บทสรุปหนังสือ Principles for Dealing with the Changing World Order เขียนโดย Ray Dalio
บทสรุปหนังสือ Principles for Dealing with the Changing World Order เขียนโดย Ray Dalio
.
หนังสือเล่มนี้คือการศึกษาวิเคราะห์วัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกผ่านมุมมองทางประวัติศาสตร์ย้อนหลัง 500 ปี
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เพจ Success Strategies
.
.
1.
"History shows that we are in the midst of a classic big cycle that will profoundly affect everyone's lives."
.
Ray Dalio เริ่มต้นหนังสือด้วยการพาผู้อ่านย้อนกลับไปในปี 1971 ขณะที่เขาเป็นเพียงเด็กฝึกงานวัย 22 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ในคืนวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม เขาได้รับชมการประกาศทางโทรทัศน์ของประธานาธิบดีนิกสันที่ประกาศยกเลิกการผูกดอลลาร์กับทองคำ ซึ่งเป็นการยุติระบบเบรตตันวูดส์ที่ใช้มานานกว่า 25 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้ Dalio ตระหนักว่าระบบการเงินที่ดูมั่นคงสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน
.
.
2.
ประสบการณ์ครั้งนั้นผลักดันให้ Dalio ศึกษาประวัติศาสตร์การเงินและเศรษฐกิจย้อนหลังไปกว่า 500 ปี เขาค้นพบว่าเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์มักเกิดซ้ำด้วยรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน เช่น การล่มสลายของระบบการเงินในปี 1933 ภายใต้ประธานาธิบดีรูสเวลต์ก็มีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ในปี 1971 การศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งทำให้เขาสามารถมองเห็นรูปแบบและเข้าใจกลไกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
.
.
3.
ในช่วงปี 2008-2009 Dalio เริ่มสังเกตเห็นปรากฏการณ์สำคัญสามประการที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
.
- ประการแรกคือการที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกลดต่ำลงจนเกือบศูนย์หรือติดลบ ในขณะที่ระดับหนี้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์นี้จำกัดความสามารถของธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินแบบดั้งเดิม
.
- ประการที่สองคือช่องว่างความมั่งคั่งที่ขยายกว้างขึ้นอย่างมากระหว่างคนรวยและคนจน นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมที่รุนแรงขึ้น
.
- ประการที่สามคือการผงาดขึ้นของจีนในฐานะมหาอำนาจที่ท้าทายสหรัฐอเมริกาซึ่งกำลังเผชิญปัญหาการขยายอำนาจเกินตัว
.
.
============================
.
4.
ประเด็นของหนังสือเล่มนี้
การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้ Dalio พบว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่มักเกิดขึ้นทุก 50-100 ปี เมื่อวัฏจักรหนี้ระยะยาวสิ้นสุดลง สถานการณ์ปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับช่วงปี 1930-1945 อย่างน่าตกใจ ทั้งในแง่ของวิกฤตการเงิน การพิมพ์เงิน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ การเข้าใจบทเรียนจากประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
.
=============================
.
5.
วัฏจักรใหญ่และกลไกการเปลี่ยนแปลง
"Throughout history the same things happen over and over again for the same reasons."
.
Dalio อธิบายว่าวัฏจักรประวัติศาสตร์ดำเนินไปตามรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน โดยเริ่มต้นจากการสถาปนาระเบียบโลกใหม่หลังความขัดแย้งครั้งใหญ่ เช่น การประชุมเวียนนาในปี 1815 หลังสงครามนโปเลียน สนธิสัญญาแวร์ซายในปี 1919 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และข้อตกลงเบรตตันวูดส์ในปี 1944 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในแต่ละครั้ง ประเทศผู้ชนะจะร่วมกันกำหนดกติกาใหม่ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการเงินระหว่างประเทศ
.
.
6.
หลังจากระเบียบใหม่ถูกสถาปนา โลกจะเข้าสู่ช่วงสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง เช่น ยุคทองของดัตช์ในศตวรรษที่ 17 Pax Britannica ในศตวรรษที่ 19 และ Pax Americana หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงนี้เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างมั่นคง มีการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี การค้าระหว่างประเทศขยายตัว และมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา ประเทศต่างๆ สามารถกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
.
7.
อย่างไรก็ตาม ความเจริญรุ่งเรืองมักนำไปสู่การใช้จ่ายและการกู้ยืมที่มากเกินไป เกิดการเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์จนกลายเป็นฟองสบู่ เช่น Tulip Mania ในเนเธอร์แลนด์ปี 1637 South Sea Bubble ในอังกฤษปี 1720 ตลาดหุ้นก่อน Great Depression ในปี 1929 Dot-com Bubble ในปี 2000 และวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 นอกจากนี้ ผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจมักกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มน้อย ทำให้ช่องว่างความมั่งคั่งขยายกว้างขึ้น
.
.
8.
เมื่อฟองสบู่แตกและวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น จะเกิดลูกโซ่ของปัญหาต่างๆ ทั้งธุรกิจล้มละลาย การว่างงานพุ่งสูง หนี้เสียในระบบการเงินเพิ่มขึ้น และความไม่พอใจทางสังคมรุนแรงขึ้น รัฐบาลและธนาคารกลางมักตอบสนองด้วยการอัดฉีดสภาพคล่อง ลดอัตราดอกเบี้ย และพิมพ์เงิน แต่มาตรการเหล่านี้อาจนำไปสู่ปัญหาใหม่ เช่น เงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงิน
.
.
9.
นอกจากนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแอและความเหลื่อมล้ำสูง มักเกิดความขัดแย้งทางการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมีมหาอำนาจใหม่ท้าทายระเบียบโลกที่ดำรงอยู่ ความขัดแย้งเหล่านี้อาจนำไปสู่การปฏิวัติหรือสงคราม ซึ่งจะนำมาสู่การจัดระเบียบโลกใหม่และเริ่มต้นวัฏจักรรอบใหม่อีกครั้ง
.
.
=========================
.
.
10.
บทบาทของเงินและระบบการเงิน
.
"Money is the most important invention in the history of economic progress and the leading cause of its volatility." Dalio เน้นย้ำถึงความสำคัญของเงินและระบบการเงินในฐานะตัวขับเคลื่อนหลักของวัฏจักรประวัติศาสตร์ โดยอธิบายวิวัฒนาการของระบบการเงินผ่านสามยุคสำคัญ
.
- ยุคแรก คือยุคของ Hard Money ที่ใช้โลหะมีค่าเช่นทองคำและเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ระบบนี้มีเสถียรภาพสูงเพราะปริมาณเงินถูกจำกัดด้วยปริมาณโลหะที่มีอยู่ แต่ก็มีข้อจำกัดในแง่ความยืดหยุ่นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนทองคำหรือเงินอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจหดตัว
.
- ยุคที่สอง เป็นยุคของระบบธนบัตรที่แลกเปลี่ยนเป็น Hard Money ได้ เมื่อธนาคารเริ่มออกใบรับฝากทองคำหรือเงินที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ระบบนี้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงเมื่อธนาคารออกธนบัตรมากเกินกว่าปริมาณโลหะมีค่าที่สำรองไว้ นำไปสู่วิกฤตการเงินเมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่นและแห่มาไถ่ถอนพร้อมกัน
.
- ยุคที่สาม คือยุคของ Fiat Money หรือเงินที่ไม่มีสิ่งค้ำประกัน มูลค่าขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นในรัฐบาลและธนาคารกลาง ระบบนี้มีความยืดหยุ่นสูงสุด รัฐบาลสามารถพิมพ์เงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมค่าของเงินหากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง
.
.
11.
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าทุกสกุลเงินท้ายที่สุดจะถูกลดค่าหรือหายไป จากการศึกษาสกุลเงินกว่า 750 สกุลที่เคยมีมาตั้งแต่ปี 1700 เหลือรอดมาถึงปัจจุบันเพียง 20% และทั้งหมดล้วนถูกลดค่าลง การลดค่าเงินมักเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลมีภาระหนี้สูงและเลือกที่จะพิมพ์เงินเพื่อชำระหนี้แทนการขึ้นภาษีหรือลดรายจ่าย
.
.
12.
นอกจากนี้ ระบบการเงินระหว่างประเทศยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดระเบียบโลก โดยเฉพาะสถานะของสกุลเงินสำรอง (Reserve Currency) ซึ่งมักเป็นของมหาอำนาจนำในแต่ละยุค เช่น กิลเดอร์ของดัตช์ในศตวรรษที่ 17 ปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษในศตวรรษที่ 19 และดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน การมีสกุลเงินสำรองให้อภิสิทธิ์พิเศษแก่ประเทศผู้ออก แต่ก็มาพร้อมกับ "ภาระพิเศษ" ที่ต้องรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินโลก
.
.
===========================
.
13.
"The United States' dominance is declining while China's is rising, much like the British Empire's declined as American power rose in the early 20th century." Dalio ศึกษาการเปลี่ยนผ่านอำนาจในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะสามกรณีสำคัญที่ให้บทเรียนมีค่าสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
.
.
14.
จักรวรรดิดัตช์ในศตวรรษที่ 17 แสดงให้เห็นว่าการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการเงินสามารถทำให้ประเทศเล็กๆ ก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจได้ ดัตช์สร้างความได้เปรียบผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีการต่อเรือที่เหนือกว่า และการคิดค้นระบบทุนนิยมสมัยใหม่ผ่านตลาดหุ้นและบริษัท Dutch East India Company อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนำไปสู่ความประมาทและการใช้จ่ายเกินตัว เมื่อเผชิญการแข่งขันจากอังกฤษที่เข้มแข็งกว่า จักรวรรดิดัตช์ก็เสื่อมอำนาจลงอย่างรวดเร็ว
.
.
15.
- จักรวรรดิอังกฤษในศตวรรษที่ 19 เป็นตัวอย่างของการรวมพลังของนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (การปฏิวัติอุตสาหกรรม) การค้าระหว่างประเทศ และการขยายอาณานิคม ลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางการเงินโลก และปอนด์สเตอร์ลิงเป็นสกุลเงินสำรองที่สำคัญที่สุด แต่ภาระหนี้มหาศาลจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง ประกอบกับการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับสหรัฐอเมริกา ทำให้อังกฤษต้องสละตำแหน่งมหาอำนาจนำในที่สุด
.
.
16.
- จักรวรรดิอเมริกันในศตวรรษที่ 20 แสดงให้เห็นความสำคัญของการผสมผสานระหว่างพลังทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเงิน สหรัฐฯ ผงาดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการครอบครองทองคำส่วนใหญ่ของโลก ระบบเบรตตันวูดส์ทำให้ดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายมหาศาลทั้งด้านการทหารและสวัสดิการสังคม ("Guns and Butter") ในทศวรรษ 1960 นำไปสู่การยกเลิกมาตรฐานทองคำในปี 1971
.
.
17.
ปัจจุบัน จีนกำลังท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับที่สหรัฐฯ เคยท้าทายอังกฤษ จีนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยี การค้าระหว่างประเทศ และการทหาร แม้จะยังตามหลังในด้านการเงินระหว่างประเทศ แต่โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Belt and Road Initiative และความพยายามสร้างระบบชำระเงินทางเลือก แสดงให้เห็นความทะเยอทะยานที่จะท้าทายระเบียบโลกที่นำโดยสหรัฐฯ
.
.
=====================
.
18.
สถานการณ์ปัจจุบัน
"We are now in a situation that has parallels with the 1930-45 period." Dalio วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันว่ากำลังเผชิญความท้าทายสำคัญในหลายด้าน:
.
.
19.
ด้านการเงินและเศรษฐกิจ
หนี้ทั่วโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในรอบหลายร้อยปี ธนาคารกลางทั่วโลกต้องพึ่งมาตรการพิเศษเช่นการพิมพ์เงินและการซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing) ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยประคองเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว
.
.
20.
ความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งทางสังคม
ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนขยายกว้างที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930s นโยบายการเงินที่ผ่านมาเอื้อประโยชน์ต่อผู้ถือสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่าประชาชนทั่วไป นำไปสู่ความไม่พอใจทางสังคมและการเติบโตของแนวคิดประชานิยมและชาตินิยม ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงขึ้นทั้งภายในและระหว่างประเทศ
.
.
21.
การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ
จีนท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร สงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศอาจนำไปสู่การแยกตัวทางเศรษฐกิจ (Decoupling) และการแบ่งโลกเป็นสองขั้วอีกครั้ง
.
.
=========================
.
[ 10 ประโยคที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้ ]
.
.
1. "Central banks want to stretch the money and credit cycle to make it last for as long as they can because that is so much better than the alternative."
"ธนาคารกลางพยายามยืดวัฏจักรเงินและเครดิตให้ยาวนานที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะยังดีกว่าต้องเผชิญกับทางเลือกที่เลวร้ายกว่า"
.
.
2. "Anyone who wants to understand China needs to know the basics of China's roughly 4,000-year history, the many patterns that have repeated in it."
"ผู้ที่ต้องการเข้าใจจีนต้องเริ่มจากการศึกษาประวัติศาสตร์ 4,000 ปี และวัฏจักรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
.
.
3. "Unlike what most people intuitively think, there isn't a fixed amount of money and credit in existence. Money and credit can easily be created by governments."
"ต่างจากที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เงินและเครดิตไม่ได้มีปริมาณจำกัดตายตัว รัฐบาลสามารถสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดาย"
.
.
4. "Smart leaders typically only go into hot wars if there is no choice because the other side pushes them into the position of either fighting or losing by backing down."
"ผู้นำที่ฉลาดจะเลือกทำสงครามก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือก เมื่อถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่างการสู้หรือยอมแพ้"
.
.
5. "The less time people have to gain experiences, the more they have to rely on what they learned from history to imagine how things work."
"ยิ่งมีเวลาน้อยในการเรียนรู้จากประสบการณ์ ยิ่งต้องพึ่งพาบทเรียนจากประวัติศาสตร์เพื่อเข้าใจกลไกของโลก"
.
.
6. "Most people don't pay enough attention to their currency risks. Most worry about whether their assets are going up or down in value; they rarely worry about whether their currency is going up or down."
"คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจความเสี่ยงด้านค่าเงิน พวกเขากังวลแต่มูลค่าสินทรัพย์ขึ้นลง แต่แทบไม่เคยกังวลว่าค่าเงินจะแข็งหรืออ่อน"
.
.
7. "Having a reserve currency is great while it lasts because it gives the country exceptional borrowing and spending power but also sows the seeds of it ceasing to be a reserve currency."
"การมีสกุลเงินสำรองนั้นยอดเยี่ยมตราบเท่าที่มันยังอยู่ เพราะให้อำนาจในการกู้ยืมและใช้จ่ายมหาศาล แต่นั่นก็คือเมล็ดพันธุ์แห่งการสิ้นสุดสถานะสกุลเงินสำรอง"
.
.
8. "The biggest problem that we collectively now have is that for many people, companies, nonprofit organizations, and governments the incomes are low in relation to the expenses."
"ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เราเผชิญร่วมกันคือ ทั้งคน บริษัท องค์กรไม่แสวงหากำไร และรัฐบาล มีรายได้ต่ำเมื่อเทียบกับรายจ่าย"
.
.
9. "If you don't understand how money and credit work, you can't understand the biggest driver of politics within and between countries."
"หากไม่เข้าใจกลไกของเงินและเครดิต ก็ไม่อาจเข้าใจแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ"
.
.
10. "Economics and politics have swings between the left and the right in varying extremes as the excesses of each become intolerable and the memories of the problems of the other fade."
"เศรษฐกิจและการเมืองแกว่งไกวระหว่างซ้ายและขวาสุดโต่ง เมื่อความเกินเลยของฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหว และความทรงจำถึงปัญหาของอีกฝ่ายเลือนหาย"
.
.
========================
.
[ บทส่งท้าย ]
.
เมื่อคุณอ่านเนื้อหานี้จบ คุณอาจจะคิดว่า…
.
.
1. มันเป็นเรื่องของฉัน
.
การมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเราเป็นมุมมองที่สำคัญมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกที่ Dalio พูดถึงส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น:
.
- ผลกระทบต่อค่าเงินและเงินเฟ้อที่กระทบต่อค่าครองชีพ
- ความเสี่ยงต่อการลงทุนและเงินออม
- โอกาสและความท้าทายทางอาชีพในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
- ผลกระทบทางสังคมจากความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น
.
การเข้าใจวัฏจักรเหล่านี้จะช่วยให้เราวางแผนชีวิตและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
.
.
.
2. มันไม่ใช่เรื่องของฉัน
.
ในทางตรงกันข้าม การมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราก็มีเหตุผลเช่นกัน เพราะ:
.
- วัฏจักรเหล่านี้เป็นเรื่องระดับมหภาคที่เราควบคุมไม่ได้
- การเปลี่ยนแปลงใช้เวลานานหลายสิบปี อาจไม่ทันได้เห็นผลในชีวิตเรา
- มีปัจจัยอื่นๆ ในชีวิตที่เราควบคุมได้และส่งผลกระทบโดยตรงมากกว่า
- การกังวลมากเกินไปกับเรื่องระดับโลกอาจทำให้เราละเลยการพัฒนาตนเองในระดับจุลภาค
.
.
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะเลือกมุมมองใด สิ่งสำคัญคือ การเข้าใจภาพใหญ่เพื่อเตรียมพร้อมและปรับตัว แต่ไม่หมกมุ่นจนละเลยการพัฒนาตนเองและการใช้ชีวิตในปัจจุบัน วัฏจักรประวัติศาสตร์อาจกำหนดบริบทใหญ่ แต่เราทุกคนยังมีอิสระในการเลือกและสร้างเส้นทางชีวิตของตัวเองภายใต้บริบทนั้น
.
.
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.