อภิปัญญา (Metacognition) : การคิดที่เหนือกว่าการคิด

อภิปัญญา (Metacognition) : การคิดที่เหนือกว่าการคิด
.
ในสวนแห่งความคิด เมตาคอกนิชันคือต้นซากุระที่งดงามที่สุด... และบางครั้งก็เป็นต้นที่ทำให้คนสะดุดล้มหัวคะมำได้อย่างน่าขัน
.
Metacognition หรือ อภิปัญญา คือการรู้เท่าทันความคิดของตนเอง
.
อภิปัญญาคือความสามารถในการตระหนักรู้และเข้าใจกระบวนการคิดของตนเองนั่นเองครับ รวมไปถึงการควบคุมและปรับเปลี่ยนวิธีการคิดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เสมือนเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แห่งความคิด ที่สามารถตัดต่อ ปรับแต่ง และสร้างสรรค์เรื่องราวในหัวของเราได้อย่างชาญฉลาด
.
.
---------------------------------
.
[ องค์ประกอบของ Metacognition ]
.
.
เมตาคอกนิชันประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลัก ดั่งสามเสาหลักของเรือนน้ำชาญี่ปุ่น (ที่บางครั้งก็โงนเงนเหมือนเสาในบาร์คาราโอเกะ):
.
1. ความรู้เกี่ยวกับการรู้คิด (Metacognitive Knowledge)
- รู้จุดแข็งและจุดอ่อนในการคิดของตนเอง ราวกับการเข้าใจต้นบอนไซ แต่บางครั้งก็เหมือนเข้าใจผิดว่ามันคือต้นเมเปิ้ลจิ๋วที่โตช้าผิดปกติ
- เข้าใจว่าวิธีคิดแบบใดเหมาะกับงานประเภทไหน เหมือนการเลือกถ้วยชาที่เหมาะสมในพิธีชงชา แต่บางทีก็เผลอหยิบแก้วช็อตมาใส่ชาเขียวแทน
.
ตัวอย่าง: อิจิโระ นักเรียนมัธยมปลาย รู้ว่าตนเองเก่งคณิตศาสตร์แต่อ่อนในวิชาประวัติศาสตร์ เขาจึงใช้เวลามากขึ้นในการทบทวนประวัติศาสตร์ และใช้ทักษะการคิดเชิงตรรกะจากคณิตศาสตร์มาช่วยในการจดจำลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ผลลัพธ์คือ เขาสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่วว่าทำไมโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ถึงได้สร้างปราสาทโอซาก้าในรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน แต่กลับลืมไปว่าใครเป็นคนสร้างมันจริงๆ ครูถึงกับอึ้ง ไม่รู้จะให้คะแนนยังไงดี
.
.
2. ประสบการณ์เกี่ยวกับการรู้คิด (Metacognitive Experiences)
- ความรู้สึกสับสนเมื่อเจอโจทย์ยาก ราวกับปลาคาร์ปที่ว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยว แต่บางทีก็เหมือนปลาคาร์ปที่พยายามปีนต้นไม้แทนที่จะว่ายน้ำ
- ความพึงพอใจเมื่อเข้าใจแนวคิดใหม่ ราวกับได้บรรลุธรรมในเซน แต่บางครั้งก็เหมือนการตื่นขึ้นมาหลังจากเผลอหลับในห้องสมาธิและคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมในความฝัน
.
ตัวอย่าง: ยูกิ นักศึกษาปริญญาโท กำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปรัชญาเซน เธอรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจแก่นแท้ของเซนอย่างลึกซึ้งหลังจากนั่งสมาธิ 3 ชั่วโมงติดต่อกัน แต่พอลุกขึ้นมาเขียนบทความ เธอกลับเขียนได้แค่ "มู" ซ้ำๆ กันเป็นหน้าๆ อาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับปวดหัว ไม่แน่ใจว่านี่คือความเข้าใจอันลึกซึ้งหรือแค่อาการขาดน้ำ
.
.
3. กลยุทธ์เกี่ยวกับการรู้คิด (Metacognitive Strategies)
- การวางแผนก่อนลงมือทำงาน เหมือนซามูไรที่วางกลยุทธ์ก่อนการรบ แต่บางทีก็เหมือนซามูไรที่วางแผนอย่างละเอียดว่าจะต่อสู้กับมังกรอย่างไร ทั้งที่ศัตรูเป็นแค่แมวบ้านธรรมดา
- การตรวจสอบความเข้าใจระหว่างการเรียนรู้ ดั่งอาจารย์ชงชาที่สังเกตการเคลื่อนไหวของลูกศิษย์ แต่บางครั้งก็เหมือนอาจารย์ที่จ้องมองลูกศิษย์จนลูกศิษย์รู้สึกเหมือนกำลังแสดงละครใบ้อยู่คนเดียว
.
ตัวอย่าง: ทาโร่ พนักงานบริษัท วางแผนการนำเสนองานอย่างละเอียด เขาซ้อมพูด เตรียมสไลด์ และคาดการณ์คำถามที่อาจเกิดขึ้นทุกรูปแบบ แต่เมื่อถึงวันนำเสนอจริง เขากลับพบว่าห้องประชุมถูกย้ายไปที่สวนหลังบริษัทเพื่อ "สร้างบรรยากาศ" ทาโร่ต้องนำเสนอท่ามกลางเสียงนกร้อง ใบไม้ร่วง และเพื่อนร่วมงานที่แอบงีบหลับใต้ต้นซากุระ การนำเสนอจบลงด้วยการที่ทาโร่ต้องวิ่งไล่จับกระดาษที่ลอยไปตามลม พร้อมกับอธิบายว่านี่คือ "การนำเสนอเชิงโต้ตอบแบบธรรมชาติ" ที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรก
.
.
-----------------------------
.
[ การคิดเชิงตรรกะ vs การคิดเชิงวิภาษวิธี ]
.
.
การคิดเชิงตรรกะ
การคิดเชิงตรรกะเปรียบเสมือนสวนญี่ปุ่นที่จัดวางอย่างประณีต มีระเบียบแบบแผนชัดเจน:
- เป็นเส้นทางตรงและราบเรียบ เหมือนทางเดินหินในสวน แต่บางครั้งก็ลื่นจนคนเดินล้มก้นจ้ำเบ้าเป็นแถว
- มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ดั่งการจัดเรียงหิน แต่บางทีก็เหมือนพยายามจัดเรียงปลาคาร์ปในบ่อให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต
.
ตัวอย่าง: ฮานาโกะ นักตรรกศาสตร์มือใหม่ พยายามใช้หลักตรรกะในการเลือกเมนูอาหารที่ร้านราเม็ง เธอสร้างตารางเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการ รสชาติ และราคาของทุกเมนู ใช้เวลาวิเคราะห์นานมากจนพ่อครัวต้องมาถามว่าเธอต้องการให้เขาปรุงราเม็งแบบใดเป็นพิเศษ ฮานาโกะจึงตอบกลับไปว่า "ขอราเม็งที่มีอัตราส่วนระหว่างความอร่อยต่อแคลอรี่สูงที่สุด แถมด้วยไข่ออนเซ็นที่ต้มที่อุณหภูมิ 63.5 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 45 นาที 37 วินาที ค่ะ" พ่อครัวถึงกับเหงื่อตก ไม่แน่ใจว่าควรจะปรุงอาหารหรือเรียกนักวิทยาศาสตร์มาช่วย
.
.
การคิดเชิงวิภาษวิธี
การคิดเชิงวิภาษวิธีเปรียบเสมือนการชมดอกซากุระที่กำลังผลิบาน:
- ยอมรับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลง เหมือนการยอมรับว่าดอกซากุระจะบานเพียงชั่วคราว แต่บางคนก็พยายามเอากาวมาติดกลีบดอกไว้เพื่อให้บานตลอดไป
- มองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ เหมือนการเห็นความสัมพันธ์ระหว่างดอกไม้ ผึ้ง และการผสมเกสร แต่บางคนก็เชื่อมโยงจนเกินไปจนคิดว่าการจามของตัวเองทำให้ดอกซากุระที่โตเกียวบานเร็วขึ้น
.
ตัวอย่าง: เค็นจิ นักปรัชญาวัยรุ่น พยายามใช้การคิดเชิงวิภาษวิธีในการตัดสินใจว่าจะสารภาพรักกับเพื่อนสนิทดีหรือไม่ เขาพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสีย มองทั้งมุมมองของตัวเองและของเธอ คิดถึงผลกระทบต่อมิตรภาพและอนาคต สุดท้ายเขาก็ได้ข้อสรุปว่า "การสารภาพรักและไม่สารภาพรักล้วนมีความหมายและไร้ความหมายในเวลาเดียวกัน" เขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายรักที่ทั้งสารภาพรักและไม่สารภาพรักในเวลาเดียวกัน โดยใช้หมึกล่องหน เขาส่งจดหมายให้เธอพร้อมกับบอกว่า "ถ้าเธอรู้สึกเหมือนกัน จดหมายนี้จะปรากฏข้อความ แต่ถ้าไม่ มันก็จะยังคงว่างเปล่า" เพื่อนสาวของเขางุนงงมาก และคิดว่าเค็นจิแค่ส่งกระดาษเปล่ามาให้เธอด้วยความเผอเรอ เรื่องราวจบลงด้วยการที่ทั้งคู่ยังคงเป็นเพื่อนกัน แต่เค็นจิก็ไม่แน่ใจว่านี่คือการปฏิเสธหรือการตอบรับกันแน่
.
.
-----------------------------
.
[ การประยุกต์ใช้ Metacognition ในชีวิต ]
.
.
1. ฝึกการสังเกตความคิดตัวเอง:
เหมือนการเป็นนินจาแอบดูความคิดตัวเองผ่านช่องลับในบ้านพัก แต่บางทีก็เผลอทำเสียงดังจนความคิดตื่นตระหนกวิ่งหนีไปหมด
.
ตัวอย่าง: นาโอโกะ พยายามสังเกตความคิดตัวเองขณะทำงาน แต่กลับพบว่าเธอใช้เวลาส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ จนลืมทำงานไปเลย เมื่อหัวหน้าถามว่าทำไมงานไม่เสร็จ เธอตอบอย่างภาคภูมิใจว่า "หนูกำลังฝึกเมตาคอกนิชันค่ะ" หัวหน้าถึงกับอึ้ง ไม่รู้จะชื่นชมหรือตำหนิดี
.
.
2. สลับระหว่างการคิดเชิงตรรกะและเชิงวิภาษวิธี:
เหมือนการเต้นรำระหว่างการชงชาแบบพิธีการกับการดื่มสาเกในงานเลี้ยงคาราโอเกะ
.
ตัวอย่าง: ชินทาโร่ นักธุรกิจหนุ่ม พยายามใช้ทั้งการคิดเชิงตรรกะและเชิงวิภาษวิธีในการเจรจาธุรกิจ เขาเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ตัวเลขอย่างเป็นระบบ แต่จบลงด้วยการเสนอให้ตัดสินดีลด้วยการแข่งขันโยนเหรียญลงถ้วยสาเก โดยอ้างว่านี่คือ "การผสมผสานระหว่างโอกาสทางคณิตศาสตร์และปรัชญาแห่งความไม่แน่นอน" คู่เจรจาของเขาประทับใจกับแนวคิดนี้มาก... จนกระทั่งพบว่าชินทาโร่แอบฝึกซ้อมการโยนเหรียญมาเป็นเดือน
.
.
3. มองทุกสิ่งในบริบทที่ใหญ่กว่า:
เหมือนการมองโลกผ่านเลนส์กล้องที่ซูมออกไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าปัญหาของเราเล็กนิดเดียวในจักรวาล... แต่บางคนก็ซูมออกไปไกลเกินไปจนลืมว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของภาพ
.
ตัวอย่าง: มิโดริ นักศึกษาปรัชญา พยายามมองทุกปัญหาในชีวิตในบริบทที่ใหญ่กว่า เมื่อแฟนบอกเลิก เธอปลอบใจตัวเองว่า "ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ การเลิกรากับแฟนเป็นเพียงจุดเล็กๆ ในกาลอวกาศ" เธอรู้สึกดีขึ้นมาก... จนกระทั่งเธอใช้แนวคิดนี้กับทุกเรื่อง รวมถึงการส่งการบ้าน การจ่ายค่าเช่า และการอาบน้ำ อาจารย์และเจ้าของหอพักถึงกับต้องนัดคุยกับเธอเพื่อ "ปรับมุมมองให้กลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง" อีกครั้ง
.
.
4. เปิดใจรับฟังมุมมองที่แตกต่าง:
เหมือนการลองชิมอาหารแปลกๆ ที่ไม่เคยกินมาก่อน บางทีอาจอร่อย บางทีอาจทำให้ท้องเสีย แต่อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ใหม่
.
ตัวอย่าง: โยชิฮิโระ นักการเมืองท้องถิ่น ตัดสินใจจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นแบบเปิดกว้าง โดยประกาศว่า "ไม่มีความคิดเห็นใดที่แปลกเกินไป" ผลปรากฏว่ามีคนเสนอให้แก้ปัญหาการจราจรด้วยการสร้างถนนใต้ดินที่มีปลาโลมาเป็นพาหนะ และแก้ปัญหาขยะด้วยการส่งขยะทั้งหมดไปยังดาวอังคาร โยชิฮิโระยิ้มแห้งๆ พลางคิดในใจว่า "บางทีการเปิดใจกว้างเกินไปก็อาจทำให้สมองไหลออกมาทางหูก็ได้"
.
.
5. มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและโอกาสในการพัฒนา:
เหมือนการมองเห็นต้นกล้าในเมล็ดพันธุ์ แต่บางคนก็จินตนาการไกลเกินไปจนเห็นป่าทั้งป่าในเมล็ดถั่ว
.
ตัวอย่าง: ซาโตชิ เจ้าของร้านราเม็งเล็กๆ ตัดสินใจปรับปรุงร้านโดยใช้แนวคิด "การเปลี่ยนแปลงและพัฒนา" เขาเริ่มจากการเปลี่ยนสูตรน้ำซุป แล้วค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเมนูของร้านกลายเป็น "ราเม็งรสไอศกรีมช็อกโกแลตมินต์ เสิร์ฟในถ้วยที่ทำจากขนมปัง" ลูกค้าประจำถึงกับงง ไม่แน่ใจว่านี่คือวิวัฒนาการของราเม็งหรือการปฏิวัติอาหารญี่ปุ่นกันแน่
.
.
-------------------------------
.
[ อุปสรรคที่ควรระวังในการพัฒนาอภิปัญญา]
.
.
1. การหลงตัวเอง (Cognitive Bias):
เหมือนการหลงรักตัวเองในกระจก แต่ลืมไปว่ากระจกนั้นบิดเบี้ยวเหมือนกระจกในบ้านผีสิง
.
ตัวอย่าง: ทาเคชิ นักศึกษาปริญญาเอกด้านจิตวิทยา เขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง "การรู้เท่าทันอคติทางความคิดของตนเอง" แต่กลับไม่ยอมแก้ไขงานตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา โดยอ้างว่า "ผมรู้ตัวดีว่าผมมีอคติว่าตัวเองเก่งเกินไป แต่ในกรณีนี้ ผมแน่ใจว่าผมถูกต้อง 100% ครับ" อาจารย์ถึงกับกุมขมับ ไม่แน่ใจว่านี่คือตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของอคติทางความคิด หรือแค่นักศึกษาที่ดื้อเกินไปกันแน่
.
.
2. ความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน:
เหมือนพยายามนั่งสมาธิในสวนสนุก ยิ่งพยายามสงบนิ่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกถึงเสียงหวีดร้องจากรถไฟเหาะมากขึ้นเท่านั้น
.
ตัวอย่าง: ยูกิ พนักงานออฟฟิศ พยายามฝึกสติและเมตาคอกนิชันในที่ทำงาน เธอตั้งนาฬิกาปลุกให้ดังทุก 30 นาทีเพื่อเตือนให้หยุดคิดและสังเกตความคิดตัวเอง ผลคือทั้งออฟฟิศเริ่มหงุดหงิดกับเสียงนาฬิกา และยูกิเองก็เริ่มเครียดกับการต้องหยุดงานบ่อยๆ สุดท้ายเธอต้องย้ายโต๊ะทำงานไปอยู่มุมห้องเก็บของ พร้อมป้าย "กำลังฝึกเมตาคอกนิชัน โปรดอย่ารบกวน (รวมถึงตัวฉันเองด้วย)"
.
.
3. ความกลัวการเผชิญหน้ากับตัวเอง:
เหมือนการหลบหน้าตัวเองในกระจก แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเจอเงาตัวเองในกระจกร้านอาหาร
.
ตัวอย่าง: เค็นสุเกะ นักเขียนมือใหม่ พยายามเขียนบันทึกประจำวันเพื่อสำรวจความคิดตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เขาเริ่มเขียน เขากลับรู้สึกกลัวว่าจะเจออะไรที่ไม่คาดคิด สุดท้ายเขาเลยเขียนนิยายแฟนตาซีเรื่องยาวเกี่ยวกับพ่อมดที่มีพลังอ่านใจคน แต่ไม่กล้าอ่านใจตัวเอง โดยอ้างว่านี่คือ "การสำรวจตัวตนผ่านตัวละครสมมติ" แต่ทุกคนที่อ่านกลับบอกว่ามันเหมือนบันทึกประจำวันของเค็นสุเกะที่ถูกแปลงร่างเป็นแฟนตาซีมากกว่า
.
.
4. ความเคยชินกับวิธีคิดแบบเดิม:
เหมือนพยายามเรียนรู้ภาษาใหม่ แต่สมองดันแปลทุกประโยคเป็นภาษาแม่โดยอัตโนมัติ
.
ตัวอย่าง: ฮิโรชิ พ่อครัวอาวุโส พยายามปรับปรุงเมนูของร้านให้ทันสมัยขึ้น เขาตั้งใจจะคิดนอกกรอบ แต่ทุกครั้งที่พยายาม เขาก็กลับมาที่สูตรดั้งเดิมของคุณยายเสมอ สุดท้ายเมนูใหม่ของเขาคือ "ซูชิรสชาติแบบดั้งเดิม แต่จัดเสิร์ฟในรูปทรงเรขาคณิต" ลูกค้าถึงกับงง ไม่แน่ใจว่าควรชื่นชมความคิดสร้างสรรค์หรือขำกับความพยายามที่น่าขันนี้ดี
.
.
5. การวัดผลที่ยาก:
เหมือนพยายามชั่งน้ำหนักความคิด ยิ่งพยายามจับให้อยู่บนตาชั่ง มันก็ยิ่งไหลหนีไปทุกที
.
ตัวอย่าง: มายุมิ นักวิจัยด้านเมตาคอกนิชัน พยายามสร้างแบบทดสอบเพื่อวัดระดับการพัฒนาเมตาคอกนิชันของคน แต่เธอกลับพบว่ายิ่งคนมีเมตาคอกนิชันสูงเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตั้งคำถามกับแบบทดสอบของเธอมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเธอได้ข้อสรุปว่า "ระดับเมตาคอกนิชันที่แท้จริงคือจำนวนคำถามที่คนตั้งกับแบบทดสอบนี้" ทำให้แบบทดสอบของเธอกลายเป็นการสนทนาแบบไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างผู้ทดสอบและผู้ถูกทดสอบ
.
.
--------------------------------
.
[ บทส่งท้าย ]
.
.
เมื่อดอกซากุระแห่งปัญญาผลิบาน (และร่วงหล่นอย่างงดงาม)
.
ในห้วงความคิดอันไร้ขอบเขต เมตาคอกนิชันคือกล้องดูดาวที่ช่วยให้เราสำรวจจักรวาลภายในใจ เฝ้ามองการเกิดดับของดาวความคิด และค้นพบหลุมดำแห่งอวิชชาที่ดูดกลืนแสงแห่งปัญญา...
.
เมตาคอกนิชันคือดุลยภาพระหว่างการรู้และไม่รู้ การยอมรับและปล่อยวาง เป็นเส้นขอบฟ้าที่ความรู้และความไม่รู้บรรจบกัน ณ จุดนั้น เราจะพบว่าตัวตนที่แท้จริงมิใช่ผู้รู้ หากแต่เป็นการรู้เอง… และยิ่งเรารู้มาก เรายิ่งตระหนักว่ายังมีอีกมากที่เราไม่รู้
.
เมื่อคุณเริ่มฝึกฝนเมตาคอกนิชัน จำไว้ว่า: บางครั้งการเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ อาจหมายถึงการยอมรับว่าเราไม่มีวันเข้าใจตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
.
และหากคุณรู้สึกหลงทางในการฝึกฝนเมตาคอกนิชัน แต่อย่าลืมว่า: การเดินทางแห่งการเรียนรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนดั่งต้นไม้ที่เติบโตอย่างช้าๆ แต่มั่นคง บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ก้าวหน้า แต่แท้จริงแล้ว รากของเรากำลังหยั่งลึกลงไปในดิน เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตครั้งใหญ่ในอนาคต
.
จำไว้ว่า: แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องนั่งใต้ต้นโพธิ์นานถึง 49 วัน แล้วคุณล่ะ นั่งอยู่ใต้ต้นอะไร?
.
ต้นโพธิ์แห่งปัญญา?
ต้นซากุระแห่งความงาม?
หรือต้นเงินต้นทองที่ตำนานบอกว่ามีจริง?
.
และแน่ใจหรือว่ามันไม่ใช่ต้นกล้วย?

.

.

.

.

#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

สรุปหนังสือ "Essentialism: The Disciplined Pursuit of Less" บทเรียนแห่งความเรียบง่าย เขียนโดย Greg McKeown

Next
Next

Eudaimonia: เส้นทางสู่ชีวิตที่เปี่ยมความหมาย