The Sports Gene: Inside the Science of Extraordinary Athletic Performance ทัวร์วิทยาศาสตร์การกีฬาสุดมันส์กับศาสตราจารย์ David Epstein
The Sports Gene: Inside the Science of Extraordinary Athletic Performance ทัวร์วิทยาศาสตร์การกีฬาสุดมันส์กับศาสตราจารย์ David Epstein
.
มนุษย์หลงใหลในความสามารถพิเศษมาตั้งแต่โบราณ เราสร้างตำนาน เล่าขาน และพยายามไขความลับว่าอะไรทำให้บางคน "พิเศษ" กว่าคนอื่น โดยเฉพาะในวงการกีฬา ที่ความแตกต่างระหว่าง "คนธรรมดา" กับ "ยอดมนุษย์" ชัดเจนจนน่าตกใจ
.
แต่ในยุคที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า เราเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราเรียกว่า "พรสวรรค์" นั้นซับซ้อนกว่าที่คิดมาก Professor David Epstein นักวิทยาศาสตร์การกีฬาผู้อุทิศเวลากว่าสองทศวรรษให้กับการศึกษาเรื่องนี้ ได้รวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ท้าทายความเชื่อดั้งเดิมและเผยให้เห็นความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับขีดความสามารถของร่างกายมนุษย์
.
.
--------------------------------------------
.
[ ทัวร์วิทยาศาสตร์การกีฬาสุดมันส์กับศาสตราจารย์ David Epstein ]
.
"สวัสดีครับเด็กๆ!" เสียงกึกก้องดังขึ้นที่หน้าห้องเรียน ทำเอานักศึกษาที่กำลังสัปหงกสะดุ้งตื่น ศาสตราจารย์ David Epstein ในเสื้อกาวน์ที่ปักโลโก้ว่า D N A กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่หน้าห้อง
.
"วันนี้พวกเราจะไปทัวร์สนามกีฬากัน! เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้นักกีฬาเจ๋งขนาดนี้"
.
------------------------------------------
.
[ จุดแรก: สนามเบสบอล When Human Brains Predict The Future ]
.
.
"ดูตรงนั้นสิ!" Epstein ชี้ไปที่นักเบสบอลที่กำลังเผชิญหน้ากับลูกเบสบอลความเร็ว 95 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะที่นักศึกษาทั้งหมดเบียดกันดูจากที่นั่งบนอัฒจันทร์
.
"ทุกคนคิดว่านักกีฬาระดับโลกอย่าง Albert Pujols มีพรสวรรค์ในการตอบสนองเร็วกว่าคนทั่วไป แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย! "
.
เขาหยิบนาฬิกาจับเวลาออกมา "ลูกเบสบอลใช้เวลาแค่ 400 มิลลิวินาทีในการเดินทางจากมือ pitcher ถึงหน้าเพลท และครึ่งหนึ่งของเวลานั้นถูกใช้ไปกับการส่งสัญญาณประสาทเพื่อสั่งกล้ามเนื้อ นั่นหมายความว่านักกีฬาต้องตัดสินใจว่าจะตีหรือไม่ตีตั้งแต่ลูกบอลเพิ่งออกจากมือ pitcher!"
.
"แล้วรู้มั้ยว่าช่วงเวลาที่ไม้เบสบอลจะตีโดนลูกมีแค่ 5 มิลลิวินาทีเท่านั้น! การบอกให้ 'จับตาดูลูกบอล' เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมนุษย์ เพราะระบบการมองเห็นของเราช้าเกินไป"
.
"ผมไม่เข้าใจครับ" นักศึกษาคนหนึ่งยกมือ "ถ้างั้นพวกเขาตีได้ยังไง?"
.
Epstein ยิ้มกว้าง "นี่แหละที่น่าสนใจ! สมองของพวกเขาเรียนรู้ที่จะ 'อ่าน' ร่างกายของ pitcher พวกเขาไม่ได้ทำตามลูกบอล แต่ทำนายว่าลูกจะไปทางไหน จากการสังเกตท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของ pitcher"
.
"แต่!" เขาชูนิ้ว "เมื่อให้นักเบสบอลเหล่านี้เจอกับ softball ที่ช้ากว่า ความแม่นยำกลับตกลงอย่างน่าใจหาย เพราะการคาดเดาที่ฝึกมาใช้ไม่ได้กับความเร็วที่ต่างกัน เหมือนคนที่ชินกับการจับมือถือที่ตกด้วยความเร็วปกติ พอมีคนโยนช้าๆ กลับพลาดซะงั้น! "
.
3 ข้อคิดจากสนามเบสบอล:
.
1. ปฏิกิริยาที่เราเห็นว่า "เร็วเหนือมนุษย์" อาจไม่ใช่เรื่องของความเร็ว แต่เป็นเรื่องของการคาดการณ์ที่แม่นยำ
.
2. สมองมนุษย์มีข้อจำกัดทางกายภาพ แต่สามารถพัฒนากลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้นได้
.
3. การฝึกฝนที่เชี่ยวชาญในสถานการณ์หนึ่ง อาจไม่สามารถถ่ายโอนไปยังสถานการณ์ที่ดูคล้ายกันแต่ต่างกันในรายละเอียด
.
.
----------------------------------------
.
[ จุดที่สอง: ห้องทดลองการรับรู้ Speed Vision ]
.
.
Epstein พาพวกเราเข้าไปในห้องแล็บที่มีจอภาพขนาดใหญ่ติดอยู่รอบห้อง "รู้มั้ยว่านักวิทยาศาสตร์พยายามหาความลับของนักกีฬาระดับโลกมา 40 ปีแล้ว?"
.
เขาเปิดวิดีโอการทดสอบเวลาปฏิกิริยา "ตอนแรกเราคิดว่ามันเป็นเรื่องของความเร็วในการตอบสนอง แต่ผลออกมาน่าตกใจมาก - นักกีฬาระดับโลกมีเวลาตอบสนองไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย!"
.
"แล้วอะไรทำให้พวกเขาพิเศษล่ะคะ?" นักศึกษาสาวถาม
.
"นี่ไง!" เขากดเปิด occlusion test "การทดสอบนี้จะฉายภาพการเล่นกีฬาแค่เสี้ยววินาที แล้วให้ผู้ทดสอบทายว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ"
.
เขาฉายวิดีโอสลับไปมาระหว่างนักกีฬามือใหม่กับมืออาชีพ "สังเกตให้ดี - นักกีฬาระดับโลกสามารถ 'อ่าน' สถานการณ์ได้จากภาพที่เห็นแค่แวบเดียว ในขณะที่มือสมัครเล่นต้องดูนานกว่าถึงจะเข้าใจ "
.
"เหมือนแกรนด์มาสเตอร์หมากรุกเลยครับ!" นักศึกษาคนหนึ่งอุทาน
.
"ถูกต้อง! " Epstein ตบมือ "ในการทดลองหนึ่ง แกรนด์มาสเตอร์สามารถจำตำแหน่งหมากรุกทั้งกระดานได้หลังจากเห็นแค่ 3 วินาที ในขณะที่นักเล่นทั่วไปต้องใช้เวลา 15 นาทียังจำไม่ได้ครบ นี่ไม่ใช่เพราะความจำดีกว่า แต่เป็นเพราะพวกเขา 'เห็น' รูปแบบที่คนทั่วไปมองไม่เห็น"
.
"แถมยังพบว่านักกีฬามืออาชีพมีการเคลื่อนไหวดวงตาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า" เขาชี้ไปที่กราฟการเคลื่อนไหวของดวงตา "พวกเขารู้ว่าต้องมองจุดไหน นานแค่ไหน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ เหมือนการอ่านหนังสือของคนที่อ่านเก่งกับอ่านช้าไงล่ะ"
.
3 ข้อคิดจากห้องทดลอง:
.
1. ความเชี่ยวชาญไม่ได้อยู่ที่การตอบสนองเร็วขึ้น แต่อยู่ที่การรู้ว่าต้องตอบสนองเมื่อไหร่
.
2. สมองสามารถฝึกให้เห็นรูปแบบที่ซับซ้อนได้ เหมือนการอ่านหนังสือที่จากตัวอักษรกลายเป็นคำและประโยค
.
3. การมองที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการเห็นทุกอย่าง แต่คือการเห็นสิ่งที่สำคัญ
.
.
-----------------------------------
.
[ จุดที่สาม: ลู่วิ่ง The 10,000 Hours Myth ]
.
.
"มาถึงประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในวงการกีฬา!" Epstein พาเราไปที่ลู่วิ่ง พลางชี้ไปที่นาฬิกาจับเวลาขนาดใหญ่ "กฎ 10,000 ชั่วโมง - ทฤษฎีที่บอกว่าใครก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ถ้าฝึกฝนอย่างถูกวิธี 10,000 ชั่วโมง"
.
"และนี่คือ Dan McLaughlin" เขาฉายภาพชายหนุ่มกำลังตีกอล์ฟ "เขาตัดสินใจพิสูจน์ทฤษฎีนี้ด้วยการเริ่มเล่นกอล์ฟจากศูนย์ โดยตั้งเป้าฝึก 10,000 ชั่วโมงเพื่อเข้า PGA Tour"
.
"แต่!" Epstein ยกนิ้ว "การศึกษาเรื่องหมากรุกพบว่านักกีฬาบางคนใช้เวลาแค่ 3,000 ชั่วโมงก็ได้ระดับมาสเตอร์ ในขณะที่บางคนฝึกมา 23,000 ชั่วโมงแล้วยังไม่ถึง! "
.
"แล้วนี่คือตัวอย่างที่น่าทึ่งที่สุด" เขาฉายภาพนักกระโดดสูงสองคน "Stefan Holm ฝึกมา 25 ปี แต่กลับแพ้ให้กับ Donald Thomas ที่เพิ่งฝึกกระโดดสูงมาแค่ 8 เดือน! "
.
"แล้วอะไรทำให้ต่างกันขนาดนี้ครับ?" นักศึกษาถาม
.
"Donald เคยเล่นบาสเกตบอลมาก่อน" Epstein อธิบาย "เขาสั่งสมทักษะการกระโดดมาตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่ใช่เพื่อกระโดดสูงโดยตรง แต่ร่างกายและสมองของเขาคุ้นเคยกับการกระโดดอยู่แล้ว"
.
"นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการให้เด็กเล่นกีฬาหลากหลายอาจดีกว่าการบังคับให้เชี่ยวชาญอย่างเดียวตั้งแต่เด็ก "
.
3 ข้อคิดจากลู่วิ่ง:
.
1. ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการสร้างความเชี่ยวชาญ แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน
.
2. ทักษะที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอาจเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ
.
3. การฝึกฝนสำคัญ แต่ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมีจุดเริ่มต้นและเส้นทางที่ต่างกัน
.
.
-------------------------------------
.
[ จุดที่สี่: ห้องปฏิบัติการพันธุกรรม Evolution of Human Velocity ]
.
.
"ทีนี้มาถึงส่วนที่ซับซ้อนที่สุด" Epstein พาเราเข้าห้องที่มีโมเดล DNA ขนาดใหญ่แขวนอยู่ "บทบาทของพันธุกรรมในการกีฬา"
.
"ดูนี่สิ" เขาชี้ไปที่ภาพนักวิ่งชาวจาไมก้า "ทำไมนักวิ่งระยะสั้นที่เก่งที่สุดในโลกมักมาจากจาไมก้าล่ะ? คำตอบอยู่ในประวัติศาสตร์และพันธุกรรม"
.
เขาเล่าถึงทฤษฎีที่ว่าในยุคทาส คนที่แข็งแรงและเร็วที่สุดถูกส่งไปจาไมก้า "แต่นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือระบบค้นหาและพัฒนานักกีฬาของจาไมก้า ที่ทำให้เด็กทุกคนได้ลองวิ่ง"
.
"แล้วนี่คือเรื่องที่น่าสนใจ" เขาชี้ไปที่แผนภูมิเปรียบเทียบระดับฮีโมโกลบิน "คนผิวดำมีฮีโมโกลบินต่ำกว่าคนผิวขาวโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการวิวัฒนาการเพื่อต้านมาลาเรีย แต่ร่างกายชดเชยด้วยการมีสัดส่วนของกล้ามเนื้อประเภท fast-twitch สูงกว่า ทำให้เหมาะกับการวิ่งระยะสั้น! "
.
"แล้วนี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุดของพลังพันธุกรรม" เขาเล่าถึง Eero Mantyranta นักสกีชาวฟินแลนด์ที่มีการกลายพันธุ์ทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ "เขามีความได้เปรียบทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายขนส่งออกซิเจนได้ดีกว่าคนปกติ 25-50%!"
.
3 ข้อคิดจากห้องปฏิบัติการ:
.
1. พันธุกรรมมีผล แต่ไม่ใช่ตัวกำหนดทั้งหมด - สิ่งแวดล้อมและการฝึกฝนยังสำคัญ
.
2. การปรับตัวทางวิวัฒนาการอาจให้ทั้งข้อดีและข้อเสียในบริบทที่ต่างกัน
.
3. ความหลากหลายทางพันธุกรรมทำให้แต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน
.
.
---------------------------------
.
[ จุดที่ห้า: สนามฟุตบอล The Pitch Perfect ]
.
.
"มาดูผลการศึกษาที่น่าทึ่งกันครับ!" Epstein นำพวกเราไปที่สนามฟุตบอล ซึ่งมีนักฟุตบอลวัยรุ่นกำลังซ้อมอยู่ "นี่คือโครงการ Groningen talent studies ที่ติดตามนักฟุตบอลเยาวชนกว่าหมื่นคนเป็นเวลา 10 ปี"
.
"และรู้อะไรไหม?" เขาหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาแสดงกราฟ "ไม่มีเด็กคนไหนเลย... ที่พัฒนาจากช้าเป็นเร็วได้! "
.
เสียงฮือฮาดังขึ้นในกลุ่มนักศึกษา
.
"แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าการฝึกซ้อมไม่สำคัญนะ" เขารีบเสริม "แต่มันบอกเราว่าในกีฬาที่ต้องใช้ความเร็ว การมีพื้นฐานความเร็วตั้งแต่เด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก"
.
"แล้วนี่คือเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่า" เขาชี้ไปที่กลุ่มนักกีฬาที่กำลังยืดกล้ามเนื้อ "การศึกษาพบว่านักกีฬาที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ไม่ได้เชี่ยวชาญกีฬาของตัวเองตั้งแต่เด็ก พวกเขาเล่นกีฬาหลากหลายชนิดก่อน แล้วค่อยมาเชี่ยวชาญทีหลัง!"
.
"ทำไมล่ะครับ?" นักศึกษาถาม
.
"เพราะการเล่นกีฬาหลายชนิดช่วยพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ และป้องกันการเบื่อหน่าย" Epstein อธิบาย "Roger Federer เคยเล่นกีฬา 5 ชนิดก่อนมาเชี่ยวชาญเทนนิส!"
.
3 ข้อคิดจากสนามฟุตบอล:
.
1. คุณสมบัติพื้นฐานบางอย่าง เช่น ความเร็ว มีขีดจำกัดในการพัฒนา
.
2. การเชี่ยวชาญเร็วเกินไปอาจไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุดสู่ความสำเร็จ
.
3. ความหลากหลายในการฝึกซ้อมสร้างรากฐานที่แข็งแรงกว่า
.
.
------------------------------------
.
[ จุดที่หก: ห้องเวทเทรนนิ่ง The Muscle Code ]
.
.
"ทีนี้มาดูเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุด!" Epstein พาเราเข้าห้องเวท พลางชี้ไปที่ภาพเปรียบเทียบกล้ามเนื้อสองแบบ
.
"นี่คือกล้ามเนื้อแบบ slow-twitch และ fast-twitch" เขาอธิบาย "คนทั่วไปมีสัดส่วนกล้ามเนื้อ slow-twitch มากกว่าครึ่งเล็กน้อย แต่นักวิ่งระยะสั้นมีกล้ามเนื้อ fast-twitch ถึง 75%! "
.
"แล้วเราเปลี่ยนแปลงสัดส่วนนี้ได้ไหมครับ?" นักศึกษาถาม
.
"นั่นแหละคำถามสำคัญ!" Epstein ตอบ "ไม่มีการศึกษาไหนที่แสดงให้เห็นว่าการฝึกซ้อมสามารถเปลี่ยนสัดส่วนนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะฝึก 8 ชั่วโมงต่อวันก็ตาม"
.
"แต่!" เขายกนิ้ว "มีข่าวดี - เราพบยีนส์ที่เรียกว่า myostatin ที่ควบคุมการเติบโตของกล้ามเนื้อ บางคนมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้สร้างกล้ามเนื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป "
.
เขาเล่าถึงการทดลองที่น่าทึ่ง เมื่อนักวิทยาศาสตร์ให้คน 66 คนทำเวทเทรนนิ่งเหมือนกันทุกประการเป็นเวลา 4 เดือน "ผลลัพธ์น่าตกใจมาก - บางคนกล้ามเนื้อโตขึ้น 50% บางคนโตแค่ 25% และบางคน... ไม่โตเลย!"
.
3 ข้อคิดจากห้องเวท:
.
1. พันธุกรรมกำหนดชนิดของกล้ามเนื้อที่เรามี ซึ่งส่งผลต่อความถนัดในกีฬาแต่ละประเภท
.
2. การตอบสนองต่อการฝึกซ้อมแตกต่างกันมากในแต่ละคน
.
3. ความเข้าใจเรื่องพันธุกรรมช่วยให้เราวางแผนการฝึกซ้อมได้เหมาะสมกับตัวเอง
.
.
-------------------------------
.
[ จุดที่เจ็ด: สระว่ายน้ำ Body Evolution ]
.
.
"มาดูเรื่องที่น่าทึ่งกันต่อ!" Epstein พาพวกเราไปที่สระว่ายน้ำโอลิมปิก "รู้มั้ยว่าทำไมนักกีฬาแต่ละประเภทถึงมีรูปร่างแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ?"
.
เขาฉายภาพเปรียบเทียบนักกีฬาหลายประเภท "ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา รูปร่างของนักกีฬาแต่ละชนิดแยกออกจากกันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกาแล็กซี่ที่กำลังขยายตัว! "
.
"นักยิมนาสติกหญิงตัวเล็กลงจาก 5'3" เหลือ 4'9" ในขณะที่นักวอลเลย์บอลและนักพายเรือตัวใหญ่ขึ้น" เขาชี้ที่กราฟ "และที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงที่สูงกว่า 5'11" มีโอกาสเข้าชิงเหรียญโอลิมปิกมากกว่าคนที่ต่ำกว่า 5 ฟุตถึง 191 เท่า!"
.
"แล้วนี่คือทฤษฎีที่น่าสนใจมาก" เขาพาเราไปดูโครงกระดูกจำลอง "Dr. Holway เปรียบเทียบร่างกายเราเหมือนชั้นวางหนังสือ ถ้าคุณมีโครงกระดูกใหญ่กว่าเพียงนิดเดียว เมื่อเพิ่มกล้ามเนื้อเข้าไป น้ำหนักจะต่างกันมาก"
.
"จากการศึกษาพบว่า กระดูก 1 กิโลกรัมรับกล้ามเนื้อได้มากสุด 5 กิโลกรัม นี่คือข้อจำกัดทางธรรมชาติของเรา!"
.
3 ข้อคิดจากสระว่ายน้ำ:
.
1. วิวัฒนาการของกีฬาอาชีพนำไปสู่การคัดเลือกรูปร่างที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
.
2. โครงสร้างร่างกายเป็นตัวกำหนดขีดจำกัดในการพัฒนา
.
3. ความสำเร็จในกีฬาระดับสูงต้องการทั้งพรสวรรค์และการฝึกฝน
.
.
-------------------------------
.
[ จุดที่แปด: สนามบาสเกตบอล The Giant Factor ]
.
.
"และนี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของพรสวรรค์ทางร่างกาย!" Epstein นำเราเข้าสู่สนามบาสเกตบอล NBA
.
"68% ของผู้ชายอเมริกันมีส่วนสูงระหว่าง 5'7" ถึง 6'1"" เขาชี้ที่กราฟการกระจายตัว "แต่ความสูงเฉลี่ยของนักบาส NBA คือ 6'7"! มีผู้ชายอเมริกันแค่ 5% เท่านั้นที่สูงกว่า 6'3""
.
"แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าทึ่งที่สุด" เขายิ้มกว้าง "นักบาส NBA มีความยาวแขนเฉลี่ยยาวกว่าส่วนสูง 6.3% นั่นหมายความว่า นักบาสที่สูง 6'7" มักมีความยาวแขนถึง 7 ฟุต!"
.
"แม้แต่ผู้เล่นที่ถือว่า 'ตัวเล็ก' สำหรับตำแหน่งของเขา ก็มักมีแขนยาวชดเชย ทีม Miami Heat ถึงขั้นคัดเลือกผู้เล่นจากความยาวแขนเลยทีเดียว!"
.
3 ข้อคิดจากสนามบาส:
.
1. บางกีฬามีข้อจำกัดทางกายภาพที่ชัดเจน
.
2. สถิติไม่ได้โกหก แต่ต้องรู้จักตีความให้ถูก
.
3. แม้จะมีข้อจำกัด แต่ร่างกายก็มักหาทางชดเชยเสมอ
.
.
------------------------------
.
[ จุดที่เก้า: ศูนย์วิจัยความเจ็บปวด Pain Masters ]
.
.
"ทีนี้มาถึงเรื่องที่น่ากลัวที่สุด!" Epstein พาเราเข้าห้องที่มีภาพสแกนสมองติดอยู่เต็มผนัง "ความเจ็บปวดในกีฬา และทำไมนักกีฬาบางคนทนได้มากกว่าคนอื่น"
.
"ดูนี่สิ" เขาชี้ไปที่ภาพสแกนสมองสีสันสดใส "นักวิทยาศาสตร์ที่ McGill University ค้นพบว่าความทนต่อความเจ็บปวดมีองค์ประกอบทางพันธุกรรม! "
.
"แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นคือ" เขากดรีโมทเปลี่ยนภาพ "มีคนที่เกิดมาพร้อมภาวะที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย คุณคิดว่านี่เป็นพรสวรรค์ไหม?"
.
"น่าจะดีนะครับ ไม่ต้องกลัวเจ็บ" นักศึกษาคนหนึ่งตอบ
.
"กลับกันเลย!" Epstein ตอบ "คนที่มีภาวะนี้มักมีอายุสั้น เพราะร่างกายไม่มีสัญญาณเตือนภัย พวกเขาอาจนั่งทับขาตัวเองจนเป็นแผลกดทับโดยไม่รู้ตัว "
.
"ความเจ็บปวดเป็นทั้งเรื่องของยีนส์และการเรียนรู้" เขาอธิบาย "ในภาวะเครียด สมองจะหลั่งสารที่ระงับความเจ็บปวด นี่คือเหตุผลที่นักกีฬาบางคนเล่นต่อได้แม้บาดเจ็บ แต่พอหมดแมตช์ถึงรู้สึกเจ็บ"
.
3 ข้อคิดจากศูนย์วิจัยความเจ็บปวด:
.
1. ความเจ็บปวดเป็นกลไกป้องกันที่สำคัญของร่างกาย
.
2. พันธุกรรมมีผลต่อความทนเจ็บ แต่จิตใจก็มีส่วนสำคัญ
.
3. การฝึกจิตใจให้เข้มแข็งสำคัญพอๆ กับการฝึกร่างกาย
.
.
-------------------------------
.
[ จุดที่สิบ: ห้องทดลองความทนทาน The Running High ]
.
.
"มาดูการทดลองที่น่าทึ่งที่สุด!" Epstein พาเราเข้าห้องที่มีกรงหนูทดลองวางเรียงราย "รู้มั้ยว่าความขยันในการออกกำลังกายอาจมาจากพันธุกรรม?"
.
"Dr. Garland ทำการทดลองโดยให้หนูวิ่งบนล้อตามใจชอบ" เขาชี้ไปที่ล้อวิ่งขนาดจิ๋ว "หนูปกติวิ่ง 3-4 ไมล์ต่อคืน แต่เมื่อเขาคัดเลือกพันธุ์หนูที่ชอบวิ่งมาผสมพันธุ์กัน ลูกหลานรุ่นที่ 16 วิ่งถึง 7 ไมล์ต่อคืน! "
.
"แถมเมื่อไม่ให้หนูเหล่านี้วิ่ง พวกมันจะแสดงอาการกระวนกระวายเหมือนคนติดยา! สมองของพวกมันต้องการการออกกำลังกายเพื่อให้รู้สึกเป็นปกติ"
.
"เหมือนคนที่ติดการออกกำลังกายเลยครับ" นักศึกษาหัวเราะ
.
"ใช่!" Epstein พยักหน้า "และนี่อาจอธิบายว่าทำไมบางคนถึงรักการออกกำลังกายมาก ในขณะที่บางคนต้องฝืนใจทุกครั้ง"
.
3 ข้อคิดจากห้องทดลองความทนทาน:
.
1. แรงจูงใจในการออกกำลังกายอาจมีพื้นฐานมาจากพันธุกรรม
.
2. การติดการออกกำลังกายเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองจริงๆ
.
3. เข้าใจตัวเองจะช่วยให้เราหาวิธีออกกำลังกายที่เหมาะกับเรา
.
.
----------------------------------
.
[ จุดที่สิบเอ็ด: โรงยิมนักวิ่งจาไมก้า The Jamaican Speed Dynasty ]
.
.
"มาถึงเรื่องที่น่าสนใจที่สุด!" Epstein พาเราเข้าห้องที่ตกแต่งด้วยธงจาไมก้าและภาพนักวิ่งระดับตำนาน "ทำไมนักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลกมักมาจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้?"
.
"Dr. Pitsiladis ใช้เวลา 10 ปีศึกษาเรื่องนี้" เขาชี้ไปที่แผนที่จาไมก้า "และพบว่าคำตอบซับซ้อนกว่าที่คิด"
.
"หนึ่ง มีทฤษฎีว่าในยุคทาส คนที่แข็งแรงและเร็วที่สุดถูกส่งมาที่นี่ โดยเฉพาะในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ ซึ่งเป็นที่มาของนักวิ่งโอลิมปิกหลายคน "
.
"สอง จาไมก้ามีระบบค้นหานักกีฬาที่เข้มข้นมาก" เขาฉายภาพการแข่งขันวิ่งระดับเยาวชน "ทุกโรงเรียนจัดการแข่งขันวิ่ง โค้ชจะคอยมองหาเด็กที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่อายุน้อย"
.
"สาม พวกเขามีระบบพัฒนานักกีฬาที่ยอดเยี่ยม แม้แต่ Usain Bolt ก็เริ่มจากการเล่นคริกเก็ต ก่อนที่โค้ชจะเห็นพรสวรรค์ด้านความเร็วของเขา!"
.
"แต่!" เขายกนิ้ว "นี่คือเรื่องที่น่าสนใจที่สุด - คนจาไมก้ามีระดับฮีโมโกลบินต่ำกว่าคนผิวขาวโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อต้านมาลาเรีย แต่ร่างกายชดเชยด้วยการมีกล้ามเนื้อ fast-twitch มากกว่า!"
.
3 ข้อคิดจากโรงยิมจาไมก้า:
.
1. ความสำเร็จมาจากหลายปัจจัยทั้งประวัติศาสตร์ พันธุกรรม และระบบพัฒนานักกีฬา
.
2. ข้อเสียบางอย่างอาจกลายเป็นข้อดีในบริบทที่ต่างกัน
.
3. ระบบค้นหาและพัฒนาพรสวรรค์สำคัญพอๆ กับตัวพรสวรรค์เอง
.
.
-----------------------------
.
[ จุดที่สิบสอง: ที่ราบสูง Highland Warriors ]
.
.
"และนี่คือปริศนาที่น่าสนใจที่สุด!" Epstein พาเราไปที่ห้องจำลองสภาพแวดล้อมที่ราบสูง "ทำไมชาว Kalenjin จากเคนยาถึงครองแชมป์วิ่งมาราธอนมากมาย?"
.
"ลองดูตัวเลขนี้" เขาชี้ที่สถิติ "มีนักวิ่งอเมริกันเพียง 17 คนในประวัติศาสตร์ที่วิ่งมาราธอนได้เร็วกว่า 2 ชั่วโมง 10 นาที แต่ในเดือนตุลาคม 2011 เดือนเดียว มีชาว Kalenjin ทำได้ถึง 32 คน! "
.
"ความลับอยู่ที่การเติบโตในที่สูง" เขาอธิบายพลางชี้ไปที่แบบจำลองปอด "การเกิดและเติบโตในที่สูงทำให้มีปอดใหญ่กว่าปกติ และร่างกายขนส่งออกซิเจนได้ดีกว่า"
.
"แถมพวกเขายังมีขาที่เรียวยาวและบางกว่าคนยุโรป ซึ่งประหยัดพลังงานในการวิ่งถึง 8% ต่อกิโลเมตร! "
.
3 ข้อคิดจากที่ราบสูง:
.
1. สภาพแวดล้อมมีผลต่อการพัฒนาร่างกายตั้งแต่วัยเด็ก
.
2. ความได้เปรียบเล็กๆ เมื่อสะสมระยะทางไกลจะกลายเป็นความได้เปรียบที่ใหญ่มาก
.
3. ความสำเร็จมักมาจากการผสมผสานระหว่างพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมที่ลงตัว
.
.
--------------------------------
.
[ จุดที่สิบสาม: คลินิกตรวจพันธุกรรม Beyond DNA ]
.
.
"มาถึงจุดสำคัญ!" Epstein พาเราเข้าห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องวิเคราะห์ DNA "หลายคนคิดว่าถ้าเราตรวจพันธุกรรม เราจะรู้ว่าเด็กคนไหนจะเป็นนักกีฬาเก่ง แต่ความจริงซับซ้อนกว่านั้นมาก"
.
"ดูนี่" เขาชี้ไปที่ผลการวิเคราะห์ยีน ACTN3 ที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว "แม้คุณจะมียีนส์นี้ มันก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะเป็นนักวิ่งระดับโอลิมปิกได้ "
.
"เหมือนการเดาภาพจิ๊กซอว์จากชิ้นส่วนเดียว!" เขายกตัวอย่าง "Dr. Carl Foster บอกว่า การใช้พันธุกรรมทำนายความเร็วก็เหมือนใช้ DNA วัดส่วนสูง ทั้งที่เราแค่ใช้ไม้วัดก็ได้!"
.
"แต่นี่คือเรื่องที่น่าสนใจ" เขาชี้ไปที่ผลวิจัยของ HERITAGE Family Study "พวกเขาพบยีนส์ 21 ตัวที่ทำนายว่าใครจะตอบสนองต่อการฝึกซ้อมได้ดี คนที่มียีนส์ที่ 'เหมาะสม' 19 ตัวขึ้นไป พัฒนาความทนทานได้ดีกว่าคนที่มีน้อยกว่า 10 ตัวถึง 3 เท่า!"
.
3 ข้อคิดจากคลินิกตรวจพันธุกรรม:
.
1. ยีนส์เดียวไม่สามารถทำนายความสำเร็จได้
.
2. พันธุกรรมอาจบอกได้ว่าใครจะพัฒนาได้เร็วกว่า แต่ไม่ได้การันตีความสำเร็จ
.
3. การทดสอบภาคสนามยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาพรสวรรค์
.
.
-----------------------------
.
[ บทส่งท้าย ]
.
.
"และนี่คือบทเรียนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด" Epstein พาเราเข้าห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือและภาพถ่ายนักกีฬาระดับตำนาน
.
"ทุกคนมีพันธุกรรมที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น..." เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา "สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดของแต่ละคนก็ต้องไม่เหมือนกันด้วย"
.
Epstein ยิ้ม "ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมีพรสวรรค์แค่ไหน แต่อยู่ที่คุณรู้จักและเข้าใจตัวเองดีแค่ไหน แล้วพัฒนาตัวเองอย่างถูกทาง"
.
"แล้วถ้าใครยังหาพรสวรรค์ตัวเองไม่เจอ..." เขายิ้มกว้าง "ก็แวะมาคุยกับผมได้ เดี๋ยวช่วยหา... หรือไม่ก็นั่งหาไปด้วยกัน! "
.
เสียงหัวเราะดังไปทั่วห้อง ขณะที่ Professor Epstein โบกมือลาด้วยท่าทางสบายๆ และเดินออกจากห้องไปพร้อมกับท่าเต้นสุดฮา
.
และนั่นคือการจบทัวร์ที่จะตราตรึงในความทรงจำของนักศึกษาทุกคน... อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงสอบปลายภาค!
.
.
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.