Pareto Principle: กฎ 80/20 เมื่อ 20% ของความพยายามให้ผลลัพธ์ 80% (และอีก 80% ทำให้คุณเหนื่อยเปล่าหรือไง?)
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคุณทำงาน 8 ชั่วโมง แต่รู้สึกว่าได้งานจริงๆ แค่ 2 ชั่วโมง? นั่นแหละ Pareto Principle กำลังหัวเราะเยาะคุณอยู่!
.
คุณอาจคิดว่า "เฮ้! ฉันทำงานหนักทุกนาทีนะ!" จริงๆ แล้ว 80% ของเวลาที่คุณ "ทำงาน" นั้น คุณอาจกำลัง
.
1. เช็คโซเชียลมีเดีย
2. คิดว่าจะกินข้าวเที่ยงอะไรดี
3. แอบงีบ
.
แต่บางทีการที่คุณใช้เวลา 80% ไปกับสิ่งเหล่านี้ ก็อาจเป็นเพราะ
.
1. คุณเป็นนักการตลาดโซเชียลมีเดีย (เช็คโซเชียลคือหน้าที่หลักของคุณ!)
2. คุณเป็นนักวิจารณ์อาหาร (การคิดเรื่องอาหารคืองานของคุณ!)
3. คุณเป็นนักทดสอบเตียง (การนอนคืองานของคุณจริงๆ!)
.
ถ้าคุณไม่ได้ทำงานพวกนี้... คุณอาจจะต้องกลับไปทบทวนการใช้เวลาของตัวเองแล้วล่ะ!
.
Pareto Principle หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎ 80/20" เป็นหลักการที่ว่าในหลายๆ สถานการณ์ 80% ของผลลัพธ์มาจาก 20% ของสาเหตุนั่นเองครับ
.
.
---------------------------
.
ประวัติความเป็นมาสั้นๆ
.
.
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อ Vilfredo Pareto นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียน สังเกตเห็นว่า 20% ของต้นถั่วในสวนของเขาให้ผลผลิตถึง 80% ของถั่วทั้งหมด
.
แต่ Pareto ไม่ได้หยุดแค่นั้น! เขาเริ่มสังเกตสิ่งอื่นๆ รอบตัว และพบว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในหลายๆ ด้านของสังคมและเศรษฐกิจ
.
ในปี 1896 เขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า 80% ของที่ดินในอิตาลีเป็นของคนเพียง 20% นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Pareto Principle หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎ 80/20"
.
ต่อมาในทศวรรษ 1940 Joseph Juran นักบริหารคุณภาพชาวอเมริกันได้นำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ในการบริหารคุณภาพและตั้งชื่อว่า "Pareto Principle" เพื่อเป็นเกียรติแก่ Vilfredo Pareto
.
นับแต่นั้นมา Pareto Principle ก็ได้รับความนิยมและถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การบริหาร การตลาด ไปจนถึงการพัฒนาตนเอง
.
.
--------------------
.
หลักการพื้นฐานของ Pareto Principle
.
.
Pareto Principle หรือ "กฎ 80/20" คือทฤษฎีที่บอกว่าคุณสามารถได้ 80% ของผลลัพธ์จากการทำงานแค่ 20% มาดูกันว่าหลักการนี้มีอะไรบ้าง:
.
.
1. ความไม่สมดุลเป็นเรื่องปกติ:
- คำอธิบายแบบเนิร์ด: ในระบบต่างๆ ผลลัพธ์มักไม่ได้กระจายตัวอย่างเท่าเทียม
- คำอธิบายแบบชาวบ้าน: เหมือนตอนที่คุณกินพิซซ่ากับเพื่อน แต่เพื่อนคุณกินไป 80% ของพิซซ่าทั้งถาด... แถมยังให้คุณจ่าย 80% ของค่าพิซซ่าด้วย
- ตัวอย่างในชีวิตจริง:
* 20% ของลูกค้าสร้างรายได้ 80% ให้กับธุรกิจ (และอีก 80% สร้างปวดหัวให้ 100%)
* 20% ของพนักงานสร้างปัญหา 80% ในออฟฟิศ (คุณรู้ใช่ไหมว่าเราหมายถึงใคร?)
.
.
2. สัดส่วน 80/20 เป็นเพียงตัวอย่าง:
- คำอธิบายแบบเนิร์ด: สัดส่วนจริงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี เช่น 90/10 หรือ 70/30
- คำอธิบายแบบชาวบ้าน: เหมือนตอนที่คุณตั้งใจจะกินแค่ 20% ของขนมในกล่อง แต่สุดท้ายกลายเป็น 99.9% (เหลือแค่เศษขนมนิดเดียวเพื่อหลอกตัวเองว่าไม่ได้กินหมด)
- ตัวอย่างที่น่าสนใจ:
* 90% ของการจราจรติดขัดเกิดจาก 10% ของคนที่คิดว่าเลนไหนๆ ก็เป็นเลนของฉัน
* 70% ของความสุขในชีวิตมาจาก 30% ของเวลาที่คุณไม่ได้คิดถึงงาน
.
.
3. การระบุปัจจัยสำคัญ:
- คำอธิบายแบบเนิร์ด: การค้นหาปัจจัยส่วนน้อยที่สร้างผลกระทบส่วนใหญ่
- คำอธิบายแบบชาวบ้าน: การค้นพบว่า 20% ของเสื้อผ้าในตู้ที่คุณใส่ 80% ของเวลาคือชุดนอนนั่นเอง
- วิธีการวิเคราะห์:
* แผนภูมิพาเรโต (Pareto Chart): กราฟที่แสดงให้เห็นว่า 80% ของเวลาที่คุณ "ทำงาน" จริงๆ แล้วคุณใช้ไปกับการเลื่อน Facebook
* การวิเคราะห์เชิงปริมาณ: การนับว่าคุณสั่งพิซซ่ากี่ถาดในเดือนนี้ แล้วบอกตัวเองว่านี่คือ "การวิจัยตลาด"
.
.
4. การประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- คำอธิบายแบบเนิร์ด: ใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เบื้องต้น ไม่ใช่กฎตายตัว
- คำอธิบายแบบชาวบ้าน: เหมือนการที่คุณบอกตัวเองว่าจะทำงานให้หนักขึ้น 20% แต่จริงๆ แล้วคุณแค่นั่งจ้องคอมให้ดูเหมือนยุ่งขึ้น 20%
- การนำไปใช้:
* การจัดสรรทรัพยากร: การตัดสินใจว่าจะใช้เงินเดือน 80% ไปกับการช้อปปิ้งออนไลน์ หรือจะเก็บออม... แน่นอนว่าคุณเลือกช้อปปิ้ง!
* Long Tail: การตระหนักว่าซื้อของ 20 ชิ้นที่ไม่จำเป็น อาจสร้างความสุขให้คุณมากกว่าซื้อของจำเป็น 1 ชิ้น
.
.
สรุป: Pareto Principle อาจทำให้คุณฉลาดขึ้น 20% แต่ก็อาจทำให้เพื่อนๆ คิดว่าคุณเนิร์ดขึ้น 80% ... แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยตอนนี้คุณก็รู้วิธีที่จะทำงาน 20% แล้วได้ผล 80% แล้ว! แต่อย่าลืมนะ ถ้าคุณทำแบบนี้กับการแปรงฟัน ผลลัพธ์อาจจะไม่สวยเท่าไหร่...
.
.
----------------------
.
การประยุกต์ใช้ในธุรกิจ: เมื่อ 20% ของลูกค้าทำให้คุณอยากทำงานต่อ (และอีก 80% ทำให้คุณอยากลาออก)
.
.
ในโลกธุรกิจ Pareto Principle ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ลูกค้าและผลิตภัณฑ์ เช่น:
.
- 80% ของยอดขายมาจาก 20% ของลูกค้า
- Amazon พบว่า 20% ของสินค้าสร้างรายได้ 80% ของยอดขายทั้งหมด
.
แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรเลิกสนใจลูกค้า 80% ที่เหลือ ลองคิดดู ถ้าร้านอาหารคุณทำอาหารอร่อยให้แค่ 20% ของลูกค้า อีก 80% คงจะรีวิวร้านคุณว่า "อาหารแย่มาก แต่ห้องน้ำสะอาดดี"
.
.
-------------------------
.
การประยุกต์ใช้ในชีวิตส่วนตัว
.
.
Pareto Principle สามารถนำมาใช้ในการจัดการชีวิตส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
.
1. จัดการเวลา: มุ่งเน้น 20% ของงานที่สร้างผลลัพธ์ 80%
2. จัดการทรัพย์สิน: สังเกตว่า 20% ของสิ่งของใดที่คุณใช้บ่อยที่สุด น่าจะเป็นมือถือกับตู้เย็นใช่ไหม?
.
และสำหรับการใช้ Pareto Principle ในการพัฒนาตนเองสามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง
.
1. วิเคราะห์นิสัย: 20% ของนิสัยไหนที่สร้างผลกระทบ 80% ต่อชีวิตคุณ
2. ตั้งเป้าหมาย: มุ่งเน้น 20% ของเป้าหมายที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง 80%
3. เรียนรู้ทักษะใหม่: 20% ของทักษะใดที่จะช่วยคุณได้มากที่สุด
.
.
แต่เดี๋ยวก่อน! ก่อนที่คุณจะคิดว่า "โอเค ฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแค่ 20% แล้วชีวิตจะดีขึ้น 80% เลย!" ลองคิดดูดีๆ:
.
1. ถ้าคุณแปรงฟันแค่ 20% ของปาก... คุณอาจจะยิ้มได้แค่ 20% ของรอยยิ้มเท่านั้นนะ!
2. ถ้าคุณอาบน้ำแค่ 20% ของตัว... คุณอาจจะมีเพื่อนแค่ 20% ของที่มีอยู่ตอนนี้!
3. ถ้าคุณทำงานแค่ 20% ของเวลา... คุณอาจจะได้เงินเดือนแค่ 20% ของที่ควรได้! (หรือไม่ก็โดนไล่ออก)
.
.
----------------------------
.
ข้อโต้แย้งและข้อจำกัด: Pareto Principle ใช้ไม่ได้กับทุกอย่าง
.
แม้ Pareto Principle จะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัด:
.
1. ไม่ใช่กฎตายตัว: บางสถานการณ์อาจไม่เป็นไปตามอัตราส่วน 80/20
2. อาจนำไปสู่การละเลยส่วนที่เหลือ: การมุ่งเน้นแต่ 20% อาจทำให้พลาดโอกาสอื่นๆ
3. ไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์: บางครั้งคุณภาพอาจสำคัญกว่าปริมาณ
.
.
-----------------------------
.
Case Study: ร้านฟาสต์ฟู้ด
.
.
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมทุกครั้งที่คุณตั้งใจจะกินสลัด แต่สุดท้ายกลับออกมาจากร้านฟาสต์ฟู้ดพร้อมเบอร์เกอร์ชีสจัมโบ้ เฟรนช์ฟรายส์จานยักษ์ และน้ำอัดลมแก้วเบ้อเริ่ม? นั่นเป็นเพราะพวกเขาใช้ Pareto Principle นั่นเอง!
.
McDonald's (และร้านฟาสต์ฟู้ดอื่นๆ) ค้นพบว่า 80% ของยอดขายมาจาก 20% ของเมนูในร้าน นี่ทำให้พวกเขาตาสว่างเหมือนเพิ่งกินแมคนักเก็ตชุบน้ำโค้ก!
.
.
แต่พวกเขาไม่ได้แค่นั่งยิ้มกริ่มกับข้อมูลนี้นะ เขาเอามันไปใช้จริงๆ:
.
1. เมนูยอดฮิต 20% ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดที่สุดบนเมนูบอร์ด
(เพื่อให้คุณสั่งมันแม้ในยามที่สมองยังงัวเงียจากการอดนอนเพราะดูซีรีส์ทั้งคืน)
.
2. Combo Set ที่รวมเมนูยอดฮิตเข้าด้วยกัน
(เพราะพวกเขารู้ว่าคุณ "ประหยัด" ได้มากกว่าถ้าสั่งเซ็ต... แม้ว่าคุณจะกินไม่หมดก็ตาม)
.
3. การออกแบบร้านที่เน้นให้เห็นและกลิ่นของอาหารยอดฮิต
(กลิ่นเฟรนช์ฟรายส์ที่โชยมานั้น ไม่ได้มาเองตามธรรมชาติ)
.
4. การฝึกพนักงานให้แนะนำเมนูยอดฮิตก่อนเสมอ
("อัพไซส์ไหมคะ?" - ประโยคที่ทำให้เอวคุณใหญ่ขึ้นทุกครั้งที่ได้ยิน)
.
.
ผลลัพธ์เป็นยังไง? McDonald's มียอดขายทั่วโลกในปี 2022 สูงถึง 23.18 พันล้านดอลลาร์!
.
สรุป: ร้านฟาสต์ฟู้ดใช้ Pareto Principle เพื่อทำให้คุณกินมากขึ้น บ่อยขึ้น และอ้วนขึ้น จนคุณอาจกลายเป็นลูกค้า VIP โดยไม่รู้ตัว แต่อย่างน้อยคุณก็ได้อิ่มท้องอย่างรวดเร็ว... ใช่ไหมล่ะ?
.
และจำไว้นะ ถ้าวันไหนคุณรู้สึกผิดที่กินเยอะเกินไป ก็แค่บอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไร นี่แค่ 20% ของสิ่งที่ฉันอยากกินจริงๆ!" (แต่อย่าลืมว่ามันให้พลังงาน 80% ของทั้งวันนะ)
.
.
-------------------------------
.
สรุปก็คือ Pareto Principle เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพในหลายๆ ด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ การทำงาน หรือชีวิตส่วนตัว การเข้าใจและประยุกต์ใช้หลักการนี้อย่างชาญฉลาดสามารถช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญ มุ่งเน้นสิ่งที่สำคัญ และสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้
.
(แต่อย่าลืมว่า Pareto Principle ไม่ใช่กฎตายตัว การใช้วิจารณญาณและการปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ)
.
บางทีการที่คุณอ่านบทความนี้จนจบอาจเป็นเพราะ:
1. คุณเป็นส่วนหนึ่งของ 20% ที่สนใจ Pareto Principle จริงๆ
2. คุณแค่กำลังหาข้ออ้างที่จะทำงานแค่ 20% แล้วหวังผล 80%
.
.
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ! และจำไว้ว่า ชีวิตไม่ได้เป็นไปตาม Pareto Principle เสมอไป แต่ถ้าคุณใช้มันอย่างชาญฉลาด คุณอาจจะพบว่า 20% ของความพยายามของคุณสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับ 80% ของชีวิตคุณได้ครับ!
.
.
.
.
#SuccessStrategies #Ichigoichie
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.