Company Of One เขียนโดย Paul Jarvis
Company Of One เขียนโดย Paul Jarvis คู่มือสร้าง Halloween Magic ในแบบของคุณ
.
"บางทีความบังเอิญที่ดีที่สุด ก็เกิดขึ้นหลังจากดื่มกาแฟแก้วที่ห้า ช่วงก่อนฮาโลวีน" – กรรชัย (ตัวละครสมมติ)
.
ก่อนจะเล่าถึงการพบกันโดยบังเอิญระหว่างผมกับ Paul Jarvis ที่ Starbucks Reserve Roastery ในเมือง Seattle ในวันที่ร้านเพิ่งเริ่มตกแต่งธีมฮาโลวีน พนักงานทยอยแกะกล่องฟักทองปลอม และมินต์ บาริสต้าประจำร้านกำลังฝึกซ้อมทำ Pumpkin Spice Latte สูตรใหม่... ผมอยากแนะนำให้รู้จักเขาและหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมก่อน
.
"พี่กรรชัยคะ นี่มาเช้าจัง" มินต์ทักทาย "กำลังลองสูตรใหม่พอดี จะได้พร้อมขายตอนฮาโลวีน"
.
"ผมกำลังเครียดน่ะ" ผมตอบ พลางมองนาฬิกาที่บอกเวลา 7:30 น. "งานฮาโลวีนปีนี้ยังไม่มีจองเลย ทั้งที่ปกติช่วงนี้ควรจะเต็มแล้ว"
.
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ Paul Jarvis...
.
Paul Jarvis ไม่ใช่กูรูธุรกิจทั่วไปที่จะมาสอนคุณว่าต้องทำยังไงให้รวย ขยายกิจการให้ใหญ่ หรือเป็นยูนิคอร์นสตาร์ทอัพ... หรือในกรณีของผม เป็นบริษัทจัดงานฮาโลวีนยักษ์ใหญ่... ไม่เลย
.
เขาคือคนที่จะมาถามคุณว่า:
"คุณแน่ใจเหรอว่าอยากใหญ่?"
"คุณรู้มั้ยว่าทำไมถึงอยากโต?"
"แล้วถ้าเล็กแต่มีความสุขล่ะ? มันจะแย่ตรงไหน?"
.
ในหนังสือ "Company of One" เขาท้าทายทุกความเชื่อที่เรามีเกี่ยวกับความสำเร็จ เหมือนคนที่กล้ายืนขึ้นกลางห้องประชุมและพูดว่า "พวกคุณกำลังคิดผิดทั้งหมด!"
.
แต่ที่น่าขำก็คือ... เขาพูดถูก
.
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้คุณ "เล็ก" ลง แต่สอนให้คุณ "ใช่" ขึ้น เป็นตัวเองมากขึ้น และมีความสุขกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ในยุคที่ทุกคนกำลังพยายามจะเป็น Amazon หรือ Google ตัวน้อยๆ Paul กลับบอกว่า "เฮ้! บางทีการเป็นร้านหนังสือเล็กๆ ที่ลูกค้ารัก ก็เจ๋งไม่แพ้กันนะ"
.
และนี่คือเรื่องราวของผม - กรรชัย ผู้ประกอบการไทยที่บังเอิญ(?) เจอหนังสือของเขาวางอยู่บนโต๊ะ Starbucks หลังจากดื่มกาแฟไปห้าแก้ว และกำลังคิดจะดื่มแก้วที่หก…
.
เรื่องราวที่พิสูจน์ว่า บางทีการหยุดวิ่งไล่ตามความ "ใหญ่" อาจทำให้เราเจอสิ่งที่ "ใช่" ก็ได้
.
และใช่ครับ... Paul ในบทความนี้พูดภาษาไทยได้ (นี่อาจเป็นผลข้างเคียงจากการดื่มกาแฟมากเกินไป หรือไม่ก็เป็นเรื่องจริง... คุณต้องอ่านต่อถึงจะรู้)
.
.
-----------------------------------------------
.
[ กาแฟแก้วที่ห้าและความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ ]
.
.
"Thai Pumpkin Spice Latte รอบที่ห้าค่ะ พี่กรรชัย" น้องมินต์ บาริสต้าประจำ Starbucks Reserve Roastery เรียกพร้อมส่งสายตาเป็นห่วง "แต่วันนี้หนูใส่ดีแค็ฟให้สองช็อตนะคะ เห็นพี่มือสั่นตั้งแต่แก้วที่สาม"
.
"เฮ้ย! ทำไมทำแบบนั้นล่ะ" ผมประท้วง "พี่ต้องการพลังสมองตอนนี้!"
.
"พี่ต้องการหมอมากกว่ามั้งคะ" มินต์หัวเราะ "นี่ถ้าพี่เป็นอะไรไป หนูต้องเป็นคนโทรเรียก 911 นะคะ แล้วหนูจะอธิบายยังไงว่าทำไมลูกค้าชาวไทยถึงช็อกหมดสติที่ร้าน... เพราะดื่มกาแฟห้าแก้วในสามชั่วโมง?"
.
ผม - กรรชัย เจ้าของ Halloween Magic Bangkok ที่ย้ายมาบุกเบิกตลาดที่ Seattle ได้หกเดือน กำลังนั่งจมกับความคิดและอีเมลยกเลิกงานฉบับที่สาม
.
"พี่กรรชัยคะ" มินต์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง "จริงๆ นะคะ ทำไมพี่ถึงย้ายมาที่นี่?"
.
ผมถอนหายใจ นึกย้อนไปถึงความสำเร็จที่ผ่านมาใน Bangkok... Halloween Magic เคยเป็นธุรกิจที่ทำให้ผมภูมิใจ รายได้ดี มีชื่อเสียง จนกระทั่ง...
.
"เพราะความทะเยอทะยานไงครับ" ผมตอบ "คิดว่าถ้ามาที่นี่ จะได้ขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น... ที่ไหนได้! มาเจอยักษ์ใหญ่เพียบ แถมทุนก็หนา ประสบการณ์ก็เยอะ..."
.
"แล้วตอนนี้พี่เหลืออะไรบ้างคะ?"
.
"กระเป๋าสองใบ อุปกรณ์แต่งหน้า Special Effect กับ..." ผมชะงัก นึกขึ้นได้ "เฮ้ย! ลืมจ่ายค่าคลังเก็บของเดือนนี้!"
.
ระหว่างที่กำลังจะเปิดแอพธนาคาร...
.
"ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ?" เสียงทักเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำดังขึ้น
.
"อ้าว! พูดไทยได้ด้วยเหรอครับ" ผมเงยหน้าขึ้นมอง
.
"ได้สิครับ เพราะแอดมินเพจนี้ขี้เกียจแปลภาษา" ชายที่มีรอยสักเต็มแขนท่าทางใจดียิ้ม "ผมพอล จาร์วิส"
.
"Paul Jarvis?!" ผมอุทานเสียงดังจนลูกค้าโต๊ะข้างๆ สะดุ้ง "เจ้าของหนังสือ Company of One?!"
.
"ใช่ครับ" Paul ยิ้ม "แล้วนั่นหนังสือผมที่คุณกำลังอ่านอยู่ใช่ไหม?"
.
"ครับ! พอดีเห็นมีคนลืมไว้..." ผมชะงัก "เอ่อ... จริงๆ ผมกำลังจะเอาไปคืนที่เคาน์เตอร์พอดี"
.
Paul หัวเราะ "ไม่เป็นไรครับ นั่นผมลืมไว้เมื่อวานเอง วันนี้แวะมาเอา... แต่ดูเหมือนคุณกำลังต้องการมันมากกว่าผมนะ"
.
"มากกว่าที่คุณคิดอีกครับ" ผมถอนหายใจ พลางเล่าสถานการณ์ธุรกิจให้เขาฟัง
.
"น่าสนใจมาก" Paul พยักหน้า พลางสั่งกาแฟของตัวเอง "คุณกำลังเจอปัญหาที่ผมเห็นบ่อยมาก... การคิดว่าใหญ่กว่าคือดีกว่า"
.
.
------------------------------
.
[ การสนทนาที่เปลี่ยนมุมมองธุรกิจ ]
.
.
"คุณรู้ไหมครับว่าทำไมผมถึงเขียน Company of One?" Paul เริ่มต้น ขณะที่มินต์นำกาแฟของเขามาเสิร์ฟ
.
"เพราะอยากสอนให้คนทำธุรกิจเล็กๆ ให้สำเร็จ...?" ผมเดา
.
"ไม่ใช่ครับ" Paul ยิ้ม "แต่เพราะผมเบื่อที่เห็นคนมากมายทิ้งความสุขเพื่อไล่ตามความ 'ใหญ่' ทั้งๆ ที่พวกเขามีสิ่งที่ดีอยู่แล้ว"
.
"เอ่อ... แต่การเติบโตมันสำคัญไม่ใช่เหรอครับ?" ผมถาม พลางรู้สึกผิดที่เพิ่งเซ็นสัญญาเช่าคลังสินค้าขนาดใหญ่ไป
.
"ลองตอบผมหน่อย" Paul วางแก้วกาแฟลง "ตอนอยู่เมืองไทย คุณมีความสุขกับธุรกิจแค่ไหน?"
.
"มากครับ" ผมยิ้ม นึกถึงความหลัง "ผมได้ทำในสิ่งที่รัก ลูกค้าก็แฮปปี้ มีเวลาพักผ่อน ได้คิดสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ..."
.
"แล้วตอนนี้ล่ะ?"
.
"ก็... นั่งกินกาแฟห้าแก้วตั้งแต่เช้า นอนไม่เกินสี่ชั่วโมงต่อวัน เครียดเรื่องค่าเช่า กังวลเรื่องคู่แข่ง..."
.
"นั่นไงครับ" Paul พยักหน้า "คุณกำลังแลกความสุขกับ 'ความฝัน' ที่อาจไม่ใช่ของคุณ"
.
"ยังไงครับ?"
.
"สังคมสอนเราว่าธุรกิจต้องโต ต้องขยาย ต้องมีพนักงานร้อยคน ต้องมีออฟฟิศหรู..." Paul อธิบาย "แต่ไม่มีใครถามว่า 'ทำไม?' ทำไมคุณถึงต้องการสิ่งเหล่านั้น?"
.
ผมนิ่งคิด... จริงด้วย ทำไมผมถึงอยากขยายธุรกิจนักหนา?
.
"ผมจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง" Paul หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูป "เห็นร้านเบเกอรี่นี้ไหม?"
.
"เห็นครับ ร้านเล็กๆ น่ารักดี"
.
"ร้านนี้เป็นของเพื่อนผม Tom เขาทำขนมอร่อยที่สุดใน Seattle ลูกค้าต่อคิวยาวทุกวัน จนมีนักลงทุนมาขอซื้อกิจการ อยากให้เขาขยายเป็นเชน"
.
"แล้วเขาตกลงไหมครับ?"
.
"ไม่" Paul ยิ้ม "Tom บอกว่า 'ถ้าผมขยายร้าน ผมจะไม่ได้ทำขนมอีกแล้ว แต่ต้องมานั่งทำเอกสาร จัดการพนักงาน คุยกับนักลงทุน... แล้วความสุขของผมจะหายไปไหน?'"
.
"แต่เขาจะรวยกว่านี้นะครับ ถ้าขยาย..."
.
"แล้วความรวยจะมีความหมายอะไร ถ้าคุณไม่มีความสุข?" Paul ถาม "Tom บอกว่าเขามีรายได้พอแล้ว มีเวลาอยู่กับครอบครัว ได้ทำในสิ่งที่รัก... แค่นี้ไม่ใช่ความสำเร็จแล้วหรือครับ?"
.
ผมนั่งนิ่ง... นึกถึงตอนอยู่เมืองไทย ที่ผมเคยมีความสุขกับการทำธุรกิจขนาดเล็ก
.
"แต่..." ผมลังเล "ถ้าเราไม่โต เราจะแข่งกับคนอื่นได้ยังไงครับ?"
.
Paul ยิ้มกว้าง "นั่นแหละครับ คำถามสำคัญ... ทำไมคุณต้องไปแข่งกับคนอื่น ในเมื่อคุณสามารถสร้างเกมของตัวเองได้?"
.
"เกมของตัวเอง?"
.
"ใช่ครับ" Paul หยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง "มาดูกันว่าการทำธุรกิจแบบ Company of One มันเป็นยังไง..."
.
.
-------------------------------
.
[ บทเรียนจาก Paul – ศิลปะของการเล็กแต่แกร่ง ]
.
.
"ก่อนอื่น" Paul เริ่มเขียนบนกระดาษ "ผมอยากให้คุณลืมทุกอย่างที่คุณเคยเรียนรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ... โดยเฉพาะคำว่า 'Scale'"
.
"Scale? การขยายกิจการเหรอครับ?"
.
"ใช่ครับ" Paul พยักหน้า "ทุกวันนี้เรามักได้ยินว่าธุรกิจต้อง Scale Up ต้องขยาย ต้องเติบโต... แต่รู้ไหมว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อต้นไม้โตเร็วเกินไป?"
.
"มันล้มหรือครับ?" ผมเดา
.
"หรือไม่ก็หักครับ" Paul ยิ้ม "เหมือนกับธุรกิจที่โตเร็วเกินไป มักจะพบปัญหา 3 อย่าง..."
.
ตอนนั้นเอง มินต์เดินมาเติมน้ำให้เรา พร้อมกับแอบกระซิบ "พี่กรรชัย อย่าลืมว่าวันนี้ดื่มไปห้าแก้วแล้วนะคะ"
.
"ไม่เป็นไรครับ" ผมตอบ "ตอนนี้สมองผมกำลังตื่นเต็มที่"
.
Paul หัวเราะ "นั่นแหละครับ เหมือนธุรกิจที่ใช้กาแฟ... เอ๊ย! เงินทุนเยอะเกินไป มันอาจจะดูตื่นเต้นตอนแรก แต่สุดท้ายก็ต้องเจอ Cash Flow Crash"
.
"แล้วเราควรทำยังไงครับ?"
.
"ก่อนอื่น มาดูปัญหาของการโตเร็วเกินไปก่อน:
.
1. คุณภาพลดลง - เหมือนร้านอาหารที่เปิดสาขาเยอะเกินไป จนรสชาติอาหารไม่เหมือนเดิม
.
2. ความยืดหยุ่นหาย - ยิ่งองค์กรใหญ่ ยิ่งปรับตัวช้า เหมือนเรือเดินสมุทรที่หลบหลีกอะไรไม่ทัน
.
3. ความสุขหด - ผู้ประกอบการมักจะหลงลืมว่าทำไมถึงเริ่มต้นธุรกิจนี้"
.
ผมพยักหน้าเข้าใจ นึกถึงตอนที่เพิ่งเริ่ม Halloween Magic ในเมืองไทย... ตอนนั้นมีความสุขมากกับการคิดครีเอทีฟ การได้เจอลูกค้า การได้สร้างสรรค์งาน
.
"แต่..." Paul ชี้นิ้ว "นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหยุดนิ่ง เราแค่ต้องเติบโตในแบบที่ถูกต้อง"
.
"แบบที่ถูกต้องคือยังไงครับ?"
.
"ผมเรียกมันว่า Smart Growth" Paul วาดภาพบนกระดาษ "แทนที่จะโตแบบ 'ออกไปด้านข้าง' เราโตแบบ 'ลงลึกลงไป'"
.
"หมายถึงอะไรครับ?"
.
"ลองนึกถึงช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในโลกสิครับ พวกเขาไม่ได้พยายามรับงานเยอะๆ หรือเปิดโรงงานผลิตสินค้า แต่พวกเขาพัฒนาฝีมือจนสุดยอด จนลูกค้ายอมจ่ายแพงเพื่อจะได้ของชิ้นเดียวที่พิเศษจริงๆ"
.
"อ๋อ..." ผมเริ่มเห็นภาพ "เหมือนร้านซูชิที่มีที่นั่งแค่ 8 ที่ แต่ได้ดาวมิชลิน?"
.
"ใช่เลยครับ!" Paul ตบโต๊ะดังปัง จนกาแฟแก้วที่หกของผมแทบหก "นั่นแหละคือตัวอย่างที่ดีมาก... เขาไม่ได้พยายามเปิดร้านเยอะๆ แต่เขาพัฒนาคุณภาพจนสุดยอด"
.
"แล้วผมจะประยุกต์ใช้ยังไงดีครับ?"
.
"ก่อนจะตอบคำถามนั้น..." Paul ยิ้มมุมปาก "ผมว่าเราควรสั่งกาแฟแก้วใหม่ดีกว่า แก้วนี้เย็นชืดแล้ว... แต่คุณน่าจะพอแล้วนะ หกแก้วในหนึ่งวัน"
.
.
---------------------------
.
[ Smart Growth - เติบโตอย่างชาญฉลาด (และไม่ต้องดื่มกาแฟหกแก้ว) ]
.
.
"โอเค" Paul เริ่มใหม่ หลังจากสั่งชาเขียวร้อนมาแทนกาแฟ "มาดูกันว่า Smart Growth มันเป็นยังไง..."
.
"เดี๋ยวครับ" ผมขัด "ทำไมคุณสั่งชาล่ะ? นึกว่าจะดื่มกาแฟ"
.
"เพราะบางทีเราต้องรู้จักเปลี่ยนไงครับ" Paul ยิ้ม "เหมือนกับธุรกิจ... บางทีสิ่งที่เราคิดว่าใช่ อาจไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด"
.
ผมพยักหน้า นึกถึงกาแฟหกแก้วในท้องตัวเองแล้วเริ่มรู้สึกวูบๆ วาบๆ
.
"กลับมาที่เรื่อง Smart Growth" Paul วาดภาพใหม่บนกระดาษ "การเติบโตที่ดีมี 4 มิติ:
.
1. การเติบโตด้านคุณค่า
.
"ลองนึกถึงร้านราเมนเล็กๆ ในญี่ปุ่น" Paul อธิบาย "พวกเขาทำราเมนแค่ไม่กี่อย่าง แต่ทำได้สมบูรณ์แบบ จนลูกค้ายอมต่อคิวชั่วโมงครึ่งเพื่อจะได้กิน"
.
"แต่พวกเขาขายได้น้อยกว่าร้านเชนนะครับ" ผมแย้ง
.
"ใช่ แต่พวกเขามีกำไรมากกว่า" Paul ยิ้ม "เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ ไม่ต้องจ้างพนักงานเยอะ ไม่ต้องเช่าพื้นที่แพงๆ... และที่สำคัญ พวกเขามีความสุขกับการทำงาน"
.
2. การเติบโตด้านความรู้
.
"ทุกๆ วัน แทนที่จะคิดว่าจะขยายธุรกิจยังไง ให้คิดว่าจะพัฒนาตัวเองยังไง"
.
ผมนึกถึงช่วงที่อยู่เมืองไทย ตอนที่ผมใช้เวลาว่างเรียนรู้เทคนิคแต่งหน้า Special Effect ใหม่ๆ...
.
"ใช่แล้วครับ!" Paul เห็นสีหน้าผมแล้วรู้ทันที "นั่นแหละคือการเติบโตที่แท้จริง"
.
3. การเติบโตด้านความสัมพันธ์
.
"รู้ไหมว่าทำไม Starbucks ถึงเคยประสบปัญหาใหญ่?" Paul ถาม พลางมองไปรอบๆ ร้าน
.
"เพราะขยายเร็วเกินไป?"
.
"ใช่ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือพวกเขาสูญเสียความสัมพันธ์กับลูกค้า" Paul อธิบาย "จากร้านกาแฟที่ทุกคนรู้สึกเหมือนบ้าน กลายเป็นแค่ร้านที่คนแวะมาซื้อกาแฟแล้วรีบไป"
.
"อ๋อ... เหมือนที่ผมเคยรู้จักชื่อลูกค้าทุกคน รู้ว่าใครกลัวผีแบบไหน" ผมนึกถึงตอนอยู่เมืองไทย
.
"นั่นแหละครับ! นั่นคือความสัมพันธ์ที่เงินซื้อไม่ได้"
.
4. การเติบโตด้านความยั่งยืน
.
"สุดท้าย..." Paul จิบชาเขียว "การเติบโตที่ดีต้องยั่งยืน ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่พุ่งขึ้นวันนี้แล้วพรุ่งนี้ดิ่งลง"
.
"เหมือนหุ้น Crypto ไงครับ" ผมหัวเราะ นึกถึงเพื่อนที่เคยบอกว่ารวยแล้วจากเงิน Crypto... ก่อนจะหายไปเงียบๆ
.
"ถูกต้อง!" Paul หัวเราะตาม "ธุรกิจที่ดีต้องเหมือนต้นไม้ที่โตช้าๆ แต่รากแก้วแข็งแรง ไม่ใช่เห็ดที่ผุดขึ้นมาวันนี้แล้วเน่าพรุ่งนี้"
.
"แล้ว..." ผมลังเลที่จะถาม "ถ้าผมจะกลับไปทำแบบเดิม จะไม่ดูล้มเหลวเกินไปหรือครับ?"
.
Paul วางถ้วยชาลง มองผมด้วยสายตาจริงจัง...
.
.
--------------------------------------
.
[ ความล้มเหลวอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ]
.
.
"รู้ไหมว่าใครล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์?" Paul ถาม
.
"อืม... นักธุรกิจที่ล้มละลาย?" ผมเดา
.
"ไม่ใช่" Paul ยิ้ม "นักวิทยาศาสตร์ต่างหาก พวกเขาทดลองพันครั้งเพื่อค้นพบหนึ่งสิ่ง... แต่รู้อะไรไหม? พวกเขาไม่เรียกมันว่าความล้มเหลว พวกเขาเรียกมันว่า 'การค้นพบว่าอะไรใช้ไม่ได้'"
.
ผมนั่งนิ่ง ดูดกาแฟที่เหลือจนหมดแก้ว (แก้วที่หก... และหวังว่าจะเป็นแก้วสุดท้ายของวัน)
.
"คุณไม่ได้ล้มเหลวหรอกครับ" Paul พูดต่อ "คุณแค่ค้นพบว่าการพยายามเป็นบริษัทใหญ่มันไม่ใช่ตัวคุณ"
.
"แต่ผมทุ่มเทมาตั้งเยอะ..."
.
"ลองคิดดูนะครับ" Paul หยิบกระดาษแผ่นใหม่ "สิ่งที่คุณได้จากประสบการณ์นี้:
.
1. คุณรู้จักตลาดอเมริกาดีขึ้น
.
2. คุณเข้าใจจุดแข็งของตัวเองชัดเจนขึ้น
.
3. และที่สำคัญที่สุด... คุณกำลังจะค้นพบว่าความสำเร็จที่แท้จริงคืออะไร"
.
"คืออะไรครับ?"
.
"คือการที่คุณมีความสุขกับสิ่งที่ทำ และสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นได้" Paul ตอบ "ลองนึกดู... ตอนอยู่เมืองไทย ทำไมลูกค้าถึงชอบ Halloween Magic ของคุณ?"
.
"ก็... เพราะผมใส่ใจทุกรายละเอียด รู้จักลูกค้าทุกคน ปรับแต่งงานให้เข้ากับความต้องการของแต่ละคน..."
.
"แล้วตอนนี้ล่ะ? ตั้งแต่มาอเมริกา คุณทำแบบนั้นได้ไหม?"
.
"ไม่ได้เลยครับ" ผมส่ายหน้า "ยุ่งแต่เรื่องขยายกิจการ หาคลังเก็บของ จ้างพนักงาน..."
.
"เห็นไหมครับ?" Paul ยิ้ม "คุณกำลังพยายามเป็นคนอื่น แทนที่จะเป็นตัวเอง"
.
ตอนนั้นเอง มินต์เดินมาเก็บแก้วกาแฟ "พี่กรรชัยคะ จริงๆ... หนูว่าพี่เจ๋งนะคะ"
.
"หืม?" ผมหันไปมอง
.
"คือ... หนูเคยเห็นคลิปงานฮาโลวีนที่พี่ทำในเมืองไทยค่ะ มันสนุกมาก มีเอกลักษณ์ แปลกใหม่... แต่พอมาที่นี่ หนูว่ามันเหมือนๆ กับที่อื่นไปหมด"
.
Paul ผงกศีรษะ "เห็นไหมครับ? แม้แต่บาริสต้าก็ยังสังเกตเห็น"
.
"แล้ว... ผมควรทำยังไงต่อดีครับ?"
.
Paul หยิบปากกาขึ้นมา "มาวางแผนกันใหม่... แต่ก่อนอื่น คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ดื่มกาแฟเพิ่มแล้วนะ"
.
"ผมว่าผมควรสั่งชาเขียวบ้างแล้วล่ะครับ" ผมยิ้ม รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงเกินไปหน่อย
.
"ดีมาก" Paul เริ่มเขียน "มาดูกันว่าเราจะทำให้ Halloween Magic กลับมาเป็น Halloween Magic ที่แท้จริงได้ยังไง..."
.
.
------------------------------
.
[ การกลับสู่แก่นแท้ (และการเลิกแข่งกับคนอื่น) ]
.
.
"ก่อนจะวางแผน" Paul วางปากกาลง "มาทำความเข้าใจก่อนว่าอะไรคือจุดแข็งที่แท้จริงของ Company of One"
.
"ความคล่องตัวหรือครับ?" ผมเดา พลางรู้สึกว่าชาเขียวช่วยให้สมองใสขึ้นจริงๆ
.
"ใกล้เคียง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด" Paul ยิ้ม "จุดแข็งที่แท้จริงคือ 'ความเป็นตัวของตัวเอง' ครับ"
.
"อธิบายหน่อยครับ"
.
"ลองคิดดู..." Paul ชี้ไปที่ร้าน Starbucks รอบๆ ตัวเรา "ทำไมสตาร์บัคส์ถึงต้องเหมือนกันทุกสาขา?"
.
"เพราะต้องรักษามาตรฐาน?"
.
"ใช่ แต่นั่นก็แปลว่าพวกเขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้มาก ต้องทำตามสูตรสำเร็จ" Paul อธิบาย "แต่ร้านกาแฟเล็กๆ ที่เป็นเจ้าของคนเดียว? พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่ลูกค้าชอบ"
.
มินต์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย "เหมือนพี่ชายหนูเลยค่ะ เขาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ แต่มีเมนูแปลกๆ ที่ไม่มีใครทำ เช่น กาแฟส้มผสมน้ำมะพร้าวกะทิ..."
.
"นั่นแหละครับ!" Paul ชี้มือไปที่มินต์ "นั่นคือพลังของการเป็น Company of One... คุณสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นตัวคุณจริงๆ"
.
"แต่..." ผมลังเลที่จะถาม "แล้วถ้าลูกค้าต้องการงานใหญ่ๆ ล่ะครับ?"
.
"นั่นคือโอกาสที่จะสร้างพันธมิตร" Paul ยิ้ม "Company of One ไม่ได้แปลว่าต้องทำทุกอย่างคนเดียว แต่แปลว่าต้องรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้"
.
.
-------------------------------
.
[ การปรับโฉม Halloween Magic แบบ Company of One ]
.
.
Paul หยิบแล็ปท็อปของผมมาดู "ลองดูว่าที่ผ่านมาคุณทำอะไรได้ดีที่สุด"
.
บนหน้าจอคือรีวิวเก่าๆ จากลูกค้าในเมืองไทย:
.
"Halloween Magic ไม่ใช่แค่ปาร์ตี้ผี แต่เป็นการเล่าเรื่องที่มีชีวิต"
.
"กรรชัยใส่ใจทุกรายละเอียด จากเสียงลมพัดยันกลิ่นธูป"
.
"เขารู้ว่าผมกลัวผีแค่ไหน และปรับทุกอย่างให้พอดีกับผม"
.
"เห็นไหมครับ?" Paul ชี้ "นี่คือสิ่งที่บริษัทใหญ่ๆ ทำไม่ได้"
.
"แต่ในอเมริกามันต่างนะครับ ผมต้องแข่งกับ..."
.
"หยุด!" Paul ยกมือห้าม "นี่แหละคือปัญหา คุณพยายามจะแข่งในเกมของคนอื่น แทนที่จะสร้างเกมของตัวเอง"
.
"แล้วผมควรสร้างเกมยังไงครับ?"
.
"มาดูกัน..." Paul เริ่มร่างแผนใหม่
.
.
แผนฟื้นฟู Halloween Magic: The Art of Small but Special
.
1. กลับสู่แก่นแท้ (Back to Essence)
.
"คุณรู้ตัวหรือเปล่า" Paul ถาม "ว่าทำไมคุณถึงประสบความสำเร็จในไทย?"
.
"เพราะผมใส่ใจรายละเอียด?"
.
"ไม่ใช่แค่นั้น" Paul ส่ายหน้า "แต่เพราะคุณสร้าง 'ประสบการณ์ส่วนตัว' ให้กับลูกค้าแต่ละคน"
.
มินต์ที่ยืนฟังอยู่พยักหน้า "จริงค่ะ เหมือนที่หนูเห็นในคลิป พี่กรรชัยรู้เลยว่าแต่ละคนกลัวอะไร ชอบอะไร..."
.
2. สร้างเอกลักษณ์ใหม่ (New Identity)
.
"แทนที่จะพยายามเป็นบริษัทอีเวนต์ทั่วไป" Paul อธิบาย "ทำไมไม่ลองเป็น 'ผู้สร้างประสบการณ์สยองขวัญเฉพาะบุคคล'?"
.
"ฟังดูเท่ดีนะครับ" ผมยิ้ม
.
"และที่สำคัญ" Paul เน้น "มันคือสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุด"
.
3. ปรับโมเดลธุรกิจ (Business Model Reinvention)
.
"แทนที่จะรับงานใหญ่ๆ" Paul วาดภาพ "เรามาแบ่งบริการเป็น 3 ระดับ:
.
- Personal Horror Experience: งานเล็ก เน้นความเป็นส่วนตัวสูง
.
- Small Group Adventure: กลุ่มเล็กๆ ที่รู้จักกัน
.
- Specialty Consulting: ให้คำปรึกษากับบริษัทใหญ่ที่ต้องการไอเดีย
.
แต่ทั้งหมดต้องยึดหลักเดียวกัน: ต้องพิเศษ ต้องมีคุณภาพ และต้องเป็นตัวคุณ"
.
4. การใช้เทคโนโลยีอย่างฉลาด (Smart Tech Integration)
.
"คุณไม่จำเป็นต้องมีทีมใหญ่" Paul อธิบาย "แต่ต้องมีระบบที่ดี:
.
- ระบบจองอัตโนมัติ
- แอพติดตามความคืบหน้า
- ฐานข้อมูลลูกค้าที่ดี"
.
.
"เอาล่ะ" Paul วางปากกาลง "นี่คือโครงร่างคร่าวๆ ผมมีการบ้านให้คุณ"
.
"การบ้านหรือครับ?" ผมขมวดคิ้ว
.
"ใช่" Paul พยักหน้า "ผมอยากให้คุณกลับไปทำสิ่งนี้ภายในหนึ่งสัปดาห์:
.
1. เขียนรายการทุกอย่างที่คุณมี – อุปกรณ์ ทรัพยากร ความสามารถ
2. วงกลมสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
3. ขีดฆ่าสิ่งที่เป็นภาระ
4. และสำคัญที่สุด... ให้คะแนนทุกอย่างว่ามันทำให้คุณมีความสุขแค่ไหน"
.
"แล้วเราจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ครับ?" ผมถาม พลางมองชาเขียวในแก้วที่เย็นชืดไปแล้ว (และแปลกใจที่ตัวเองไม่ได้สั่งกาแฟเพิ่ม)
.
"อีกสามเดือน วันที่คุณพร้อมจะเริ่มต้นใหม่จริงๆ" Paul ลุกขึ้นยืน "และผมว่าคุณควรลองไปดูงาน Halloween ที่นี่สักสองสามที่... ไม่ใช่เพื่อลอกเลียนแบบนะ แต่เพื่อให้เห็นว่าตลาดอิ่มตัวแค่ไหน และโอกาสของคุณอยู่ตรงไหน"
.
"ขอบคุณมากครับ" ผมยิ้ม "แต่... คุณแน่ใจนะครับว่าผมจะไหว?"
.
Paul หัวเราะ "คุณรู้มั้ย ทำไมผมถึงชอบฮาโลวีน?"
.
"ทำไมครับ?"
.
"เพราะมันสอนให้เรารู้ว่า บางทีสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือความกลัวของเราเอง" เขาตบไหล่ผมเบาๆ "แล้วเจอกันสามเดือนหน้านะ"
.
.
------------------------------
.
[ Halloween Magic ที่ Starbucks ]
.
.
Starbucks Reserve Roastery ในคืนฮาโลวีน ประดับประดาด้วยฟักทองสีส้มและใยแมงมุมปลอม เด็กๆ ในชุดผีวิ่งเล่นรอบๆ ร้าน บาริสต้าแต่งตัวเป็นแม่มดทั้งร้าน... และที่โต๊ะมุมประจำ ผมนั่งจิบชาเขียวร้อนๆ กับ Paul
.
"เล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ" Paul จิบชาเขียวแก้วที่สอง พลางมองเด็กน้อยในชุดผีปอบวิ่งผ่านไป (ใช่ครับ นั่นลูกค้าผมเอง) "ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?"
.
"ทุกอย่างเลยครับ" ผมยิ้ม ขณะที่มินต์ในชุดแม่มดเดินมาเติมน้ำชาให้เรา "ตั้งแต่วิธีคิดยันวิธีทำงาน"
.
"ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย"
.
1. จากปริมาณสู่คุณภาพ
"แต่ก่อนผมรับงาน 4-5 งานต่อสัปดาห์" ผมอธิบาย "ตอนนี้ผมรับแค่ 1-2 งาน..."
.
"แล้วรายได้ล่ะ?" Paul ถาม
.
"แปลกนะครับ... มันกลับเพิ่มขึ้น" ผมหัวเราะ "เพราะลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นสำหรับประสบการณ์ที่พิเศษกว่า"
.
2. จากแข่งขันสู่ความเป็นตัวเอง
"ผมเลิกดูว่าคู่แข่งทำอะไร" ผมเล่าต่อ "แต่โฟกัสที่การสร้างสิ่งที่ผมถนัดที่สุด"
.
"เช่น?"
.
"เช่น การผสมผสานวัฒนธรรม" ผมตอบ "ผมเริ่มทำ Workshop สอนเล่าเรื่องผี แบบผสมผสานตำนานตะวันออกกับตะวันตก..."
.
มินต์ที่นั่งฟังอยู่ยกมือขึ้น "หนูเคยไปฟังค่ะ! สนุกมาก โดยเฉพาะตอนที่พี่เปรียบเทียบผีปอบกับแวมไพร์"
.
3. จากความเครียดสู่ความสนุก
"ที่สำคัญที่สุด..." ผมมองกาแฟแก้วสุดท้ายที่เย็นชืดไปแล้ว "ผมกลับมามีความสุขกับงานอีกครั้ง"
.
"สังเกตได้จาก?" Paul ถาม
.
"จากการที่ผมไม่ต้องดื่มกาแฟหกแก้วต่อวันแล้วครับ" ผมหัวเราะ "และจากการที่ผมเริ่มฝันถึงไอเดียใหม่ๆ แทนที่จะฝันถึงบัญชีที่ต้องจ่าย"
.
4. จากลูกค้าสู่ชุมชน
"สิ่งที่น่าสนใจที่สุด" ผมเล่าต่อ "คือการที่ลูกค้าเริ่มกลายเป็นเหมือนครอบครัว"
.
"อธิบายหน่อยครับ"
.
"พวกเขาไม่ได้แค่จ้างผมจัดงาน แต่เริ่มชวนผมไปกินข้าว แนะนำเพื่อน แชร์เรื่องราวครอบครัว... บางคนถึงขนาดพาไปเที่ยว Disneyland..."
.
Paul พยักหน้าพึงพอใจ "นั่นแหละครับ คือความสำเร็จที่แท้จริงของ Company of One... การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่ธุรกิจ"
.
.
"รู้ไหมครับ" Paul เอ่ยขึ้น ขณะที่เสียงเพลง "This Is Halloween" ดังแว่วมาจากลำโพงร้าน "ผมไม่ได้ลืมหนังสือไว้หรอกนะ"
.
"อ้าว?" ผมชะงัก
.
"ผมเห็นคุณนั่งเครียดอยู่ทุกวัน" Paul ยิ้ม "เลยตั้งใจวางหนังสือทิ้งไว้... และเลือกมาเจอคุณอีกครั้งในเดือนก่อนฮาโลวีนพอดี"
.
"แต่... ทำไมคุณถึง?"
.
"เพราะผมเห็นตัวเองในตัวคุณไงครับ" Paul ตอบ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่เด็กๆ กำลังเดินไปตามถนนพร้อมถุงขนม "ผมเคยเป็นแบบคุณ... พยายามจะเป็นบริษัทใหญ่ จนลืมไปว่าทำไมถึงเริ่มต้นทำธุรกิจ"
.
"แล้วก็..." Paul ชี้ไปที่ครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน ในชุดผีไทยที่ผสมผสานกับธีมฮาโลวีน "ผมว่าคุณประสบความสำเร็จแล้วนะ"
.
ผมมองตาม... นั่นคือลูกค้าคนแรกของผมที่ Seattle ครอบครัวที่คุณยายเป็นคนไทย ที่ทำให้ผมค้นพบตัวตนที่แท้จริงของ Halloween Magic อีกครั้ง
.
.
----------------------------------
.
[ บทสรุปเนื้อหา Company of One ]
.
.
Company of One โดย Paul Jarvis เป็นหนังสือที่นำเสนอแนวคิดการทำธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องเติบโตใหญ่โต แต่เน้นการสร้างความยั่งยืน ความสมดุลในชีวิต และการทำงานที่มีความหมาย หนังสือเล่มนี้แนะนำวิธีการสร้างธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล โดยไม่ต้องตามหาความสำเร็จในแบบที่สังคมกำหนด
.
องค์ประกอบสำคัญของ Company of One
.
1. การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับชีวิตส่วนตัว :
เริ่มต้นจากการตั้งคำถามว่าคุณต้องการอะไรจากธุรกิจของคุณ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมถึงเวลาว่าง ความสุข และความสมดุลในชีวิต
.
2. การปฏิเสธการเติบโตเพื่อการเติบโต :
ไม่จำเป็นต้องขยายธุรกิจให้ใหญ่โตหากไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณ การรักษาขนาดธุรกิจให้เล็กสามารถช่วยให้คุณควบคุมและจัดการได้ง่ายขึ้น และมีเวลาสำหรับสิ่งที่คุณรัก
.
3. การพัฒนาธุรกิจจากงานเสริม :
ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานประจำทันที คุณสามารถเริ่มต้นจากงานเสริม พัฒนาทักษะและสร้างฐานลูกค้าก่อนที่จะตัดสินใจทำเต็มเวลา
.
4. การสร้างความหลงใหลในงานของคุณ :
แทนที่จะตามหางานที่ตรงกับความรัก ให้สร้างความรักจากสิ่งที่คุณทำโดยการเห็นผลลัพธ์และความพึงพอใจของลูกค้า
.
5. การเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะและหาช่องว่างในตลาด :
เน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง การมีนิชมาร์เก็ตช่วยให้คุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และลดการแข่งขัน
.
6. การยอมรับพลังของความเรียบง่ายและบุคลิกภาพ :
สร้างธุรกิจที่สะท้อนตัวตนและบุคลิกภาพของคุณ ความเรียบง่ายช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและน่าจดจำ
.
7. การเรียนรู้จากกลุ่มเป้าหมายและสร้างความสัมพันธ์ :
ฟังความคิดเห็นของลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน การรู้จักลูกค้าช่วยให้คุณพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา
.
8. การหลีกเลี่ยงการลงทุนใหญ่และมุ่งเน้นการทำกำไรอย่างรวดเร็วและประหยัด :
ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หลีกเลี่ยงหนี้สินและความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
.
9. การให้ธุรกิจเติบโตอย่างช้าๆ และเพิ่มการลงทุนเมื่อจำเป็น :
ไม่เร่งรีบในการขยายธุรกิจ ให้ธุรกิจเติบโตตามธรรมชาติ และลงทุนเพิ่มเติมเมื่อเห็นว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้น
.
10. การมุ่งเน้นการบริการลูกค้าและการรักษาลูกค้า :
การบริการที่ดีและการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าช่วยให้ธุรกิจของคุณยั่งยืน ลูกค้าที่พึงพอใจจะกลับมาซื้อซ้ำและแนะนำธุรกิจของคุณให้กับคนอื่น
.
.
แนวทางในการสร้าง Company of One
.
1. เป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่คุณทำ :
พัฒนาทักษะและความรู้ในด้านที่คุณสนใจ และเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าของคุณ
.
2. สร้างระบบที่ทำงานให้คุณ :
ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคุณตลอดเวลา
.
3. รักษาความสมดุลในชีวิต :
จัดการเวลาของคุณให้มีความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อรักษาความสุขและความพึงพอใจ
.
4. เน้นคุณค่าและความหมาย :
สร้างธุรกิจที่มีความหมายต่อคุณและลูกค้าของคุณ ไม่ใช่แค่การทำกำไร
.
.
ข้อคิดเพิ่มเติม
.
- คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบการเพื่อใช้หลักการของ Company of One :
แม้คุณจะทำงานในองค์กรใหญ่ คุณยังสามารถนำหลักการเหล่านี้มาใช้ในการทำงานของคุณได้ เช่น การมุ่งเน้นความเรียบง่าย การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
.
- การวัดความสำเร็จในแบบของคุณเอง :
ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องวัดจากขนาดของธุรกิจหรือจำนวนเงิน แต่จากความสุข และความสมดุลที่คุณได้รับจากมัน
.
.
-----------------------------------
.
[ บทส่งท้าย ]
.
.
อีก 6 เดือนต่อมา...
.
"Thai Pumpkin Spice Latte นะคะ พี่กรรชัย" มินต์ยิ้มทักทาย "แก้วเดียวเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ?"
.
"ครับ" ผมยิ้มตอบ "วันนี้มีประชุมกับ Paul ด้วย เขาบอกอยากมาฟังความคืบหน้าอีก"
.
"เป็นไงบ้างคะ?" มินต์ถามพลางชงกาแฟ "ได้ยินว่า Halloween Magic กำลังไปได้ดี?"
.
ผมพยักหน้า พลางเล่าให้เธอฟังถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
.
.
"สวัสดีครับทุกคน!" เสียง Paul ดังขึ้น
.
"พอดีเลยครับ" ผมหันไปทัก "ผมกำลังจะเล่าให้มินต์ฟังถึงโปรเจกต์ล่าสุด"
.
"เล่ามาเลยครับ" Paul นั่งลง
.
"คือ... ผมกำลังจะเปิด 'Ghost Story Academy'" ผมเริ่มเล่า "สอนการเล่าเรื่องผี ผสมผสานวัฒนธรรม..."
.
"น่าสนใจ!" Paul พยักหน้า "แล้วจะขยายกี่สาขา?"
.
ผมหัวเราะ "ไม่ขยายครับ... จะเปิดที่เดียว ทำให้ดีที่สุด"
.
Paul ยิ้มกว้าง "คุณเข้าใจแล้ว…"
.
.
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้:
.
1. ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ขนาด แต่วัดที่ความสุขและคุณค่าที่มอบให้ผู้อื่น
.
2. ความเป็นตัวเองคือสิ่งที่แทนที่ไม่ได้ ยิ่งเราพยายามเลียนแบบคนอื่น ยิ่งเราห่างไกลจากความสำเร็จ
.
3. บางทีน้อยกว่าคือมากกว่า การมีลูกค้าน้อยแต่รักเราจริงๆ ดีกว่ามีลูกค้าเยอะที่แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป
.
"แล้วนี่..." Paul ถามขณะที่เราคุยกันใกล้จบ "ยังคิดจะกลับไทยมั้ย?"
.
"ไม่แล้วครับ" ผมยิ้ม "ผมเจอบ้านใหม่แล้ว... บ้านที่ผมสามารถเป็นตัวเองได้"
.
"แม้จะเป็นบ้านที่ผีหลอนๆ?" Paul หัวเราะ
.
"ใช่ครับ" ผมตอบ "แต่เป็นผีที่มีหัวใจ... และรู้จักความพอดี"
.
จบบทความด้วยเสียงหัวเราะ และกลิ่นกาแฟที่หอมกรุ่น... แก้วเดียวพอ
.
.
เขียนที่ Starbucks Reserve Roastery, Seattle
โดย กรรชัย "คนที่เลิกดื่มกาแฟหกแก้วต่อวันได้สำเร็จ"
และ Paul Jarvis "คนที่ทำให้ผมเข้าใจว่าบางทีการหลอกของผีก็ไม่น่ากลัวเท่าการหลอกตัวเอง"
.
.
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.