38 กับดักทางจิตวิทยา
38 กับดักทางจิตวิทยา
.
กับดักทางจิตวิทยา (Psychological Traps) คือ ข้อผิดพลาดทางความคิดที่มักเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จากการทำงานของสมองที่พยายามประหยัดพลังงานในการประมวลผลข้อมูล ส่งผลให้เรามีมุมมอง ตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างผิดพลาดและไม่เหมาะสม ทั้งในเรื่องงาน ความสัมพันธ์ การเงิน และการใช้ชีวิตทั่วไป
.
การทำความเข้าใจและรู้เท่าทันกับดักทางจิตวิทยาเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถหยุดคิด และหลุดพ้นจากวงจรของความคิดผิด ๆ ที่ฉุดรั้งการเติบโตของเราไว้ได้ ซึ่งจะนำไปสู่การคิดที่ถูกต้อง การตัดสินใจที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
==============================
.
1. ผลกระทบแบบนกกระจอกเทศ (Ostrich effect):
เมื่อเราเผชิญกับข้อมูลในแง่ลบที่ทำให้รู้สึกกังวลหรือหวาดวิตก บางครั้งเรามักจะเลือกที่จะเพิกเฉยหรือปิดบังมัน แทนที่จะเผชิญหน้ากับมันอย่างตรงไปตรงมา พฤติกรรมนี้เปรียบเสมือนนกกระจอกเทศที่ชอบซุกหัวลงในทรายเมื่อเจอศัตรู การเพิกเฉยข้อมูลในแง่ลบอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้น ดังนั้น เราควรกล้าเผชิญหน้ากับความจริงและข้อมูลทั้งหมด แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ยินก็ตาม
.
2. ความไม่สามารถปิดประตู (Inability to close doors):
บางครั้งเรากลัวที่จะปิดโอกาสหรือทางเลือกต่างๆ เพราะเรากลัวว่าจะพลาดอะไรบางอย่างไป (Fear of missing out) เราจึงพยายามเปิดทุกประตูหรือทำทุกสิ่งพร้อม ๆ กัน แม้ว่าบางสิ่งอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจหรือเสียเปล่า การไม่กล้าปฏิเสธหรือปิดประตูบางบานทิ้งไป อาจทำให้เราหมดพลังงานและไม่สามารถทุ่มเทให้กับสิ่งที่สำคัญที่สุดได้อย่างเต็มที่ วิธีเอาชนะคือ ให้เรากล้าตัดสินใจเลือกและโฟกัสไปที่เป้าหมายที่ชัดเจน จะได้ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น
.
3. ผลกระทบจากการเปรียบเทียบ (Contrast effect):
เรามักจะตัดสินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ จากการนำมาเปรียบเทียบกัน เช่น เมื่อเราเห็นสิ่งที่แย่กว่า เรามักรู้สึกว่าสิ่งที่เรามีอยู่ดูดีขึ้นทันตา ในทางกลับกัน หากเราเพิ่งเห็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เราอาจรู้สึกว่าสิ่งที่เรามีอยู่ดูด้อยค่าลง ตัวอย่างเช่น หากเราเพิ่งกินอาหารแย่ ๆ มา เราอาจรู้สึกว่าอาหารธรรมดาที่เรากำลังกินอยู่รสชาติดีเลิศ เป็นต้น เพื่อให้การตัดสินใจมีความเป็นกลางและแม่นยำมากขึ้น เราควรประเมินสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นอิสระ โดยไม่เอามาเปรียบเทียบกัน
.
4. ความรู้แบบคนขับรถ (Chauffeur knowledge):
เรามักจะเชื่อคนที่พูดจาฉลาดและมีลีลาโน้มน้าว แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เขาพูดอาจเป็นแค่การท่องจำมาเหมือนนกแก้ว โดยที่เขาไม่ได้มีความรู้หรือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริง ๆ เหมือนคนขับรถที่รู้แค่การขับรถ แต่ไม่รู้วิธีซ่อมรถ การเชื่อข้อมูลเพียงเพราะผู้พูดดูน่าเชื่อถือ อาจทำให้เราหลงเชื่อข้อมูลที่ผิด วิธีแก้คือ อย่าหลงเชื่อง่าย ๆ แต่ต้องกล้าถามคำถามที่ชัดเจนและลึกซึ้ง เพื่อทดสอบความรู้ที่แท้จริงของผู้พูด
.
5. ผลกระทบจาก IKEA (IKEA effect):
เราชอบให้คุณค่ากับสิ่งของหรือผลงานมากเป็นพิเศษ หากเราเป็นคนทำมันขึ้นมาเอง เหมือนเวลาที่เราประกอบชั้นวางของจาก IKEA ด้วยตัวเอง แล้วรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่มันอาจเป็นแค่ชั้นวางของราคาถูก ๆ ธรรมดา ๆ การหลงใหลในผลงานของตัวเองมากเกินไป อาจทำให้เรามองไม่เห็นข้อบกพร่องที่มีอยู่ และพลาดโอกาสในการปรับปรุงพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น วิธีแก้ไขคือ อย่าลังเลที่จะขอคำติชมหรือความเห็นจากผู้อื่น โดยเฉพาะจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ
.
6. คำสาปแห่งความเฉพาะเจาะจง (Curse of specificity):
บางครั้งเราให้ความสำคัญกับรายละเอียดปลีกย่อยมากเกินไป จนลืมมองภาพรวมหรือสิ่งที่สำคัญกว่า เช่น เมื่อเราซื้อรถคันใหม่ เราอาจใช้เวลานานมากในการตัดสินใจเลือกสีรถ ทั้ง ๆ ที่สีรถไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อรถเลย แต่เราควรให้น้ำหนักกับเรื่องสมรรถนะ ความปลอดภัย และราคา มากกว่า การยึดติดกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มากเกินไป อาจทำให้เราเสียเวลาและพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ จนลืมจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง
.
7. ผลกระทบจากสปอตไลท์ (Spotlight effect):
เวลาทีเราทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าผู้คน เรามักรู้สึกอับอายหรือกังวลว่าคนอื่นจะจับจ้องมองเราอย่างไม่วางตา เราอาจคิดว่าความผิดพลาดของเราเด่นชัดและใหญ่โตมาก ราวกับมีแสงสปอตไลท์ส่องมาที่เรา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรามากอย่างที่เราคิด และพวกเขาก็มักจะลืมความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราไปอย่างรวดเร็ว เพราะทุกคนต่างก็มีเรื่องของตัวเองให้ต้องสนใจ การตระหนักว่าคนอื่นไม่ได้จ้องมองเราตลอดเวลา จะช่วยให้เรารู้สึกวิตกกังวลน้อยลง และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
.
8. ผลกระทบแบบรัศมี (Halo effect):
ความประทับใจแรกที่ดีต่อบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักทำให้เราคิดว่าทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งนั้นจะต้องดีไปหมด เหมือนมีรัศมีแห่งความดีงามเปล่งประกายออกมา ในทางตรงกันข้าม หากความประทับใจแรกไม่ดี เราก็มักปิดกั้นและมองข้ามจุดดีอื่นๆ ที่อาจมีอยู่ เช่น เมื่อเรารู้สึกชอบนักแสดงคนหนึ่ง เราก็มักจะคิดว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เขาแสดงจะต้องสนุกไปหมด ทั้ง ๆ ที่อาจไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป การมองแต่ละสิ่งอย่างแยกส่วนและเป็นกลาง จะช่วยให้เราประเมินสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้านและตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น
.
9. การตอบแทน (Reciprocity):
เรามักจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณและผูกมัดที่จะต้องทำอะไรตอบแทนคนที่เคยช่วยเหลือหรือให้สิ่งดี ๆ กับเรา แม้ว่าสิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ หรืออาจมากเกินกว่าที่เขาเคยทำให้เรา หลักการนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการตลาดและการเจรจาต่อรอง เช่น การแจกของฟรี เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณและกลับมาซื้อสินค้า เป็นต้น แทนที่จะรู้สึกผูกมัดและกดดัน เราควรตอบแทนผู้อื่นด้วยความจริงใจและพอเหมาะพอควร โดยไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกันเสมอไป
.
10. อคติเพื่อตัวเอง (Self serving bias):
เรามักจะอ้างเครดิตความสำเร็จให้กับตัวเอง แต่กลับโทษปัจจัยภายนอกเมื่อเราล้มเหลว เช่น ถ้าสอบได้ที่หนึ่ง เราก็จะคิดว่าเป็นเพราะเราฉลาดและขยัน แต่ถ้าสอบตก เราก็จะโทษว่าข้อสอบยากเกินไป หรืออาจารย์ออกข้อสอบไม่ตรงกับที่เรียน เป็นต้น การปัดความรับผิดชอบในความผิดพลาดของตัวเองและไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงตัว จะทำให้โอกาสที่จะพัฒนาและเติบโตขึ้นลดน้อยลง เราจึงควรฝึกที่จะมองตัวเองอย่างเป็นกลาง และกล้ายอมรับทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อที่จะได้แก้ไขปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
.
11. ผลกระทบจาก Diderot (Diderot effect):
การซื้อสิ่งของชิ้นใหม่บางอย่าง อาจนำไปสู่การอยากซื้อสิ่งของชิ้นอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้จำเป็นต้องใช้ หรือไม่ได้วางแผนจะซื้อมาตั้งแต่แรก เช่น เมื่อเราซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เราอาจอยากซื้ออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น เคสโทรศัพท์ ฟิล์มกันรอย หูฟังไร้สาย ฯลฯ จนทำให้เราต้องจ่ายเงินมากกว่าที่คิดไว้ตอนแรกเยอะ การซื้อสิ่งของแบบลูกโซ่แบบนี้ เรียกว่า "ผลกระทบแบบเกลียว" ที่ดึงเราให้จมลงไปในวังวนแห่งการบริโภคนิยมได้โดยง่าย เราจึงต้องตระหนักและใช้สติ พิจารณาให้ดีว่าเราจำเป็นต้องซื้อสิ่งนั้นจริง ๆ หรือไม่ ก่อนที่จะควักเงินในกระเป๋าออกมา
.
12. ผลกระทบจากการยึดติด (Anchoring effect):
เรามักใช้ข้อมูลชิ้นแรกหรือตัวเลือกแรกที่เห็น เป็นจุดอ้างอิงหรือตัวเทียบสำหรับข้อมูลหรือตัวเลือกต่อ ๆ มา ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลชิ้นแรกอาจไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสำคัญอะไรเลยก็ตาม เช่น เมื่อเราไปซื้อของ แล้วเจอสินค้าราคาแพงมาก ๆ ก่อน พอเจอสินค้าชิ้นต่อมาที่ราคาถูกกว่า เราจะรู้สึกว่ามันถูกมาก ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมันอาจมีราคาสูงกว่าท้องตลาดทั่วไปก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกชักจูงโดยข้อมูลชิ้นแรกได้ง่าย เราควรหาข้อมูลให้มาก ๆ และเปรียบเทียบกับแหล่งอื่นที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่ดูจากที่ใดที่หนึ่งเพียงแหล่งเดียว
.
13. อคติเชิงลบ (Negativity bias):
สมองของเรามักให้ความสนใจและจดจำข้อมูลเชิงลบได้มากกว่าข้อมูลเชิงบวก เราจึงมักจะจมอยู่กับปัญหาและอุปสรรค จนลืมมองข้ามสิ่งดี ๆ ที่เรามี เช่น เมื่อเราทำงานเสร็จ 9 อย่าง แต่มี 1 อย่างที่ยังทำไม่เสร็จ เรามักรู้สึกไม่พอใจและหมกมุ่นอยู่กับงานชิ้นที่ยังค้างอยู่ แทนที่จะภูมิใจกับ 9 ชิ้นงานที่ทำสำเร็จแล้ว การฝึกให้ความสนใจกับสิ่งบวกให้มากขึ้น เช่น การทำบันทึกประจำวันถึงเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้น หรือหมั่นขอบคุณตัวเองและคนรอบข้างบ่อย ๆ จะช่วยให้เรามีความคิดเชิงบวกและรู้สึกมีความสุขมากขึ้น
.
14. ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับต้นทุนจม (Sunk cost fallacy):
เรามักลังเลที่จะยอมแพ้หรือล้มเลิกสิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปแล้วไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นอาจไม่คุ้มค่าหรือสร้างผลเสียมากกว่าผลดีแล้วก็ตาม เรามักจะคิดว่า "ในเมื่อลงทุนไปขนาดนี้แล้ว ต้องทำต่อให้จบ" แต่การยึดติดกับต้นทุนที่จ่ายไปแล้วและจมหายไปแล้ว อาจทำให้เราเสียเวลาและเสียโอกาสในการทำสิ่งที่คุ้มค่ากว่า เราจึงต้องกล้าตัดใจ และมุ่งความสนใจไปที่ประโยชน์ในอนาคต มากกว่าคิดถึงสิ่งที่เสียไปในอดีต
.
15. ปฏิทรรศน์ของตัวเลือก (Paradox of choices):
การมีตัวเลือกมากมายเกินไป ไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นเสมอไป แต่บางทีกลับทำให้เรารู้สึกล้นพ้นและเครียดมากขึ้น เพราะเรากลัวว่าจะตัดสินใจผิดพลาด เช่น เมื่อเราไปซื้อสบู่ แต่พบว่ามีสบู่ให้เลือกอยู่บนชั้นเป็นร้อย ๆ แบบ เราจะเกิดลังเลและตัดสินใจได้ยากขึ้น การกำหนดเกณฑ์หรือลดทางเลือกของเราให้แคบลง จะช่วยทำให้การตัดสินใจของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้เลือกสิ่งที่ถูกใจที่สุดเสมอไป แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เราได้สิ่งที่เราพอใจและจบกระบวนการเลือกได้เร็วขึ้น
.
16. ผลกระทบจากการจัดกรอบ (Framing effect):
รูปแบบการนำเสนอของข้อมูล มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตีความและการตัดสินใจของเรา ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลนั้นอาจมีเนื้อหาเหมือนกันก็ตาม เช่น เมื่อหมอบอกว่า "โอกาสรอดชีวิตจากการผ่าตัดคือ 90%" กับ "โอกาสเสียชีวิตจากการผ่าตัดคือ 10%" เรามักรู้สึกสบายใจกับประโยคแรกมากกว่า แม้ว่าทั้งสองประโยคจะหมายความเหมือนกันก็ตาม ตัวอย่างนี้แสดงถึงพลังของการใช้คำในเชิงบวกหรือลบ ที่ส่งผลต่ออารมณ์และการตัดสินใจเป็นอย่างมาก ดังนั้น เราจึงต้องใส่ใจในรายละเอียดของข้อความ และพยายามมองข้อมูลอย่างรอบด้าน ไม่ใช่หลงเชื่อตามที่ถูกนำเสนออย่างผิวเผิน
.
17. ภาพลวงตาแห่งจุดจบของประวัติศาสตร์ (End of history illusion):
เรามักคิดว่าตัวตนของเราในปัจจุบัน จะยังคงเหมือนเดิมไปตลอดในอนาคต หรือเรามักคิดว่าคนอื่นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปได้เสมอตามกาลเวลา การคิดว่าอนาคตของเราหรือคนอื่นจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ อาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดหรือพลาดโอกาสดี ๆ ในการปรับตัวไปได้ เราจึงควรเปิดใจกว้างและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น แทนที่จะยึดติดอยู่กับภาพลวงตาที่ว่าอนาคตจะต้องเป็นแบบเดิมเสมอไป
.
18. ผลกระทบจาก Pygmalion (Pygmalion effect):
ความคาดหวังที่เรามีต่อศักยภาพของตัวเราเองหรือคนอื่น ส่งผลอย่างมากต่อผลงานที่เกิดขึ้นจริง เพราะความคาดหวังนั้นมีแรงจูงใจและกำลังใจในตัวมันเอง เช่น เมื่อครูคาดหวังสูงกับนักเรียนคนใดคนหนึ่ง นักเรียนคนนั้นมักแสดงผลงานได้ดีกว่าปกติ เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์และมีคุณค่า ในทำนองเดียวกัน การกำหนดเดดไลน์หรือเป้าหมายที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ มักทำให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าเวลามีจำกัดและต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
.
19. ผลกระทบจากความสม่ำเสมอ (Consistency effect):
เมื่อเรารู้สึกว่ามีใครบางคนคอยจับตามองหรือคอยให้เราต้องรับผิดชอบ เรามักจะกระตือรือร้นและตั้งใจทำงานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเรามีเดดไลน์ส่งงาน แล้วเราบอกเพื่อนหรือคนใกล้ชิดให้ช่วยถามไถ่ความคืบหน้าอยู่เสมอ ๆ เราก็มักทำงานได้เสร็จเร็ว เพราะเรารู้สึกกดดันในทางบวกและไม่อยากทำให้คนอื่นผิดหวัง การหาเพื่อนที่มีเป้าหมายเดียวกัน และคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จึงช่วยให้เรารักษาวินัยและความมุ่งมั่นในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ดียิ่งขึ้น
.
20. ความผิดพลาดในการวางแผน (Planning fallacy):
เรามักประเมินเวลาหรือความยากง่ายของงานต่ำเกินไป เราคิดว่างานนี้น่าจะทำเสร็จได้ในเวลาเท่านี้ แต่พอลงมือทำจริง กลับใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งนี้เพราะเรามองข้ามรายละเอียดหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น เราคิดว่าจะอ่านหนังสือจบภายใน 2 ชั่วโมง แต่จริง ๆ แล้ว เราอาจใช้เวลาถึง 5-6 ชั่วโมง เพราะเรามัวแต่เล่นโทรศัพท์บ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง หรือเนื้อหาในบางบทอาจยากกว่าที่คิด วิธีแก้ไขคือ ให้เผื่อเวลาเอาไว้มากกว่าปกติ และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับงานนั้น ๆ ให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น เพื่อให้การวางแผนมีความแม่นยำและเหมาะสม
.
21. อคติยืนยัน (Confirmation bias):
เรามักให้ความสนใจหรือจดจำข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของเรา แต่มองข้ามหรือลืมข้อมูลที่ขัดแย้งกับมัน เช่น เมื่อเราคิดว่าใครสักคนเป็นพวกขี้โกง เราก็มักสังเกตเห็นแต่พฤติกรรมที่น่าสงสัยของเขา แม้ว่าเขาจะทำความดีมากมายก็ตาม ความลำเอียงแบบนี้อาจทำให้เรามีมุมมองที่แคบและเข้าใจผิดได้ง่าย เราจึงต้องฝึกมองหาข้อมูลที่หลากหลายและตั้งคำถามกับตัวเองให้มาก ๆ รวมถึงพยายามอ่านหรือพูดคุยกับคนที่มีความเห็นต่างจากเราด้วย เพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น
.
22. ผลกระทบจากการตามกระแส (Bandwagon effect):
เรามักคล้อยตามความคิดหรือการกระทำของคนส่วนใหญ่ แม้ว่าสิ่งนั้นอาจไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับเราก็ตาม เพราะเรากลัวการถูกโดดเดี่ยวแตกต่าง หรือกลัวพลาดสิ่งดี ๆ ที่คนอื่นได้ ยิ่งในโลกโซเชียลมีเดียทุกวันนี้ การตามกระแสทำได้ง่ายมาก เพียงแค่กดไลก์ กดแชร์ตามคนอื่น ๆ โดยไม่ได้ไตร่ตรอง เราจึงต้องให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากขึ้น กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเอง และตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของเรา มากกว่าการเป็นเพียงแกะตัวหนึ่งในฝูง
.
23. ผลกระทบจาก Dunning Kruger (Dunning Kruger effect):
เรามักประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราไม่มีความรู้หรือประสบการณ์มากนักในเรื่องนั้น ๆ เหมือนอย่างคำพูดที่ว่า "คนฉลาดรู้ว่าตัวเองไม่ฉลาด แต่คนโง่กลับคิดว่าตัวเองฉลาด" ความหลงตัวเองแบบนี้ อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพราะคิดว่าตัวเองเก่งเกินกว่าจะต้องเรียนแล้ว หรืออาจทำให้เรารับงานหรือความรับผิดชอบที่เกินตัว และทำพลาดได้ง่าย การถ่อมตนและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญบ้าง จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างระมัดระวังและมีคุณภาพมากขึ้น
.
24. การหลีกเลี่ยงการสูญเสีย (Loss aversion):
เรามักให้ความสำคัญกับการป้องกันการสูญเสีย มากกว่าความพยายามที่จะได้กำไรหรือสิ่งตอบแทน กล่าวคือ เรายอมทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน แต่จะไม่ยอมลงทุนลงแรงมากนัก แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะได้กำไรมหาศาล ความกลัวที่จะล้มเหลวนี้ อาจฉุดรั้งให้เราไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ หรือไม่กล้าออกจากพื้นที่ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่สิ่งใหม่ ๆ เหล่านั้น อาจเปิดโอกาสและประสบการณ์ดี ๆ ให้กับเราก็เป็นได้ เราจึงต้องฝึกคิดแบบ "กล้าได้กล้าเสีย" และพร้อมเรียนรู้จากความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น แทนที่จะปล่อยให้ความกลัวมาขวางกั้นความฝันของเรา
.
25. ผลกระทบจากตัวล่อ (Decoy effect):
เรามักชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเป็นพิเศษ เมื่อมันถูกนำไปเปรียบเทียบกับทางเลือกที่แย่กว่า เสมือนหนึ่งว่าทางเลือกนั้น เป็นเหมือนตัวล่อให้สิ่งที่เราเลือกดูดีขึ้น เช่น เมื่อเรากำลังตัดสินใจเลือกระหว่างป๊อปคอร์นขนาดกลางราคา 100 บาท กับขนาดใหญ่ราคา 150 บาท แต่แล้วมีขนาดใหญ่พิเศษราคา 200 บาท ที่ดูแพงเกินไป ป๊อปคอร์นขนาดใหญ่ธรรมดาก็จะดูราคาไม่แพงมากนัก เมื่อเทียบกับขนาดที่ใหญ่กว่า การเปรียบเทียบกับตัวเลือกที่เลวร้ายกว่า อาจทำให้เรารู้สึกพึงพอใจในตัวเลือกนั้น ๆ มากเกินความเป็นจริง เราจึงควรประเมินสิ่งต่าง ๆ ตามความต้องการและคุณค่าที่แท้จริงของมัน ไม่ใช่เพียงเพราะมันดูดีกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่น
.
26. วิธีการคิดแบบพร้อมใช้งาน (Availability heuristic):
เรามักใช้ข้อมูลที่นึกออกได้ง่ายหรือเห็นบ่อย ๆ เป็นตัวแทนของความจริงทั้งหมด โดยไม่ได้สำรวจข้อมูลที่ลึกหรือกว้างไกลกว่านั้น เช่น หากเราเพิ่งได้ยินข่าวเครื่องบินตก เราก็มักคิดว่าการขึ้นเครื่องบินเสี่ยงและอันตรายมาก ทั้ง ๆ ที่สถิติระยะยาวแสดงให้เห็นว่า เครื่องบินเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดแล้วก็ตาม ประสบการณ์และความทรงจำของเรา ไม่ใช่ตัวแทนที่ดีที่สุดของความจริงเสมอไป เราจึงต้องฝึกคิดอย่างเป็นระบบ อาศัยข้อมูลที่หลากหลาย และไม่ด่วนสรุปบนฐานของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว
.
27. ความเชื่อที่ผิดของนักพนัน (Gamblers fallacy):
เรามักคิดว่าเหตุการณ์ในอดีต จะส่งผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตอย่างเป็นระบบ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง สิ่งต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีรูปแบบใด ๆ เช่น หากเราทอยลูกเต๋าได้เลข 4 ติดต่อกัน 10 ครั้ง เรามักคิดว่าครั้งต่อไปเราจะต้องไม่ได้เลข 4 แน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว โอกาสที่จะทอยได้เลข 4 ในครั้งที่ 11 ก็ยังเท่าเดิม คือ 1 ใน 6 เสมอ เราจึงต้องแยกเหตุการณ์ในอดีตและอนาคตออกจากกัน และประเมินโอกาสที่จะเกิดสิ่งต่าง ๆ ตามหลักความน่าจะเป็น ไม่ใช่ยึดติดกับรูปแบบการเกิดในอดีตที่ผ่านมา
.
28. อคติย้อนหลัง (Hindsight bias):
หลังจากเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นแล้ว เรามักแสร้งทำเป็นว่าเราเคยคาดเดาเหตุการณ์นั้นได้อย่างแม่นยำ เหมือนอย่างคำพูดที่ว่า "ฉันบอกแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้" ทั้ง ๆ ที่จริงๆ แล้ว เราไม่เคยคิดหรือพูดแบบนั้นมาก่อน ความเข้าใจผิดแบบ "รู้ทุกอย่างไปหมดแล้ว" นี้ ทำให้เราประเมินความสามารถของตัวเองเกินจริง รวมถึงตำหนิหรือตัดสินคนในอดีตแบบไม่ยุติธรรม เพราะเรามีข้อมูลในปัจจุบันที่พวกเขาไม่มี การยอมรับว่ามีบางสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ และมองเหตุการณ์ในบริบทของมัน จะช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องและเหมาะสมมากขึ้น
.
29. อคติแบบต่อต้าน (Reactance bias):
เรารู้สึกอยากทำสิ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ถูกบังคับให้ทำ ราวกับว่าการเชื่อฟังคือการสูญเสียอิสรภาพของตัวเอง เช่น เมื่อเห็นป้ายห้ามสูบบุหรี่ กลับรู้สึกอยากสูบขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่ปกติเราไม่ได้ติดบุหรี่เลย ความรู้สึกต่อต้านนี้ อาจทำให้เราดื้อรั้นและเสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากผู้อื่น เราจึงควรสงบสติอารมณ์ และคิดทบทวนดู ว่าสิ่งที่เราถูกห้ามนั้น จริง ๆ แล้วมีประโยชน์หรือมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่ แทนที่จะปฏิเสธมันไปซะทุกอย่าง
.
30. อคติแบบลงมือทำ (Action bias):
เรารู้สึกกระวนกระวายที่จะต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง โดยไม่ยอมหยุดคิดหรือรอข้อมูลให้มากพอ เพราะเราเชื่อว่ายิ่งทำเร็วเท่าไร ก็จะยิ่งได้ผลเร็วเท่านั้น แต่หลายครั้ง การรีบร้อนตัดสินใจ กลับทำให้เราผิดพลาดและเสียเวลามากกว่าเดิม เหมือนการวิ่งออกตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่วิ่งไปผิดทิศผิดทาง เราจึงควรฝึกความอดทน รู้จักรอคอยจังหวะที่เหมาะสม และไม่ลงมือทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การวางแผนอย่างรอบคอบ บางครั้งมีค่ามากกว่าการลงมืออย่างหุนหันพลันแล่น
.
31. อคติผู้รอดชีวิต (Survivorship bias):
เรามักสนใจแต่เรื่องราวความสำเร็จของคนที่ผ่านอุปสรรคมาได้ จนลืมสำรวจว่ามีอีกกี่คนที่ล้มเหลวและเราไม่เคยได้ยินเรื่องของพวกเขา เช่น เรามักได้ยินเรื่องของเหล่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทั้ง ๆ ที่มีอีกหลายบริษัทที่ล้มเหลวและเราไม่เคยรู้จักชื่อ การมองเห็นแต่ด้านสวยหรือมองข้ามกลุ่มตัวอย่างบางส่วนไป อาจทำให้เราประเมินโอกาสที่จะสำเร็จสูงเกินจริง หรือหลงลืมไปว่าความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความพยายามมหาศาล เราจึงควรมองหาข้อมูลให้ครบทุกด้าน ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ลองแล้วแต่ไม่สำเร็จ รวมถึงศึกษาปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จหรือความล้มเหลวนั้น ๆ ด้วย เพื่อจะได้วางแผนและตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
.
32. หลักการเอกภาพ (Unity principle):
เราชอบและไว้วางใจคนที่มาจากพื้นเพเดียวกับเรา เช่น จากภูมิลำเนา โรงเรียน หรือประเทศเดียวกัน เพราะเรารู้สึกเหมือนมีความผูกพันหรือมีอะไรบางอย่างร่วมกัน การคิดแบบแบ่งพรรคแบ่งพวกนี้ อาจทำให้เราลำเอียงและมองข้ามความสามารถที่แท้จริงของคน เราควรประเมินคนด้วยผลงานและความประพฤติมากกว่าภูมิหลังหรือความคล้ายคลึงกับเรา และเปิดใจยอมรับความหลากหลายให้มากขึ้น เพราะมุมมองที่แตกต่าง อาจนำมาซึ่งทีมงานที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์ก็เป็นได้
.
33. ผลกระทบจาก Zeigarnik (Zeigarnik effect):
เรามักจดจำสิ่งที่ค้างคาหรือยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ได้ดีกว่าสิ่งที่จบลงแล้ว เช่น เรามักฝันถึงเรื่องในอดีตที่ค้างคาใจเรา หรือจำได้ขึ้นใจว่าจะต้องซื้ออะไรที่ร้านสะดวกซื้อ แต่พอซื้อเสร็จแล้ว เราก็มักจำไม่ค่อยได้ว่าเราซื้ออะไรไปบ้าง การวนเวียนอยู่กับงานที่ยังไม่เสร็จนี้ อาจทำให้สมองของเราเต็มไปด้วยเรื่องที่ค้างคา จนไม่มีพลังงานเหลือให้ทำสิ่งอื่น เราควรฝึกทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จไปทีละอย่าง และไม่ผัดวันประกันพรุ่งจนงานล้นมือ รวมถึงควรฝึกปล่อยวางเรื่องเก่า ๆ ในอดีตด้วย เพื่อเปิดพื้นที่ในสมองให้พร้อมเรียนรู้และสร้างสิ่งใหม่ ๆ
.
34. ผลกระทบของผู้ที่ยืนดู (Bystander effect):
เมื่อเราเห็นใครต้องการความช่วยเหลือต่อหน้าสาธารณชน เรามักลังเลที่จะก้าวเข้าไปช่วย เพราะคิดว่าคงมีคนอื่นช่วยเขาอยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีคนเยอะ เราก็ยิ่งไม่รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบอะไร เช่น เมื่อมีคนกำลังถูกทำร้ายกลางถนน แต่คนรอบข้างต่างมองดูอยู่เฉย ๆ ไม่มีใครลงไปช่วย เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นจริงและเป็นที่มาของชื่อผลกระทบนี้ การไม่ยอมออกตัวหรือแสดงความรับผิดชอบ อาจทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่สามารถป้องกันได้ เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นคนต้องการความช่วยเหลือ เราควรรีบเข้าไปช่วยทันที หรืออย่างน้อยก็ตะโกนบอกคนอื่น ๆ ให้มาช่วยกันอย่างเจาะจง เช่น "คุณผู้หญิงเสื้อเขียวครับ ช่วยโทรแจ้งตำรวจหน่อย!" การสื่อสารที่ชัดเจนเช่นนี้ จะทำให้ทุกคนรู้สึกตัวและลงมือทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้
.
35. ผลกระทบจากความคลุมเครือ (Ambiguity effect):
เรามักหลีกเลี่ยงตัวเลือกที่ดูคลุมเครือหรือไม่คุ้นเคย และเลือกสิ่งที่ดูคุ้นเคยและเป็นที่รู้จักมากกว่า แม้ว่าตัวเลือกอีกอย่างอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ตาม เช่น เรามักลงทุนในบริษัทหรือกองทุนที่เราคุ้นหูคุ้นตามากกว่า ทั้ง ๆ ที่มีอีกหลายบริษัทหรือกองทุนที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ แต่มีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม การปิดกั้นสิ่งใหม่และแปลกใหม่ เพียงเพราะความไม่คุ้นเคย อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่ดีไปอย่างน่าเสียดาย บางครั้งเราอาจต้องกล้าออกจาก comfort zone และลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำดูบ้าง ไม่เช่นนั้นเราอาจไม่มีวันรู้เลยว่าข้างนอกนั้นมีอะไรที่น่าตื่นเต้นรออยู่
.
36. คำสาปแห่งความรู้ (Curse of knowledge):
เมื่อเรามีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากแล้ว เรามักคิดว่าคนอื่น ๆ ก็น่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนเรา เราจึงอธิบายอะไรไปโดยไม่ได้เริ่มจากพื้นฐาน หรือข้ามขั้นตอนสำคัญไป เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะพอเข้าใจอยู่แล้ว แต่จริง ๆ แล้ว อีกฝ่ายอาจงงและตามไม่ทันเลยก็ได้ ปัญหานี้มักพบบ่อยในการสอนหรือการนำเสนอ ที่ผู้พูดมีความรู้มากจนเกินไป การรู้จักปรับระดับการอธิบายให้เหมาะสมกับผู้ฟัง จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเราอาจต้องหยุดคิดเสมอว่า "ถ้าผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมอยากให้มีคนอธิบายกับผมแบบไหน" แล้วลองปรับคำพูดของตัวเองตามนั้น
.
37. ภาพลวงตาของค่าเฉลี่ย (Illusion of averages):
เรามักหลงเชื่อว่าค่าเฉลี่ยคือตัวแทนของความเป็นจริงทั้งหมด เช่น เมื่อได้ยินว่าเงินเดือนเฉลี่ยของคนในบริษัทคือ 30,000 บาท เรามักคิดว่าพนักงานส่วนใหญ่น่าจะได้เงินเดือนใกล้เคียงตัวเลขนี้ แต่ความจริงอาจเป็นไปได้ว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่ได้เงินเดือนสูงมาก ๆ จนทำให้ค่าเฉลี่ยดูสูงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่คนส่วนใหญ่ได้เงินเดือนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก การมองแค่ผิวเผินเช่นนี้ อาจทำให้เราเข้าใจผิดและตัดสินใจผิดพลาดได้ วิธีแก้ไขคือ ต้องพยายามขุดลึกลงไปในรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ เช่น ลองดูการกระจายตัวของข้อมูล ค่ามัธยฐาน หรือค่าฐานนิยม เพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
.
38. ผลกระทบจากการให้ (Endowment effect):
เรามีแนวโน้มที่จะให้คุณค่ากับสิ่งของที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน มากกว่าสิ่งของชิ้นเดียวกันที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ กล่าวคือ เรามักจะตั้งราคาขายของเราแพงเกินจริง เพียงเพราะเรารู้สึกผูกพันกับมันมากเป็นพิเศษ ความหวงแหนเช่นนี้ อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะขายของได้ในราคาที่เหมาะสม หรือพลาดโอกาสที่จะปล่อยของบางอย่างทิ้งไป เพื่อแลกกับสิ่งที่ดีกว่า เราอาจต้องลองถามความเห็นคนรอบข้าง เพื่อประเมินราคาของสิ่งของเราอย่างยุติธรรม และบางครั้งเราอาจต้องฝืนใจยอมแยกกับสิ่งเก่า เพื่อไปพบกับสิ่งใหม่ที่ดีและเหมาะสมกว่า
.
========================
.
โดยสรุป จากกับดักทางจิตวิทยาทั้ง 38 ข้อข้างต้นจะเห็นได้ว่า สมองของเรามักทำงานแบบลัดขั้นตอน โดยอาศัยการคาดเดา สัญชาตญาณ และอารมณ์ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสคิดและตัดสินใจผิดพลาดได้บ่อยครั้ง การรู้เท่าทันกับดักเหล่านี้ จะช่วยให้เราชะลอการตัดสินใจ และหันมาคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น รวมถึงปรึกษาความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญหรือข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้การตัดสินใจของเรามีความแม่นยำและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม การนำความคิดเชิงระบบมาใช้ตลอดเวลา ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะบางครั้งเราก็ต้องอาศัยสัญชาตญาณและความรู้สึกส่วนตัวในการดำเนินชีวิตเช่นกัน สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรคิดแบบไหน และรู้จักสร้างสมดุลระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ให้ลงตัว
.
.
.
.
#SuccessStrategies
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.