Manifest สั่งจิต พิชิตเป้าหมาย และพลังแห่งจักรวาลลล

Manifest สั่งจิต พิชิตเป้าหมาย และพลังแห่งจักรวาลลล
.
วันนี้แอดมีเรื่องจะมาสารภาพ... แอดไม่เชื่อเรื่อง Manifest ที่กำลังจะเล่านี้ (อ้าวเฮ้ย! อย่าเพิ่งกด Unfollow นะครับ) แต่ก่อนที่ทุกคนจะสาปแช่งแอด ขอให้ฟังแอดก่อน!
.
แม้แอดจะไม่เชื่อ แต่ก็อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแบบเป็นกลางสุดๆ แอดคิดว่าการศึกษาหลายๆศาสตร์จะทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้น เหมือนตอนที่แอดลองเรียนวิชาการมองโลกในแง่ดี แล้วพบว่าโลกนี้ช่างสวยงาม... จนกระทั่งเดินชนเสาไฟฟ้าเข้าอย่างจัง
.
และนั่นก็คือเหตุผลที่แอดจะพาทุกคนดำดิ่งสู่โลกแห่งการ Manifest กัน! ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มเลยครับ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าคุณ Manifest ให้ตัวเองรวยแล้วได้ผล อย่าลืมโอนเงินมาให้แอดบ้างนะ! (เอาแค่ 10% ก็พอ ไม่ต้องเยอะ)
.
.
-------------------------
.
[ Manifest คืออะไรกันแน่? ]
.
ในภาษาละตินโบราณ คำว่า "manifestus" แปลว่า "ชัดแจ้ง" หรือ "ประจักษ์" ซึ่งสะท้อนถึงแก่นแท้ของแนวคิดนี้ได้เป็นอย่างดี นั่นคือการทำให้สิ่งที่อยู่ในจินตนาการกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้
.
แต่ Manifest ไม่ใช่แค่การนั่งหลับตาแล้วหวังว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเองนะครับ (ถ้าเป็นแบบนั้น แอดคงนั่งหลับตารอเป็นเศรษฐีไปนานแล้ว ) มันเป็นกระบวนการที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก เป็นการเชื่อมโยงระหว่างจิตใจ จักรวาล และการกระทำของเราเข้าด้วยกัน
.
ลองนึกภาพว่าจักรวาลเป็นเหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ และความคิดของเราเป็นเหมือนคลื่นเล็กๆ ที่ส่งออกไป เมื่อเราส่งคลื่นความคิดที่ชัดเจนและมีพลังออกไป มันก็มีโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในมหาสมุทรแห่งจักรวาลนั้น แต่ถ้าเราส่งคลื่นความคิดที่สับสนหรืออ่อนแอ มันก็อาจจะหายไปในความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรโดยไม่ส่งผลอะไร
.
.
----------------------
.
[ รากฐานทางปรัชญาของ Manifest ]
.
Manifest ไม่ใช่แนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้นะครับ มันมีรากฐานทางปรัชญาที่ลึกซึ้งและยาวนาน ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ นักปราชญ์อย่างเพลโตก็เคยพูดถึงโลกแห่งแบบ (World of Forms) ซึ่งเป็นที่อยู่ของความคิดและแนวคิดที่สมบูรณ์แบบ ก่อนที่มันจะถูกสะท้อนออกมาในโลกแห่งวัตถุที่เราอาศัยอยู่
.
ในปรัชญาตะวันออก โดยเฉพาะในศาสนาฮินดู ก็มีแนวคิดเรื่องการเชื่อมโยงระหว่างจิตใจและจักรวาล การที่เราสามารถสร้างความเป็นจริงของเราได้ผ่านความคิดและการกระทำ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของ Manifest อย่างน่าประหลาดใจ
.
สิ่งที่ Manifest พยายามบอกเราก็คือ เรามีพลังในการสร้างและเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของเราได้ ไม่ว่าจะผ่านความคิด ความเชื่อ หรือการกระทำของเรา
.
.
--------------------
.
[ การปฏิบัติ Manifest ในชีวิตประจำวัน ]
.
แล้วเราจะเอาแนวคิด Manifest มาใช้ในชีวิตจริงได้ยังไงล่ะ? ต่อไปนี้เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้เลยนะครับ
.
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน : อย่าแค่บอกว่าอยากรวย ต้องระบุให้ชัดว่ารวยขนาดไหน รวยแบบไหน เช่น "ฉันต้องการมีเงินเก็บ 669 ล้านบาทภายในปี 2025" (แต่ถ้าใครอยากมีเร็วกว่านั้น ก็ลองวิ่งไปซื้อลอตเตอรี่ดูนะ เผื่อ Manifest เร็วขึ้น )
.
2. จินตนาการให้ชัดเจน : ใช้พลังจินตนาการของคุณให้เต็มที่ นึกภาพตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ต้องการ รู้สึกถึงความสุข ความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ เหมือนว่าคุณได้สิ่งนั้นมาแล้ว
.
3. สร้างความเชื่อและความศรัทธา : เชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณต้องการจะเกิดขึ้นจริง แต่อย่าลืมว่าความเชื่อต้องมาพร้อมกับการกระทำด้วยนะ (ไม่ใช่แค่เชื่อว่าจะผอมแล้วนั่งกินขนมต่อ )
.
4. ปล่อยวาง : อย่าไปกังวลหรือเคร่งเครียดกับผลลัพธ์มากเกินไป ปล่อยวางและเชื่อมั่นในกระบวนการ เหมือนตอนที่เราหว่านเมล็ดพืชลงดิน เราก็ต้องให้เวลามันงอกงามตามธรรมชาติ
.
5. ลงมือทำ : สำคัญที่สุดเลยนะ! Manifest ไม่ใช่แค่การนั่งฝัน ต้องลงมือทำด้วย ถ้าอยากเป็นนักดนตรี ก็ต้องซ้อมทุกวัน ถ้าอยากเป็นนักเขียน ก็ต้องเขียนทุกวัน
.
.
--------------------
.
[ มุมมองทางจิตวิทยาต่อ Manifest ]
.
แม้ว่า Manifest จะฟังดูเหมือนเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่จริงๆ แล้วมันมีหลักการทางจิตวิทยาที่น่าสนใจอยู่เบื้องหลังนะครับ มาดูกันว่าทำไม Manifest ถึงอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องโม้
.
.
1. การตั้งเป้าหมาย (Goal Setting):
.
- การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้สมองของเรามีจุดโฟกัส
- เมื่อเรามีเป้าหมายชัดเจน สมองจะเริ่มสังเกตโอกาสที่เกี่ยวข้องมากขึ้น (เรียกว่า Reticular Activating System)
- เป้าหมายที่ท้าทายแต่เป็นไปได้จะกระตุ้นให้เราพยายามมากขึ้น
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณตั้งเป้าว่าจะวิ่งมาราธอน สมองคุณจะเริ่มสนใจข่าวสารเกี่ยวกับการวิ่ง สุขภาพ และอาหารการกินมากขึ้น (แต่ถ้าตั้งเป้าว่าจะกินพิซซ่าทุกมื้อ สมองก็จะโฟกัสแต่เรื่องชีส และแป้งนะ ระวังด้วย! )
.
.
2. การสร้างภาพในใจ (Visualization):
.
- นักกีฬาระดับโลกหลายคนใช้เทคนิคนี้ในการฝึกซ้อม
- การจินตนาการว่าเราทำสำเร็จช่วยเตรียมสมองและร่างกายให้พร้อมสำหรับสถานการณ์จริง
- สมองไม่สามารถแยกแยะได้ 100% ระหว่างการจินตนาการกับประสบการณ์จริง
- การวิจัยพบว่าการจินตนาการซ้ำๆ สามารถสร้างเส้นทางประสาทใหม่ในสมองได้
- ตัวอย่าง: นักเทนนิสที่จินตนาการว่าตีลูกเสิร์ฟสมบูรณ์แบบซ้ำๆ จะมีโอกาสทำได้จริงมากขึ้น (แต่ถ้าจินตนาการว่าเป็นแชมป์โดยไม่ซ้อม ก็อาจจะได้แค่แชมป์บนโซฟานะ )
.
.
3. ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-efficacy):
.
- เมื่อเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็มีแนวโน้มที่จะพยายามมากขึ้นและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
- ความเชื่อมั่นช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ทำให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- คนที่มีความเชื่อมั่นสูงมักจะตั้งเป้าหมายที่ท้าทายกว่าและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณเชื่อว่าคุณสามารถเรียนภาษาใหม่ได้ คุณก็จะพยายามมากขึ้น และมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า (แต่ถ้าเชื่อว่าตัวเองพูดภาษาต่างดาวได้ล่ะก็... อาจจะต้องไปพบจิตแพทย์นะ )
.
.
4. การโฟกัสที่พลังบวก (Positive Focus):
.
- การมองหาสิ่งดีๆ ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น
- สมองที่มีความสุขจะปล่อยสารเคมีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น โดพามีน และเซโรโทนิน
- การมองโลกในแง่บวกช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ทำให้รับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น
- ตัวอย่าง: แทนที่จะบ่นว่างานยาก ลองมองว่ามันเป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเอง (แต่ถ้างานคือการนับเม็ดทรายในทะเลทราย การมองบวกอย่างเดียวอาจไม่พอนะ ต้องหางานใหม่ด้วย )
.
.
5. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Behavioral Change):
.
- เมื่อเราเชื่อและคิดแบบใดบ่อยๆ เราก็มีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความคิดนั้น
- การทำซ้ำๆ จะสร้างนิสัยใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 21-66 วัน (ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของพฤติกรรม)
- การเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมทีละนิดจะง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนทั้งหมดในคราวเดียว
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณเชื่อว่าตัวเองเป็นคนขยัน คุณก็จะมีแนวโน้มที่จะทำงานหนักขึ้นโดยอัตโนมัติ (แต่ถ้าเชื่อว่าตัวเองขี้เกียจ แล้วพยายาม Manifest ให้ขยัน... ก็อาจจะได้แค่นอนขี้เกียจบนโซฟาอย่างขยันขันแข็ง )
.
.
สรุปแล้ว Manifest อาจไม่ใช่เวทมนตร์คาถา แต่มันมีพื้นฐานทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ ถ้าเราเข้าใจและใช้มันอย่างถูกต้อง ก็อาจจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้จริงๆ นะ! (แต่ถ้าใครจะ Manifest ให้ตัวเองบินได้ ก็อย่าลืมซื้อประกันชีวิตก่อนนะครับ )
.
.
------------------------
.
[ ข้อควรระวังในการ Manifest ]
.
แม้ว่า Manifest จะฟังดูดี แต่ก็มีข้อควรระวังบางอย่างที่เราต้องตระหนัก:
.
1. อย่าละเลยการลงมือทำ: Manifest ไม่ใช่เวทมนตร์ที่จะทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
.
2. ระวังการคิดแบบหลงผิด (Magical Thinking): อย่าเชื่อว่าแค่คิดอย่างเดียวแล้วทุกอย่างจะเกิดขึ้นเอง
.
3. อย่าโทษตัวเองมากเกินไป: ถ้าสิ่งที่ต้องการไม่เกิดขึ้น อย่าคิดว่าเป็นเพราะคุณ Manifest ไม่เก่งพอ บางทีอาจมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ ด้วย
.
4. ระวังการหลีกเลี่ยงความเป็นจริง: อย่าใช้ Manifest เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือความท้าทายในชีวิตจริง
.
5. อย่าละเลยการดูแลสุขภาพกายและใจ: การ Manifest ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนการดูแลสุขภาพหรือการรักษาทางการแพทย์
.
.
--------------------------
.
[ แบบทดสอบว่าคุณถนัด Manifest หรือลงมือทำกันแน่? ]
.
มาลองทำแบบทดสอบกันดูว่าคุณเป็นสาย Manifest หรือสายลงมือทำกันแน่! ตอบคำถาม 5 ข้อนี้แล้วดูผลลัพธ์กันเลย!
.
1. เมื่อคุณเจอปัญหาใหญ่ในชีวิต สิ่งแรกที่คุณทำคือ...?
A) นั่งสมาธิ จินตนาการว่าปัญหาหายไปแล้ว
B) ทำ To-Do List ยาวเป็นหางว่าว แล้วเริ่มลงมือแก้ปัญหาทันที
C) โพสต์ระบายในเฟซบุ๊ก หวังว่าจะมีคนมาช่วย
.
2. ถ้าคุณอยากได้เงิน 1 ล้านบาท คุณจะ...?
A) วาดรูปธนบัตร 1 ล้านบาท แล้วแปะไว้ที่กระจกห้องนอน
B) ทำงานวันละ 20 ชั่วโมง และอีก 4 ชั่วโมงที่เหลืออ่านหนังสือและเข้าคอร์สพัฒนาตนเอง
C) ซื้อลอตเตอรี่ทุกงวด แล้วอธิษฐานกับดวงดาวทุกคืน
.
3. ถ้าคุณอยากผอมลง 10 กิโล คุณจะ...?
A) ติดรูปนายแบบนางแบบที่ตู้เย็น แล้วบอกตัวเองว่า "ฉันก็ผอมแบบนี้แล้ว!"
B) ล็อกตู้เย็นด้วยโซ่ แล้วกลืนกุญแจ (เผื่อสัปดาห์หน้าจะลืมว่าซ่อนกุญแจไว้ไหน)
C) สั่งชุดไซส์ S มาใส่ แล้วพยายามสวมให้ได้ทุกวัน
.
4. เมื่อคุณอยากได้แฟน คุณจะ...?
A) เขียนคุณสมบัติแฟนในอุดมคติ 100 ข้อ แล้วอ่านก่อนนอนทุกคืน
B) สมัครแอพหาคู่ทุกแอพในโลก แล้วนัดเดทวันละ 3 คน
C) แต่งตัวเซ็กซี่ไปทำงานทุกวัน หวังว่าจะมีคนมาจีบ (แต่ระวังโดนเรียกเข้าฝ่าย HR นะ)
.
5. ถ้าคุณอยากเป็นยูทูบเบอร์ดัง คุณจะ...?
A) นั่งหลับตา มโนภาพตัวเองมียอดซับ 1 ล้าน รอให้จักรวาลส่งความดังมาให้
B) ถ่ายคลิปวันละ 10 คลิป นอนวันละ 2 ชั่วโมง ตัดต่อจนตาพร่ามัว
C) ทำพิธีบวงสรวงยูทูบ หวังว่า Algorithm จะเมตตา
.
.
ผลลัพธ์ที่ได้
.
- ถ้าคุณตอบ A เยอะ: คุณเป็นสาย Manifest ตัวยง! แต่อย่าลืมลุกจากโซฟาบ้างนะ
- ถ้าคุณตอบ B เยอะ: คุณเป็นสายลงมือทำสุดขั้ว! แต่อย่าลืมหายใจด้วยล่ะ
- ถ้าคุณตอบ C เยอะ: คุณเป็นสายอะไรก็ได้ ขอให้ฮา!
.
.
ไม่ว่าคุณจะได้ผลลัพธ์แบบไหน จำไว้นะครับว่า ทั้งการ Manifest และการลงมือทำ ล้วนมีประโยชน์ แต่ถ้าทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป... รับรองว่าปัง!
.
.
--------------------
.
[ บทส่งท้าย ]
.
สุดท้ายนี้ แม้ว่าแอดจะไม่ได้เชื่อ Manifest เท่าไหร่ แต่แอดก็ต้องยอมรับว่า มันทำให้แอดได้เขียนบทความนี้ ได้หัวเราะ และได้คิดว่า "ถ้าเกิดมันได้ผลจริงๆ ล่ะ?"
.
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่อง Manifest ขอให้เชื่อมั่นในตัวเองเสมอ! เพราะคุณมีพลังมากกว่าที่คิด! (แต่ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีพลังพอจะยกเครื่องบินได้ ก็อย่าเพิ่งลองนะ)
.
และถ้าวันหนึ่งคุณ Manifest สำเร็จ กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน อย่าลืมชวนแอดไปเที่ยวเกาะส่วนตัวด้วยล่ะ! (แอดจะพกเสื้อชูชีพไปเอง ไม่ต้องห่วง)
.
ขอให้ทุกคน Manifest อย่างมีความสุข อย่าลืมลงมือทำควบคู่ไปด้วย และที่สำคัญที่สุด... อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดซับ กดส่งดาวล้านดวงให้เพจนี้นะครับ! (นี่แหละคือการ Manifest แบบแอด )

.
.
.
.
#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

สรุปหนังสือ Extreme Ownership ระเบิดความเป็นผู้นำในตัวคุณ เขียนโดย Jocko Willink & Leif Babin คู่หูนาวิกโยธินสุดแสบแห่งหน่วยซีล

Next
Next

สรุป 50 ข้อสั้นๆ จากตำรามหาเสน่ห์ "The Charisma Myth" โดย Olivia Fox Cabane