกำลังร้อนระอุ และผู้คนกำลังฝันถึงการเดินทางไปดวงจันทร์ แต่ในห้องทดลองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีนักฟิสิกส์หนุ่มชื่อ Peter Higgs กำลังคิดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นมาก
.
ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขากำลังร้องเพลง "I Want to Hold Your Hand" Higgs กลับกำลังครุ่นคิดว่า "I Want to Understand the Fundamental Nature of the Universe" ซึ่งฟังดูไม่เท่าไหร่เมื่อเอาไปแต่งเป็นเพลง แต่มันจุดประกายการเดินทางอันยาวนานที่จะพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้บ้า (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้บ้าคนเดียว)
.
Higgs ตั้งคำถามที่ดูเหมือนจะง่าย แต่กลับยากเย็นเหลือเกิน: "ทำไมสสารถึงมีมวล?" คำถามนี้อาจฟังดูไม่ต่างจากการถามว่า "ทำไมน้ำถึงเปียก?" แต่ในโลกของฟิสิกส์อนุภาค มันเป็นปริศนาที่ชวนให้ปวดหัวมาก
.
เขานั่งจ้องกาแฟในแก้ว สงสัยว่าทำไมมันไม่ลอยขึ้นไปบนเพดานซะทีก็จบ แต่แล้วจู่ๆ ความคิดบ้าๆ ก็แวบเข้ามา: "แล้วถ้ามีสนามพลังงานที่แผ่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล และอนุภาคได้รับมวลจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสนามนี้ล่ะ?"
.

.
------------------------
.
ทฤษฎีที่ทำให้คนส่ายหัว แต่ Higgs ไม่ยอมสั่นคลอน
.


Higgs รีบเขียนสมการลงบนกระดาษทิชชู่ (เพราะไม่มีกระดาษธรรมดาอยู่ใกล้มือ) ด้วยความตื่นเต้น เขาวิ่งไปหาเพื่อนร่วมงานเพื่อเล่าทฤษฎีใหม่นี้
.
"นี่ Peter นายกินเห็ดเมาเข้าไปรึเปล่า?" เพื่อนร่วมงานถามด้วยความสงสัย
"ไม่นะ ทำไมถามแบบนั้น?" Higgs ตอบอย่างงุนงง
"ก็นายเพิ่งบอกว่าจักรวาลทั้งหมดลอยอยู่ในถ้วยกาแฟของพระเจ้านี่"
"ไม่ใช่! ฟังให้ดีสิ มันคือสนามที่..."
.
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการอธิบายทฤษฎีที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ฟิสิกส์ ให้กับคนที่คิดว่าควอนตัมฟิสิกส์คือชื่อวงดนตรีร็อค
.
แม้จะถูกหัวเราะเยาะ ถูกมองว่าบ้า และถูกเสนอให้ไปพักร้อน Higgs และเพื่อนร่วมทฤษฎีไม่ยอมแพ้ พวกเขายึดมั่นในความเชื่อ เหมือนคนที่ยังเชื่อว่าวันหนึ่งจะได้เจอกับ Bigfoot ที่กำลังขี่ยูนิคอร์นสีรุ้ง
.
Higgs เขียนบทความวิชาการเกี่ยวกับทฤษฎีของเขา แต่มันถูกปฏิเสธจากวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำ เหตุผล? "มันไม่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์" พวกเขาบอก ซึ่งก็เหมือนกับการบอกว่า "Harry Potter ไม่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์" นั่นแหละ
.
แต่ Higgs ไม่ยอมแพ้ เขาแก้ไขบทความและส่งไปอีกครั้ง คราวนี้มันได้รับการตีพิมพ์ แต่ก็ไม่ได้สร้างความฮือฮาอะไรมากนัก มันเหมือนกับการโยนก้อนหินลงไปในมหาสมุทร... แล้วไม่มีใครสนใจ
.

.
-------------------
.
การไล่ล่าที่ใช้เวลานานกว่าการรอ Half-Life 3
.


แต่แล้ว ช้าๆ ทฤษฎีของ Higgs ก็เริ่มได้รับความสนใจ นักฟิสิกส์คนอื่นๆ เริ่มเห็นว่ามันอาจจะอธิบายปริศนาบางอย่างในจักรวาลได้ และแล้วการล่าอนุภาคพระเจ้าก็เริ่มต้นขึ้น!
.
นักฟิสิกส์ทั่วโลกเริ่มไล่ล่าหาอนุภาคปริศนานี้ ราวกับว่ามันเป็น Pokemon ตัวหายากที่สุดในจักรวาล พวกเขาสร้างเครื่องตรวจจับขนาดใหญ่ ขุดอุโมงค์ยาวเป็นกิโลเมตร และใช้พลังงานมากพอที่จะทำให้ Doc Brown ในหนัง Back to the Future ต้องอิจฉา
.
แต่อนุภาคนี้ก็ยังคงหลบซ่อนตัวเก่งยิ่งกว่าแมวที่ไม่อยากอาบน้ำ ทุกครั้งที่พวกเขาคิดว่าจับได้แล้ว มันก็หลุดมือไปอีก เหมือนกับการพยายามจับปลาไหลที่ชุบน้ำมัน
.
ปีแล้วปีเล่า เครื่องเร่งอนุภาคถูกสร้างขึ้นและพังทลายลง นักฟิสิกส์รุ่นแล้วรุ่นเล่าทุ่มเทชีวิตให้กับการค้นหา บางคนเกษียณไปโดยไม่ได้เห็นผล บางคนเปลี่ยนไปศึกษาเรื่องอื่นที่ "มีตัวตน" มากกว่า
.
แต่มีกลุ่มคนที่ไม่ยอมแพ้ พวกเขายังคงค้นหาต่อไป เหมือนคนที่พยายามเล่นเกม Dark Souls จนกว่าจะชนะ หรือเหมือนคนที่พยายามจะอธิบายให้แม่เข้าใจว่าทำไม "ปิดเกมกลางเกมไม่ได้"
.

.
----------------------------
.
การสร้าง Large Hadron Collider
.


ในที่สุด นักวิทยาศาสตร์ก็ตัดสินใจว่าถ้าจะจับอนุภาคพระเจ้าให้ได้ พวกเขาต้องสร้างเครื่องมือที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยสร้างมา นั่นคือจุดกำเนิดของ Large Hadron Collider หรือ LHC
.
LHC คืออุโมงค์วงกลมขนาดใหญ่ใต้ดินที่มีเส้นรอบวง 27 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่พรมแดนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส มันใหญ่โตมโหฬารราวกับว่าพวกเขากำลังสร้างสนามแข่งรถวงกลมให้อนุภาคมาแข่งความเร็วกัน
.
การสร้าง LHC ใช้เวลานานและเงินมหาศาล มีคนถามว่า "ทำไมไม่เอาเงินไปแก้ปัญหาความยากจนล่ะ?" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ตอบว่า "เราก็อยากนะ แต่ความยากจนมันไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินนี่"
.
เมื่อ LHC สร้างเสร็จ มันดูเหมือนฉากในหนังไซไฟมากกว่าเครื่องมือวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ต่างตื่นเต้นราวกับเด็กๆ ที่กำลังจะได้เล่นเกมใหม่ แต่เกมนี้มีราคาหลายพันล้านดอลลาร์และอาจจะทำให้เกิดหลุมดำจิ๋วที่กลืนกินโลกได้ (แต่โอกาสน้อยมากนะ อย่าตกใจไป)
.

.
--------------------------
.
ความกลัวที่จะล้มเหลว (หรือสำเร็จในการสร้างหลุมดำกลืนโลก)
.


ในปี 2008 เมื่อ CERN เปิดใช้งาน LHC เป็นครั้งแรก มีคนกลัวว่ามันอาจสร้างหลุมดำที่จะกลืนกินโลก!
.
นักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่ก็อดแอบหวั่นใจไม่ได้ว่า "แล้วถ้าเกิดขึ้นจริงๆ ล่ะ? เราจะได้เห็นใครโดนกินก่อนไหมนะ?"
.
แต่ความกลัวไม่ได้หยุดยั้งพวกเขา นักวิทยาศาสตร์ยังคงก้าวต่อไป เพราะรู้ว่าความกล้าไม่ใช่การไม่กลัว แต่เป็นการทำต่อไปแม้จะกลัว
.

.
----------------------------
.
ความระทึกแห่งการค้นพบ
.


4 กรกฎาคม 2012 วันที่โลกวิทยาศาสตร์จะไม่มีวันลืม LHC กำลังทำงานหนักยิ่งกว่าพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารจานด่วนช่วงลดราคา อุณหภูมิภายในเครื่องเย็นยิ่งกว่าหัวใจของแฟนเก่าคุณ พลังงานมหาศาลถูกปลดปล่อยในทุกการชนกันของอนุภาค ราวกับงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงของเทพเจ้าแห่งสายฟ้า
.
นักวิทยาศาสตร์นับพันจากทั่วโลกจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ บางคนกัดเล็บด้วยความประหม่า บางคนสวดมนต์ให้กับพระเจ้าที่พวกเขากำลังตามล่าอนุภาคของพระองค์ บางคนแอบกินขนมกรุบกรอบเพราะความเครียด เสียงเคี้ยวดังสนั่นห้องควบคุม
.
"เฮ้! ใครนำขนมเข้ามาในห้องควบคุม?" หัวหน้าทีมตะโกน
"ขอโทษครับ ผมแค่กลัวว่าถ้าเราสร้างหลุมดำขึ้นมา ผมจะไม่ได้กินมันอีกเลย" นักฟิสิกส์หน้าใหม่ตอบอย่างหน้าแดง
.
ทันใดนั้น หน้าจอก็เริ่มแสดงผลข้อมูลที่น่าตื่นเต้น
.
"เรามีบางอย่าง!" เสียงตะโกนดังขึ้นจากห้องควบคุม ทุกคนตื่นเต้นจนแทบกลั้นหายใจ ยกเว้นคนที่กำลังสำลักขนม
.
ข้อมูลเริ่มไหลเข้ามาเรื่อยๆ นักวิเคราะห์ข้อมูลทำงานหนักราวกับกำลังพยายามนับเม็ดทรายในทะเลทราย Sahara
.
"ข้อมูลนี้... มันเหมือนกับว่า..." นักวิเคราะห์คนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้น
"เหมือนอะไร? พูดมาเร็ว!" ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
"เหมือนว่าเรากำลังจะได้เห็นอนุภาคฮิกส์! แต่ผมไม่กล้าฟันธง กลัวจะอายเหมือนตอนทำนายผลฟุตบอลโลกผิดทุกคู่"
.
บรรยากาศในห้องควบคุมตึงเครียดยิ่งกว่าการรอผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก บางคนแอบสวดมนต์ บางคนกำหมัดแน่น
.
Peter Higgs นั่งอยู่มุมห้อง ใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนเขาขอแฟนแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน
.
"48 ปี" เขาพึมพำ "48 ปีที่ผมรอมา ถ้ามันไม่ใช่อนุภาคฮิกส์ ผมคงต้องเปลี่ยนชื่อและย้ายไปอยู่บนภูเขาแล้วล่ะ"
.
แล้วจู่ๆ ห้องก็เงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องที่หน้าจอใหญ่
.
บนหน้าจอขนาดยักษ์ กราฟเส้นหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้น มันสูงขึ้น สูงขึ้น ราวกับกำลังปีนภูเขา Everest
.
"3 sigma... 4 sigma..." นักวิเคราะห์ข้อมูลนับเสียงสั่น
ทุกคนกลั้นหายใจ เสียงหัวใจเต้นดังกว่าเสียงเครื่อง LHC เสียอีก
.
"5 sigma!" เสียงกรีดร้องดังลั่นห้อง "เราพบมันแล้ว! อนุภาคฮิกส์!"
.
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่ว CERN ราวกับทีมฟุตบอลเพิ่งชนะเข้ารอบชิงชนะเลิศ นักวิทยาศาสตร์กอดกันและร้องไห้ด้วยความดีใจ บางคนเต้นรำ บางคนหัวเราะจนน้ำตาไหล บางคนรีบโทรหาแม่เพื่อบอกว่า "แม่ครับ ผมไม่ได้เสียเวลาเรียนฟิสิกส์มาเปล่าๆ!"
.
Peter Higgs ยืนนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย น้ำตาคลอเบ้า 48 ปีของการรอคอย การถูกเย้ยหยัน และความไม่แน่นอน จบลงแล้ว
.
"คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ ศาสตราจารย์ Higgs?" นักข่าวที่แอบเข้ามาในห้องควบคุมถาม
Higgs ยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบว่า "ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีซุปเปอร์พาวเวอร์... แต่ซุปเปอร์พาวเวอร์นั้นคือความอดทนรอได้ 48 ปี"
.
เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้อง
.
"แล้วตอนนี้คุณจะทำอะไรต่อไปล่ะ?" นักข่าวถามต่อ
.
"ผมว่าผมควรไปทำผมทรงหัวเห็ดสักที" Higgs ตอบติดตลก (ทรงผมนี้เป็นที่นิยมในช่วงยุค 60-70 ซึ่งเป็นช่วงที่ Higgs เริ่มคิดค้นทฤษฎีของเขา)
.
และนั่นคือวันที่โลกวิทยาศาสตร์เปลี่ยนไปตลอดกาล... และเป็นวันที่พิสูจน์ว่า บางครั้งการรอคอยก็คุ้มค่า แม้จะต้องใช้เวลานานกว่าจะได้กินพิซซ่าที่สั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็ตาม
.

.
------------------------
.
จากนักฟิสิกส์กลายเป็นร็อคสตาร์ (แต่ยังคงเป็นเนิร์ด)
.


หลังจากการค้นพบอันยิ่งใหญ่ โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป Peter Higgs กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ข้ามคืน (ถ้า 48 ปีนับเป็นหนึ่งคืน) สื่อทั่วโลกต่างพากันสัมภาษณ์เขา
.
"คุณรู้สึกอย่างไรที่ค้นพบอนุภาคของตัวเองในที่สุด?" นักข่าวถาม
"ก็เหมือนกับตอนที่คุณเจอถุงเท้าที่หายไปนานแล้วในเครื่องซักผ้านั่นแหละ แต่ถุงเท้าคู่นี้มันเปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมด" Higgs ตอบอย่างติดตลก
.
Higgs ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2013 ร่วมกับ François Englert ผู้ร่วมคิดค้นทฤษฎีนี้ พิธีมอบรางวัลเต็มไปด้วยนักฟิสิกส์ที่ดูเหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากห้องแล็บ แต่กำลังเฉิดฉายราวกับนักแสดงบนพรมแดง
.
แต่ชีวิตของ Higgs ก็ไม่ได้ง่ายขึ้นเท่าไหร่ เขาต้องอธิบายทฤษฎีของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกๆ งานปาร์ตี้ที่เขาไป
.
"เอาล่ะ Peter อธิบายทฤษฎีของคุณให้ฟังอีกทีสิ" เพื่อนๆ มักจะขอ
"โอเค แต่คราวนี้ผมจะใช้พิซซ่าและเบียร์เป็นตัวอย่างแทนอนุภาคแล้วกัน" Higgs ตอบพร้อมถอนหายใจ
.
.
-----------------------------
.
บทส่งท้าย
.
.
การค้นพบอนุภาคฮิกส์ไม่ใช่แค่ชัยชนะของวิทยาศาสตร์ แต่เป็นบทพิสูจน์ของพลังแห่งความไม่ยอมแพ้ของมนุษย์
.
Peter Higgs ใช้เวลา 48 ปีเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง นานกว่าการรอให้ดาวหางฮัลเลย์โคจรกลับมาให้เห็นถึงสองรอบ!
.
ในขณะที่เขารอ มนุษย์ไปดวงจันทร์ อินเทอร์เน็ตถือกำเนิด และ "กาลิเลโอ" ถูกปล่อยตัวจากการกักบริเวณของศาสนจักร (400 ปีให้หลัง... สายไปหน่อยนะ)
.
พวกเขาถูกหัวเราะเยาะ ถูกปฏิเสธ ถูกมองว่าบ้า แต่พวกเขายังคงยืนหยัด ท้าทายโลก ท้าทายจักรวาล และในที่สุด... พวกเขาก็ชนะ!
.
อนุภาคฮิกส์ไม่ใช่แค่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นอนุสรณ์แห่งความมุ่งมั่นของมนุษย์ เป็นบทพิสูจน์ว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลงมือทำ และไม่ยอมแพ้แม้โลกทั้งใบจะบอกว่า "มันเป็นไปไม่ได้"
.
ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณรู้สึกท้อ จงจำไว้ว่า... ถ้า Higgs รอ 48 ปีเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีที่เปลี่ยนโลก คุณก็รอความสำเร็จของตัวเองได้อีกสักหน่อย!
.
ถ้าคุณมุ่งมั่นทำอะไรสักอย่าง อย่าเพิ่งท้อถ้าไม่เห็นผลเร็วๆ นี้ ความสำเร็จก็เหมือนการค้นหาอนุภาคฮิกส์นั่นแหละครับ
.
แต่ถ้าต้องรอนานขนาดให้พิซซ่าที่สั่งเมื่อ 48 ปีที่แล้วมาส่ง... บางทีคุณอาจจะต้องโทรสั่งใหม่นะ เพราะร้านนั้นปิดไปนานแล้ว และคนส่งพิซซ่าคนนั้นก็คงเกษียณไปเลี้ยงหลานแล้วด้วย
.
.
.
.
#SuccessStrategies #GodParticle

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

Winning Zone: เส้นทางสู่ความเทพแบบไม่ต้องง้อเทวดา

Next
Next

วิถีเซน - ปฏิบัติธรรมแบบละมุน ใจฟูฟ่อง