Think Faster, Talk Smarter: ฝึกศิลปะการพูดและคิดฉับไวไปกับ Matt Abrahams

Think Faster, Talk Smarter: ฝึกศิลปะการพูดและคิดฉับไวไปกับ Matt Abrahams
.
"เพราะคำพูดที่ใช่ในเวลาที่ถูก อาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล"
.
"ในห้องประชุมเงียบกริบ ทุกสายตาจ้องมองมาที่คุณ...
บอสเพิ่งถามความเห็นเรื่องโปรเจคสำคัญ
หัวใจเต้นตึกตัก สมองเหมือนโดนสาดน้ำแข็ง
แล้วคุณก็นึกถึงคำตอบเด็ดๆ ได้...
... ตอนนั่งรถกลับบ้าน"
.
นี่คือเรื่องราวของใครหลายคน... และอาจเป็นเรื่องราวของคุณ
.
หรือบางทีคุณอาจเคย...
.
- พลาดโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เพราะพรีเซนต์ไม่ปัง
- พลาดจีบคนที่ชอบ เพราะพูดไม่ออกในจังหวะสำคัญ
- พลาดดีลใหญ่ เพราะตอบคำถามลูกค้าไม่ทัน
- หรือแค่อยากแชร์ไอเดียดีๆ แต่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะ
.
"ความแตกต่างระหว่างคนธรรมดากับคนที่ประสบความสำเร็จ
ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นการกล้าที่จะพัฒนาตัวเอง"
.
Matt Abrahams ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารจาก Stanford ได้รวบรวมเทคนิคและวิธีการที่จะเปลี่ยนคุณจาก "คนพูดไม่เก่ง" เป็น "คนพูดได้ทุกสถานการณ์"
.
--------------------------------------
.
ณ ห้องบอลรูมใหญ่ใจกลางเมือง
.
"มีใครเคยโดนถามว่า 'คิดยังไงกับเรื่องนี้?' แล้วสมองดันฟรีซบ้าง?" Matt ทอดสายตามองผู้ฟังทั่วห้อง เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมมือที่ยกขึ้นเกือบทั้งห้อง
.
"แล้วมีใครเคยนั่งนึกคำตอบเด็ดๆ หลังจากกลับบ้านไปแล้วบ้าง?"
.
"วันนี้..." Matt หยุดนิดนึง สายตาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ก่อนจะเดินไปกลางเวที "...ผมจะทำให้ทุกคนในห้องนี้พูดได้ฉับไว คิดได้ทันที ไม่ต้องรอให้ถึงบันไดบ้านอีกต่อไป!"
.
"แม้แต่ตอนโดนแฟนถามว่าอ้วนขึ้นไหมเหรอคะ!?" เสียงสาวน้อยตะโกนแทรกขึ้นมาจากด้านหลังห้อง เสียงหัวเราะลั่นห้องประชุม
.
"โดยเฉพาะคำถามแบบนั้นเลยครับ!" Matt ตอบกลับทันควัน "เพราะบางทีชีวิตกับความตายมันก็อยู่ที่คำตอบเดียว!"
.
.
-------------------------------
.
[ 6 ขั้นตอนสู่การพูดฉับไว ]
.
-------------------------------
.
1. [ CALM – จัดการความกังวล ]
.
.
"ขอเชิญอาสาสมัครสัก 3 คนครับ" Matt กวาดตามองไปรอบห้อง มือค่อยๆ ยกขึ้นทีละคน
.
"คุณครับ ใส่เสื้อสีฟ้า" Matt ชี้ไปที่หนุ่มท่าทางประหม่าที่สุดในบรรดาอาสาสมัคร "ลองเล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมถึงกลัวการพูดในที่สาธารณะ"
.
"ผม... ผมกลัวพูดผิดครับ" น้ำเสียงสั่นเครือ "แล้วก็กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะ..."
.
"ยอดเยี่ยมมาก! ขอบคุณที่กล้าแชร์ความกลัวให้พวกเราฟัง" Matt พยักหน้าอย่างเข้าใจ "ตอนนี้ลองทำตามผมนะครับ... หายใจเข้าลึกๆ 4 วินาที... กลั้นไว้... แล้วหายใจออกช้าๆ 8 วินาที"
.
ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนทำตาม บรรยากาศสงบนิ่ง
.
"รู้สึกยังไงครับ?"
.
"โอ้โห! สมองโล่งขึ้นเยอะเลยครับ" หนุ่มเสื้อฟ้ายิ้มกว้างขึ้น "เหมือนความกลัวมันค่อยๆ จางไป"
.
"ใช่ครับ! รู้ไหมว่าทำไม?" Matt เดินกลับขึ้นเวที "เพราะตอนนี้ร่างกายคุณกำลังหลั่งฮอร์โมน Oxytocin แทนที่ Adrenaline ที่ทำให้เราตื่นกลัว"
.
"คุณผู้หญิงคนที่สอง" Matt หันไปทางสาวออฟฟิศท่าทางมั่นใจ "เวลาต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆ คุณจัดการความกลัวยังไงครับ?"
.
"หนูจะแกล้งทำเป็นว่ากำลังคุยกับเพื่อนสนิทค่ะ" เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม
.
"เยี่ยมมาก! นี่เป็นเทคนิคที่ใช้ได้ผลจริงๆ" Matt พยักหน้าเห็นด้วย "แต่วันนี้ผมจะสอนเทคนิคที่ดีกว่านั้น... เทคนิคที่จะทำให้คุณกลายเป็นตัวของตัวเองในทุกสถานการณ์!"
.
"คนสุดท้าย" Matt หันไปทางชายวัยกลางคนที่ยกมือ "อะไรทำให้คุณกลัวที่สุดครับ?"
.
"ผมกลัวคนไม่สนใจฟังครับ" เขาตอบ "บางทีรู้สึกเหมือนพูดกับกำแพง"
.
"อ๊าา! นี่เป็นความกลัวที่ทุกคนมี แม้แต่นักพูดมืออาชีพ" Matt ชูนิ้วขึ้น "แต่ผมจะบอกความลับให้... คนฟังกลัวที่จะฟังสปีชน่าเบื่อพอๆ กับที่เรากลัวจะพูดน่าเบื่อ! "
.
เสียงหัวเราะผ่อนคลายดังขึ้นทั่วห้อง
.
"และนี่คือเหตุผลที่เราต้องมาเรียนรู้ขั้นตอนที่ 2..."
.
.
---------------------------------------
.
2. [ UNLOCK – ปลดล็อกความคิด ]
.
.
"ทุกคนหยิบปากกาขึ้นมาคนละด้าม" Matt ชูปากกาในมือ "ตอนนี้ ผมอยากให้ทุกคนเรียกมันด้วยชื่ออื่นที่ไม่ใช่ปากกา เริ่มจากคุณครับ" เขาชี้ไปที่หญิงสาวแถวหน้า
.
"เอ่อ... มันคือ... ไม้กายสิทธิ์ค่ะ?" เธอตอบอย่างลังเล
.
"เยี่ยม! ต่อไปครับ คุณ!"
.
"มันคือกล้วยครับ!" เสียงหนุ่มแว่นดังขึ้น
.
"ดีมาก! คนต่อไป!"
.
"ดาบเลเซอร์!" "จรวดอวกาศ!" "ไม้เซลฟี่!" เสียงตอบดังขึ้นทั่วห้อง พร้อมเสียงหัวเราะ
.
"สังเกตไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น?" Matt ยิ้มกว้าง "ตอนแรกทุกคนลังเล กลัวผิด แต่พอมีคนกล้าเริ่ม ความคิดสร้างสรรค์ก็พรั่งพรูออกมา นี่แหละครับพลังของการปลดล็อกความคิด!"
.
"แต่ Matt ครับ" เสียงหนุ่มคนหนึ่งแทรกขึ้น "แล้วถ้าเป็นการประชุมสำคัญล่ะครับ? เราจะกล้าคิดนอกกรอบได้ยังไง?"
.
"คำถามดีมาก!" Matt วางปากกาลง "ลองคิดดูนะครับ Steve Jobs นำเสนอ iPhone ครั้งแรก เขาเรียกมันว่าอะไร? 'iPod ที่โทรได้' ทั้งที่มันเป็นสมาร์ทโฟนที่ปฏิวัติวงการ! นั่นแหละครับ การคิดนอกกรอบที่เปลี่ยนโลก"
.
"มาลองเกมอีกอันครับ" Matt หยิบกระดาษขึ้นมา "สมมติว่าคุณต้องอธิบายอินเทอร์เน็ตให้คุณยายฟัง โดยห้ามใช้คำว่า 'เน็ต' 'ออนไลน์' 'เว็บไซต์' จะอธิบายยังไง?"
.
หญิงสาวคนหนึ่งยกมือ "เหมือนมีไปรษณีย์วิเศษค่ะ ที่ส่งจดหมาย รูปภาพ และข้อความถึงกันได้เร็วเท่าความคิด!"
.
"เยี่ยมมาก!" Matt ปรบมือ "นี่แหละครับ การอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจง่าย ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ"
.
"แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเราคิดนอกกรอบได้เหมาะสม ไม่เว่อร์เกินไป?" สาวแว่นท้ายห้องถาม
.
"อ๋อ! นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องเรียนรู้ขั้นตอนที่ 3..." Matt ขยิบตา
.
.
-------------------------------------------
.
3. [ REDEFINE - มองใหม่ คิดใหม่ ]
.
.
"ทุกคนลองหลับตา แล้วนึกภาพตอนที่คุณเล่าเรื่องสนุกๆ ให้เพื่อนสนิทฟัง..." Matt พูดเสียงนุ่ม ทุกคนในห้องค่อยๆ หลับตา
.
"คุณรู้สึกกลัวไหม? คุณกังวลว่าจะพูดผิดไหม? คุณคิดว่าเพื่อนคุณจะหัวเราะเยาะคุณไหม?"
.
"ไม่เลย!" เสียงตอบดังขึ้นพร้อมกันหลายคน
.
"ลืมตาได้ครับ" Matt ยิ้ม "นั่นเพราะอะไร? เพราะคุณไม่ได้มองว่ามันเป็นการ 'พูดในที่สาธารณะ' แต่มองว่ามันเป็นการ 'แบ่งปัน' ต่างหาก"
.
"หนูว่าแบ่งปันกับคนแปลกหน้ามันยากกว่าเยอะเลยค่ะ" สาวน้อยวัยเริ่มทำงานแย้งขึ้น
.
"งั้นลองเล่าเรื่องที่คุณชอบที่สุดให้พวกเราฟังสิครับ" Matt ท้า
.
"เอ่อ... หนูชอบดูซีรีส์เกาหลีค่ะ" เธอเริ่มพูดเสียงเบา "เมื่อวานเพิ่งดูจบเรื่องนึง เป็นเรื่องของ..."
.
เธอเริ่มเล่าอย่างออกรส ตาเป็นประกาย สีหน้าเปลี่ยนไป ไม่มีร่องรอยของความประหม่าอีกต่อไป
.
"หยุดแค่นี้ก่อนครับ" Matt ขัดจังหวะเบาๆ "ทุกคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไหม? เมื่อกี้นี้เราได้เห็นการพูดที่ทรงพลังที่สุดแล้ว - การพูดที่มาจากใจ ไม่ต้องแสร้ง ไม่ต้องเสแสร้ง"
.
"แต่ถ้าเป็นการพรีเซนต์งานล่ะครับ?" ชายหนุ่มในชุดสูทถาม "เราจะใส่ใจเข้าไปได้ยังไง?"
.
"คำถามเยี่ยมมาก! ลองนึกดูนะครับ..." Matt เดินไปมา "ถ้าคุณกำลังนำเสนอโปรเจคใหม่ แทนที่จะคิดว่า 'ฉันต้องขายไอเดียนี้ให้ได้' ลองเปลี่ยนเป็น 'ฉันกำลังจะเล่าว่าไอเดียนี้จะช่วยทีมของเราได้ยังไง'"
.
"หรือถ้าคุณต้องพูดในงานแต่งงาน แทนที่จะกลัวว่า 'พูดไม่ดีเดี๋ยวเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะโกรธ' ลองคิดว่า 'เรากำลังจะแบ่งปันความทรงจำดีๆ ที่มีร่วมกัน'"
.
"โอ้!" เสียงอุทานดังขึ้นจากหลายคน
.
"ใช่ครับ! การพูดที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดจากการท่องจำ แต่เกิดจากการเปลี่ยนมุมมอง" Matt ชี้ไปที่หัวใจตัวเอง
.
"แล้วถ้าเราเปลี่ยนมุมมองแล้ว แต่ยังรู้สึกกลัวอยู่ล่ะคะ?" สาวใหญ่ท่าทางมั่นใจถาม
.
"นั่นเป็นเพราะเรายังขาดอาวุธสำคัญอีกอย่างครับ..." Matt ยิ้มมุมปาก "นั่นคือการฟังอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 4..."
.
.
------------------------------------
.
4. [ LISTEN – ฟังอย่างลึกซึ้ง ]
.
.
"ตอนนี้ผมอยากให้ทุกคนจับคู่กัน" Matt ประกาศ เสียงเก้าอี้เลื่อนและฮือฮาดังขึ้นทั่วห้อง
.
"เล่าเรื่องที่คุณภูมิใจที่สุดในชีวิตให้คู่ของคุณฟัง คนละ 2 นาที แต่..." Matt ยกนิ้วขึ้น "มีกติกาพิเศษ คนฟังห้ามพูดแทรก ห้ามพยักหน้า ห้ามแสดงท่าทางใดๆ ทั้งสิ้น"
.
เสียงครางอื้ออึงดังขึ้น
.
"เริ่มได้!"
.
หลังผ่านไป 30 วินาที Matt ตบมือ "สต็อป! รู้สึกยังไงบ้างครับ คนเล่า?"
.
"อึดอัดมากครับ" ชายหนุ่มคนหนึ่งตอบ "เหมือนพูดกับหุ่นยนต์"
"เล่าไปก็ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจไหม" อีกคนเสริม
"ไม่มีกำลังใจจะเล่าต่อเลยค่ะ" สาวออฟฟิศบ่น
.
"นี่แหละครับ!" Matt ตบมือ "การฟังไม่ใช่แค่การเงียบ แต่มันคือการมีส่วนร่วม! ตอนนี้ลองใหม่ คราวนี้คนฟังแสดงท่าทางได้ แต่ห้ามพูดแทรก"
.
บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที เสียงเล่าเรื่องมีชีวิตชีวาขึ้น หลายคนเริ่มหัวเราะ บางคนถึงกับน้ำตาซึม
.
"เห็นความแตกต่างไหมครับ?" Matt พูดหลังจากผ่านไป 2 นาที "การฟังที่ดีเหมือนการเต้นรำ คนเต้นต้องฟังจังหวะ มองสบตา และเคลื่อนไหวไปด้วยกัน"
.
"แล้วเราจะฟังอย่างไรให้เก่งขึ้นครับ?" หนุ่มใหญ่ท้ายห้องถาม
.
"ผมมีเทคนิคง่ายๆ เรียกว่า 'ฟังด้วยหัวใจ'" Matt วาดรูปหัวใจในอากาศ
.
"หนึ่ง ฟังเสียงที่เขาพูด
สอง ฟังน้ำเสียงที่เขาใช้
สาม ฟังสิ่งที่เขาไม่ได้พูด"
.
"สิ่งที่เขาไม่ได้พูด?" เสียงสงสัยดังขึ้นหลายคน
.
"ใช่ครับ บางทีคนพูดอาจจะบอกว่า 'ไม่เป็นไร' แต่น้ำเสียงบอกว่า 'เป็นไรมาก' หรือบางทีเขาพูดเรื่องงาน แต่ที่จริงกำลังกังวลเรื่องครอบครัว"
.
"โอ้โห! นี่มันจิตวิทยาชัดๆ" เสียงหัวเราะดังขึ้น
.
"แต่การฟังอย่างเดียวไม่พอนะครับ" Matt ยิ้มมุมปาก "เราต้องรู้จักจัดระเบียบความคิดด้วย ซึ่งนำเราไปสู่ขั้นตอนที่ 5..."
.
.
------------------------------------------
.
5. [ STRUCTURE – โครงสร้างที่ทรงพลัง ]
.
.
"โอเค!" Matt ตบมือดังๆ "ใครเคยดูรายการทำอาหารบ้าง?"
.
มือยกขึ้นทั่วห้อง
.
"สมมติผมบอกว่า วันนี้เราจะทำต้มยำกุ้ง คุณต้องใส่กุ้ง ข่า ตะไคร้ พริก มะนาว น้ำปลา... แล้วทำยังไงต่อ?"
.
"ต้องมีขั้นตอนสิคะ!" สาวน้อยแถวหน้าตอบ "ว่าอะไรใส่ก่อน-หลัง"
.
"Exactly!" Matt ชี้นิ้ว "การพูดก็เหมือนกัน! ถ้าคุณมีแค่วัตถุดิบ แต่ไม่มีสูตร ไม่มีขั้นตอน มันก็ได้แค่น้ำร้อนใส่กุ้ง!"
.
เสียงหัวเราะลั่นห้อง
.
"มาดูสูตรเด็ดกัน!" Matt หยิบปากกาเขียนบนกระดาน "What-So What-Now What"
.
"สมมติคุณต้องพรีเซนต์ไอเดียใหม่กะทันหัน" เขาหันมาทางผู้ฟัง "ใครอยากลองครับ?"
.
หญิงสาววัยทำงานยกมือ "หนูลองค่ะ! พอดีมีไอเดียอยากเสนอให้บริษัทมี 4 วันทำงาน"
.
"เยี่ยม! ลองใช้โครงสร้างนี้เลยครับ"
.
"อืม... What: บริษัทเราควรลองใช้ระบบ 4 วันทำงาน
So What: จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสุขของพนักงาน
Now What: เราอาจเริ่มทดลองกับแผนกนึงก่อน 3 เดือน"
.
"Perfect!" Matt ปรบมือ "เห็นไหมครับ? ไม่ถึง 30 วินาที แต่ได้ใจความครบ ชัดเจน และน่าสนใจ"
.
"แต่ถ้าเป็นคำถามยากๆ ล่ะครับ?" เสียงหนุ่มแว่นดังขึ้น
.
"ยิ่งยาก ยิ่งต้องมีโครงสร้าง!" Matt ตอบ "ลองนึกถึงตอนเราเล่นเกม RPG นะครับ ยิ่งเจอบอสตัวใหญ่ ยิ่งต้องมีแผนชัดเจน จะพุ่งเข้าไปฟาดเลยไม่ได้!"
.
"มีสูตรอื่นอีกไหมคะ?" สาวออฟฟิศท้ายห้องถาม
.
"มีครับ! Problem-Solution-Benefit สำหรับโน้มน้าวใจ
PREP (Point-Reason-Example-Point) สำหรับอธิบายแนวคิด
และ STAR (Situation-Task-Action-Result) สำหรับเล่าประสบการณ์"
.
"แต่จะจำได้ไหมเนี่ย" เสียงบ่นแว่วมา
.
"ไม่ต้องจำทุกสูตรครับ!" Matt ยิ้ม "เลือกสักสูตรที่ชอบ ฝึกจนชำนาญ แล้วปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ เหมือนเชฟที่มีเมนูเด็ดประจำตัว"
.
"แล้วถ้าใช้สูตรแล้วยังพูดเยอะอยู่ล่ะคะ?" สาวน้อยหน้าม้าถาม
.
"อ๋อ! นั่นเพราะเรายังขาดขั้นตอนสุดท้าย..." Matt ขยิบตา "การ FOCUS..."
.
.
-----------------------------------------
.
6. [ FOCUS – จับประเด็นให้แม่น ]
.
.
"ก่อนจะเข้าเรื่อง FOCUS..." Matt หยิบแก้วน้ำขึ้นมา "ผมขอถามอะไรสักอย่าง แก้วนี้มีน้ำอยู่เท่าไหร่?"
.
"ครึ่งแก้วค่ะ!" "เหลือ 50%" เสียงตอบดังขึ้นพร้อมกัน
.
"แล้วถ้าผมบอกว่า... นี่คือแก้วขนาด 200 มล. มีน้ำอยู่ 147 มล.?"
.
"โอ้โห! ละเอียดไป!" เสียงหัวเราะดังขึ้น
.
"นี่แหละครับ! บางทีการพูดแบบ 'ครึ่งแก้ว' มันก็เข้าใจง่ายกว่า ไม่จำเป็นต้องละเอียดทุกเรื่อง"
.
Matt วางแก้วลง "FOCUS ไม่ได้แปลว่าต้องพูดทุกรายละเอียด แต่แปลว่าต้องรู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ"
.
"ลองเล่นเกมกัน!" Matt กวักมือเรียกอาสาสมัคร "ใครกล้าเล่าเรื่องวันหยุดที่แย่ที่สุดให้ฟังบ้าง? แต่ห้ามใช้เวลาเกิน 30 วินาที"
.
ชายหนุ่มในชุดสูทยกมือ "ผมเองครับ! วันหยุดปีใหม่ จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ แต่สายการบินดันยกเลิกเที่ยวบิน ต้องขับรถไปเอง ระหว่างทางรถเสีย กว่าจะถึงที่พักก็เที่ยงคืน แถมลืมกระเป๋าไว้ที่ปั๊มน้ำมัน!"
.
"Perfect!" Matt ปรบมือ "สังเกตไหมครับว่าเขาไม่ได้เล่าว่าใส่เสื้อสีอะไร กินข้าวร้านไหน แต่เลือกเล่าแต่จุดสำคัญที่ทำให้เรื่องน่าสนใจ"
.
"แล้วถ้าเป็นการพรีเซนต์งานล่ะคะ?" สาวออฟฟิศถาม "บางทีรายละเอียดมันก็สำคัญ"
.
"ใช่ครับ! แต่ลองใช้หลัก 3S: Simple, Specific, Significant"
- Simple: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย
- Specific: มีตัวอย่างชัดเจน
- Significant: เน้นสิ่งที่สำคัญจริงๆ
.
"เหมือนสตีฟ จ็อบส์ ไงครับ ตอนเปิดตัว iPhone เขาไม่ได้พูดถึงสเปคทุกตัว แต่เน้นที่ฟีเจอร์ที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้ใช้"
.
"แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรสำคัญ?" เสียงถามดังขึ้น
.
"ง่ายมากครับ! ก่อนพูดทุกครั้ง ถามตัวเอง 3 ข้อ:
1. อยากให้คนฟังรู้อะไร?
2. อยากให้เขารู้สึกยังไง?
3. อยากให้เขาทำอะไร?"
.
Matt เดินไปที่กลางเวที "และนี่คือ 6 ขั้นตอนสู่การพูดฉับไว! แต่ก่อนจะจบ... ใครมีคำถามไหมครับ?"
.
"ผมมีคำถามครับ" หนุ่มใหญ่วัยกลางคนยกมือ "ทั้ง 6 ขั้นตอนนี่ ต้องทำตามลำดับเป๊ะๆ เลยไหมครับ?"
.
"คำถามเยี่ยมมาก!" Matt ยิ้มกว้าง "คิดถึงตอนขับรถครับ บางครั้งคุณอาจต้องเหยียบเบรกก่อนเลี้ยว บางครั้งต้องเร่งเครื่องก่อนขึ้นเขา มันไม่มีสูตรตายตัว แต่ต้องรู้ว่ามีเครื่องมืออะไรอยู่ในมือเราบ้าง"
.
"แล้วถ้าแบล็คเอาต์ขึ้นมากลางคนล่ะคะ?" สาวน้อยหน้าตาตื่นถาม "พอตื่นเต้นแล้วสมองมันว่างเปล่าเลย"
.
"อ๋า! นั่นแหละจุดที่ CALM สำคัญที่สุด" Matt พยักหน้า "ลองนึกถึงนักมวยครับ เวลาโดนต่อย เขาไม่วิ่งหนี แต่จะ Guard ตัวเอง หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆ กลับมาอ่านเกม"
.
"หนูกลัวคนดูหลับค่ะ!" เสียงสาวออฟฟิศดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ
.
"ถ้าคนดูหลับ นั่นไม่ใช่ความผิดคุณ... นั่นเป็นความสำเร็จของคุณต่างหาก!" Matt ตอบทันควัน "เพราะคุณทำให้เขารู้สึกสบายใจมากพอที่จะหลับได้!"
.
เสียงหัวเราะลั่นห้อง
.
"แต่จริงๆ นะครับ ถ้าคุณใช้ STRUCTURE ดีๆ เล่าเรื่องสนุกๆ และ FOCUS ที่ประเด็นสำคัญ รับรองว่าไม่มีใครกล้าหลับ"
.
"หลักการทั้งหมดที่เราเรียนรู้วันนี้" Matt พูดพลางเดินลงจากเวที "จะไม่มีความหมายเลย ถ้าเราไม่รู้จักนำไปใช้จริง"
.
.
-----------------------------------
.
[ ทฤษฎีสู่ภาคสนาม: Real-World Applications ]
.
เขาหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง "ลองดูสถานการณ์ที่เราเจอบ่อยๆ กัน..."
.
--------------------------------------
.
1. [ ศิลปะแห่ง Small Talk ]
.
.
"ใครเคยยืนอึดอัดในลิฟต์กับเจ้านายบ้าง?"
.
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นพร้อมมือที่ยกขึ้นทั่วห้อง
.
"Small Talk เหมือนการเต้นรำครับ" Matt อธิบาย "มีจังหวะรับ-ส่ง เหมือนเล่นปิงปอง"
.
หลักการ: Tennis Ball Conversation
.
1. รับลูก (รับประเด็น)
2. ส่งกลับ (เพิ่มข้อมูล)
3. โยนประเด็นใหม่ (ชวนต่อ)
.
"ลองดูตัวอย่างครับ" Matt หันไปทางผู้ชายในชุดสูท
.
"คุณชอบกาแฟไหมครับ?"
.
"ชอบครับ โดยเฉพาะลาเต้" ชายหนุ่มตอบ
.
"แล้วชอบร้านไหนเป็นพิเศษไหมครับ?"
.
"ผมชอบร้านเล็กๆ แถวออฟฟิศครับ บาริสต้าทำสูตรพิเศษ..."
.
"เห็นไหมครับ?" Matt หันมาทางผู้ฟัง "จากกาแฟแก้วเดียว เราได้:
.
- ความสนใจของคู่สนทนา (คนส่วนใหญ่ชอบพูดเรื่องที่ตัวเองชอบ)
- ข้อมูลเพิ่มเติม (รู้จักร้านใหม่)
- โอกาสนัดเจอกันครั้งหน้า (ไปลองร้านนั้นด้วยกัน)"
.
.
---------------------------------
.
2. [ การตอบคำถามแบบมือโปร ]
.
.
"ลองนึกถึงตอนที่หัวหน้าถามกลางที่ประชุม..." Matt เริ่มต้น "สมองเราอาจจะว่างเปล่า แต่ถ้ามีโครงสร้าง เราจะตอบได้อย่างมั่นใจ"
.
หลักการ: PREP (Point-Reason-Example-Point)
.
"เหมือนการทำอาหารครับ - มีส่วนผสมครบ ทำตามขั้นตอน รสชาติต้องอร่อย"
.
ตัวอย่าง: เมื่อถูกถามว่า "ทำไมควรลงทุนในโปรเจคนี้?"
.
แบบไม่มีโครงสร้าง:
"ก็... มันดีนะครับ น่าจะช่วยบริษัทได้ คิดว่าน่าลองครับ..."
.
แบบใช้ PREP:
"Point: โปรเจคนี้จะคืนทุนภายใน 6 เดือน
Reason: เพราะใช้ AI ลดต้นทุนการผลิต 40%
Example: บริษัทคู่แข่งที่ใช้ระบบคล้ายกัน กำไรเพิ่มขึ้น 60%
Point: จึงเป็นโอกาสที่เราไม่ควรพลาด"
.
.
-------------------------------
.
3. [ Feedback ที่สร้างสรรค์ ]
.
.
"การให้ Feedback เหมือนการปรุงอาหารครับ" Matt หยิบเกลือขึ้นมา "ใส่เกลือมากไป อาหารก็เค็มจนกินไม่ได้ ใส่น้อยไป รสชาติก็จืด การวิจารณ์ก็เช่นกัน - ต้องพอดี และต้องปรุงด้วยความใส่ใจ"
.
หลักการ: 4 I's Framework
"นี่คือสูตรลับที่จะทำให้ Feedback ของคุณได้ผล โดยไม่ทำร้ายความรู้สัมพันธ์"
.
ตัวอย่าง: ลูกน้องส่งงานช้า
.
แบบเก่า (ทำลายความสัมพันธ์):
"คุณนี่ส่งงานช้าตลอด ไม่รับผิดชอบเลย ถ้าทำแบบนี้คงต้องหาคนใหม่แล้ว!"
.
แบบใหม่ (ใช้ 4 I's):
"Information: 'สังเกตว่าช่วงนี้หลายโปรเจคส่งช้ากว่ากำหนด'
Impact: 'ทำให้ทีมอื่นต้องเลื่อนงานตาม กระทบหลายส่วน'
Invitation: 'อยากรู้ว่ามีปัญหาอะไรที่พี่พอจะช่วยได้ไหม?'
Implications: 'ถ้าเราจัดการเวลาได้ดีขึ้น งานจะลื่นไหล และทุกคนจะเครียดน้อยลง'"
.
"เห็นความต่างไหมครับ?" Matt ถาม "แบบแรกสร้างกำแพง แบบที่สองสร้างสะพาน"
.
.
---------------------------------
.
4. [ ศิลปะการขอโทษ ]
.
.
"หลายคนคิดว่าการขอโทษคือการยอมแพ้" Matt ส่ายหน้า "แต่จริงๆ แล้ว มันคือการแสดงความเป็นผู้ใหญ่ และเป็นโอกาสที่จะสร้างความเชื่อมั่นกลับมา"
.
หลักการ: Triple A Approach

ตัวอย่าง: ส่งอีเมลข้อมูลสำคัญผิดคน
.
แบบเดิม (ไม่ได้แก้ปัญหา):
"ขอโทษค่ะ/ครับ ผมพลาดไป คราวหน้าจะระวัง"
.
แบบใหม่ (ใช้ Triple A):
"Acknowledge: 'ผมขอยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของผมที่ไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก่อนส่ง'
Appreciate: 'ผมเข้าใจว่านี่เป็นข้อมูลสำคัญ และความผิดพลาดนี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทีม'
Amend: 'ผมได้ติดต่อ IT เพื่อระงับอีเมลแล้ว และจะสร้าง checklist สำหรับการส่งข้อมูลสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก'"
.
Matt หยุดนิดนึง ก่อนจะพูดต่อ "สังเกตว่าแบบที่สองไม่ได้แค่ขอโทษ แต่:
1. แสดงความรับผิดชอบ
2. เข้าใจผลกระทบ
3. มีแผนแก้ไขที่ชัดเจน"
.
.
------------------------------------
.
5. [ การเล่าเรื่องที่ทรงพลัง ]
.
.
"ทุกคนมีเรื่องเล่าดีๆ แต่ไม่ทุกคนรู้วิธีเล่า" Matt หยิบรูปภาพเก่าๆ ขึ้นมา
.
หลักการ: Story Spine
"เรื่องเล่าที่ดีต้องมีองค์ประกอบครบ เหมือนอาหารที่มีรสชาติครบรส"
.
ตัวอย่าง: การนำเสนอไอเดียใหม่
.
แบบเดิม (แห้งแล้ง):
"เรามีไอเดียจะทำแอพใหม่ มันจะช่วยให้ลูกค้าสะดวกขึ้น น่าจะดีนะคะ"
.
แบบใหม่ (ใช้ Story Spine):
"กาลครั้งหนึ่ง มีลูกค้าของเราที่ต้องรอคิวนานมาก จนเกือบยกเลิกบริการ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ทีมเราได้ยินเสียงบ่นของพวกเขาและเริ่มคิดหาทางแก้
เพราะเหตุนั้น เราจึงพัฒนาแอพที่ช่วยจองคิวล่วงหน้าและแจ้งเตือนเมื่อถึงคิว
จนในที่สุด ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลารอ และเรามีลูกค้าเพิ่มขึ้น 50%
และนับจากนั้น เราก็เรียนรู้ว่า การฟังเสียงลูกค้าคือกุญแจสู่นวัตกรรม"
.
"เห็นไหมครับ?" Matt ถาม "เรื่องเดียวกัน แต่เล่าต่างกัน ให้ผลลัพธ์ต่างกัน"
.
.
-------------------------------------
.
[ บทส่งท้าย ]
.
.
"ก่อนจากกันวันนี้..." Matt ยืนกลางเวที สายตามองตรงไปยังผู้ฟังทุกคน
.
"ผมขอฝากบางอย่างไว้..."
.
"ทุกคำพูดของคุณ คือโอกาส
โอกาสที่จะเปลี่ยนความเงียบเป็นเสียงหัวเราะ
โอกาสที่จะเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า
โอกาสที่จะเปลี่ยนความฝันเป็นความจริง"
.
"วันนี้ คุณได้เครื่องมือครบแล้ว
ที่เหลือคือการลงมือทำ
เพราะคำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...
คือคำพูดที่คุณกล้าเอ่ยออกมา"
.
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วห้อง ประสานกับรอยยิ้มและประกายตาของผู้ฟังที่พร้อมจะก้าวออกไปพูดอย่างมั่นใจในแบบของตัวเอง
.
"พบกันใหม่ในการพูดครั้งต่อไปของพวกคุณ... ที่จะต้องเจ๋งกว่าเดิมแน่นอนครับ!"

.

.

.

.

#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

Previous
Previous

The Sports Gene: Inside the Science of Extraordinary Athletic Performance ทัวร์วิทยาศาสตร์การกีฬาสุดมันส์กับศาสตราจารย์ David Epstein

Next
Next

เติมทักษะให้ถึงขีดสุด แล้วความฝันจะตามมาเอง (So Good They Can’t Ignore You) เขียนโดย Cal Newport