18 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กับการพัฒนาตนเอง
ชีวิตทั้งหมดคือเกมของการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด ฟังดูคุ้นๆไหมครับ? ใช่แล้ว นั่นคือนิยามเศรษฐศาสตร์
คุณอาจคิดว่าเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องของตัวเลขซับซ้อน เส้นกราฟยุ่งเหยิง และนักวิชาการที่พูดอะไรเข้าใจยาก แต่ความจริงแล้ว เศรษฐศาสตร์คือคู่มือการใช้ชีวิตฉบับที่คุณไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
ทุกวันคุณกำลัง "จัดสรรทรัพยากร" โดยไม่รู้ตัว—เวลา 24 ชั่วโมงที่มีจะเอาไปทำอะไร? พลังงานมีจำกัดจะทุ่มเทให้อะไร? หรือจะเสียสติไปกับอะไร? (เช่น อ่านดราม่าในทวิตเตอร์แล้วนอนไม่หลับ) ทั้งหมดนี้คือการตัดสินใจทางเศรษฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตคุณโดยตรง
และถ้าคุณเคยตั้งเป้าว่า "พรุ่งนี้จะเริ่มใหม่" แล้วตื่นมาพบว่าพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อวานเลย บทความนี้คือทางออกให้คุณ
มาดู 18 ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยออกแบบ "Smart Systems" ให้คุณพัฒนาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งแรงบันดาลใจไฟไหม้ฟางที่พรุ่งนี้มอดไปแล้ว
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics)
1. Hyperbolic Discounting:
ทฤษฎีนี้อธิบายแนวโน้มของมนุษย์ที่ให้ความสำคัญกับความสุขในปัจจุบันมากกว่าความสุขในอนาคต แม้ว่าผลตอบแทนในอนาคตจะมีมูลค่ามากกว่าก็ตาม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การเลือกกินของหวานทันทีแม้รู้ดีว่าไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว หรือการเลือกดูซีรีส์แทนที่จะอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาความรู้ แม้จะรู้ว่าการอ่านหนังสือจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
นอเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ Richard Thaler ได้เสนอแนวคิด "กลไกผูกมัด" (Commitment Device) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำตามแผนที่วางไว้ แม้จะเผชิญกับการล่อลวงให้เลือกความสุขทันทีในปัจจุบัน
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
จ่ายค่าสมาชิกฟิตเนสล่วงหน้าเป็นปี – ความเสียดายเงินจะผลักดันให้คุณไปออกกำลังกาย
ทำข้อตกลงกับเพื่อนว่าถ้าไม่ทำตามเป้าหมาย จะต้องบริจาคเงินให้องค์กรที่คุณไม่ชอบ
ใช้แอปพลิเคชันที่ล็อคโทรศัพท์คุณไม่ให้เข้าแอปที่ทำให้เสียเวลาในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น Forest, Freedom)
โอนเงินออมไปบัญชีที่เข้าถึงยาก หรือตั้งระบบหักเงินออมอัตโนมัติก่อนได้รับเงินเดือน
การสร้างกลไกผูกมัดทำให้คุณเอาชนะความลำเอียงทางความคิดของตัวเองได้ ด้วยการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ช่วยผลักดันพฤติกรรมที่ดีในระยะยาว แม้จะไม่ให้ความสุขทันทีในปัจจุบันก็ตาม
2. Loss Aversion: เสีย 1,000 เจ็บกว่าได้ 1,000 (เลยใช้มันเป็นแรงผลักดัน)
Daniel Kahneman และ Amos Tversky ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ค้นพบว่ามนุษย์เจ็บปวดกับการสูญเสียมากกว่าความสุขจากการได้รับในจำนวนเท่ากันประมาณ 2-2.5 เท่า นั่นหมายความว่า การเสียเงิน 1,000 บาทจะรู้สึกแย่กว่าความดีใจที่ได้เงิน 1,000 บาทมาก
ปรากฏการณ์นี้อธิบายว่าทำไมเราจึงยึดติดกับของเก่าแม้จะไม่มีประโยชน์ ลังเลที่จะขายหุ้นที่ขาดทุน หรือกลัวที่จะเปลี่ยนงานแม้จะไม่มีความสุขกับงานปัจจุบัน เพราะสมองของเรามองว่าการสูญเสียสิ่งที่มีอยู่แล้ว (แม้จะไม่ดี) เจ็บปวดมากกว่าการไม่ได้สิ่งใหม่ที่อาจจะดีกว่า
งานวิจัยยืนยันว่าความกลัวการสูญเสียเป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังกว่าความหวังที่จะได้รับรางวัล เราสามารถใช้จุดอ่อนทางจิตวิทยานี้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเองได้อย่างมาก
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
มอบเงิน 5,000 บาทให้เพื่อนและบอกว่าเขาสามารถเก็บไว้ได้หากคุณไม่ทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายในเวลาที่กำหนด
ใช้แอปพลิเคชันเช่น StickK หรือ Beeminder ที่จะหักเงินจากบัญชีหากไม่ทำตามเป้าหมาย
ประกาศเป้าหมายต่อสาธารณะ ความกลัวการสูญเสียหน้าจะผลักดันให้คุณทำตามที่ประกาศไว้
ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายราคาแพง ความรู้สึกเสียดายเงินหากไม่ได้ใช้จะกระตุ้นให้คุณออกกำลังกาย
ความกลัวการสูญเสียเป็นแรงจูงใจที่ทรงพลังมากกว่าความหวังที่จะได้รับรางวัล การวางระบบให้ "ไม่ทำ" มีต้นทุนสูงกว่า "ทำ" จะช่วยให้คุณมีแรงผลักดันแม้ในวันที่ไม่มีแรงจูงใจเลยก็ตาม
3. Intrinsic-Extrinsic Motivation: ระวัง! รางวัลภายนอกอาจฆ่าความสนุกภายใน
งานวิจัยของ Dan Ariely และนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่ารางวัลภายนอก (เช่น เงิน หรือของรางวัล) อาจทำลายแรงจูงใจภายในได้โดยไม่ตั้งใจ
เมื่อเราเริ่มให้รางวัลสำหรับกิจกรรมที่เคยทำด้วยความสนุกหรือความพึงพอใจ สมองจะเริ่มเชื่อมโยงกิจกรรมนั้นกับ "งาน" แทนที่จะเป็น "ความเพลิดเพลิน" และเมื่อไม่มีรางวัลภายนอก แรงจูงใจก็อาจหายไปด้วย
ตัวอย่างคลาสสิก เช่น การทดลองกับเด็กที่ชอบวาดรูป เมื่อเริ่มให้รางวัลเมื่อวาดรูป เด็กจะวาดรูปน้อยลงเมื่อไม่มีรางวัล เพราะกิจกรรมนั้นกลายเป็น "งาน" ไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อความสนุกอีกต่อไป
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
พยายามรักษาความสนุกและความท้าทายในกิจกรรมที่ต้องการทำอย่างต่อเนื่อง
ให้รางวัลตัวเองด้วย "ประสบการณ์" แทน "สิ่งของ" เช่น ถ้าทำงานเสร็จ รางวัลคือการได้ไปเดินเล่นในสวน หรือได้ดูหนังที่ชอบ
เน้นการให้รางวัลที่ไม่คาดหวังหรือไม่สม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้สมองเชื่อมโยงกิจกรรมกับรางวัลโดยตรง
ค้นหาแรงจูงใจภายในที่แท้จริง เช่น การแข่งขันกับตัวเอง ความรู้สึกก้าวหน้า หรือความภูมิใจที่ได้มาสเตอร์ทักษะใหม่
ประเด็นสำคัญคือการออกแบบระบบรางวัลที่ช่วยเสริมแรงจูงใจภายในที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่แทนที่หรือทำลายมัน มนุษย์มีแรงขับเคลื่อนพื้นฐาน 3 อย่างตามทฤษฎี Self-Determination คือ ความเป็นอิสระ (autonomy) ความเชี่ยวชาญ (mastery) และความเชื่อมโยงกับผู้อื่น (relatedness) ระบบการให้รางวัลที่ดีควรสนับสนุนแรงขับเหล่านี้ ไม่ใช่ดึงความสนใจไปที่รางวัลภายนอกเพียงอย่างเดียว
4. Reference Point Theory: สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่มี แต่อยู่ที่เทียบกับอะไร
ทฤษฎีนี้อธิบายว่าความรู้สึกพึงพอใจของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานะที่แท้จริง แต่ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบกับ "จุดอ้างอิง" (reference point) ที่เรามีในใจ
นี่คือเหตุผลที่คนที่ได้โบนัส 30,000 บาทอาจรู้สึกแย่ถ้าปีที่แล้วเคยได้ 50,000 บาท ในขณะที่คนที่ได้โบนัส 30,000 บาทเช่นกันกลับรู้สึกดีมากถ้าปีที่แล้วได้เพียง 10,000 บาท ทั้งๆ ที่ได้รับจำนวนเงินเท่ากัน
จุดอ้างอิงนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อความสุขและความพึงพอใจในชีวิต เพราะเราประเมินความสำเร็จหรือความล้มเหลวจากการเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ตั้งไว้ ไม่ใช่จากสถานะที่แท้จริง และมาตรฐานเหล่านี้มักมาจากการเปรียบเทียบกับคนอื่น สถานะในอดีต หรือความคาดหวังที่ตั้งไว้
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
เลือกจุดอ้างอิงอย่างชาญฉลาด เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีต ไม่ใช่กับคนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า
บันทึกความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เห็นพัฒนาการของตัวเองเมื่อเทียบกับจุดเริ่มต้น
แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อยๆ เพื่อให้มีชัยชนะเล็กๆ ที่สร้างความรู้สึกก้าวหน้าอยู่เสมอ
ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ เป้าหมายที่สูงเกินไปจะทำให้รู้สึกล้มเหลวแม้จะประสบความสำเร็จมาก
นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมชี้ว่า การปรับเปลี่ยนจุดอ้างอิงอาจเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเพิ่มความพึงพอใจในชีวิต โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นจริงแต่อย่างใด การเลือกจุดอ้างอิงที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณรู้สึกประสบความสำเร็จและมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาต่อไป
ทฤษฎีเกมและการตัดสินใจ (Game Theory & Decision Theory)
5. Nash Equilibrium: เมื่อ "คุณในอนาคต" กับ "คุณในปัจจุบัน" แข่งเกมกัน
John Nash ผู้คิดค้นทฤษฎี Nash Equilibrium (ดุลยภาพแนช) ได้อธิบายถึงสถานการณ์ที่ผู้เล่นทุกคนในเกมเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดโดยพิจารณาจากการเลือกของผู้เล่นคนอื่น ซึ่งเมื่อทุกคนทำเช่นนี้ จะไม่มีใครได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนเองฝ่ายเดียว
ในชีวิตจริง เราสามารถมองว่า "ตัวเราในปัจจุบัน" กับ "ตัวเราในอนาคต" เป็นผู้เล่นสองคนในเกมเดียวกัน ซึ่งมักจะจบลงด้วย "ดุลยภาพแนช" ที่แย่ กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายเลือกขี้เกียจ
"ตัวเราในปัจจุบัน" เลือกดูซีรีส์แทนที่จะอ่านหนังสือ เพราะรู้ว่าถึงอ่านวันนี้ "ตัวเราในอนาคต" ก็อาจจะขี้เกียจอยู่ดี และ "ตัวเราในอนาคต" ก็ขี้เกียจเพราะ "ตัวเราในอดีต" ไม่ได้วางรากฐานที่ดีไว้ให้ ผลลัพธ์คือไม่มีการพัฒนาเกิดขึ้นเลย ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการชีวิตที่ดีกว่า
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
เปลี่ยนกฎของเกม ออกแบบสภาพแวดล้อมให้ "การขี้เกียจวันนี้" มีต้นทุนสูงกว่า "การขยันวันนี้"
นัดเพื่อนไปเรียนพร้อมกัน ทำให้การไม่ไปเรียนมีต้นทุนทางสังคม (social cost) เช่น ความรู้สึกผิดหรือความอับอาย
ลงทุนซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายราคาแพงไว้ที่บ้าน เพื่อให้รู้สึกเสียดายหากไม่ได้ใช้
ตั้งระบบรางวัลทันทีสำหรับพฤติกรรมที่ดีต่ออนาคต เช่น ได้ดูซีรีส์หลังจากอ่านหนังสือครบตามเป้า
สร้างระบบติดตามความก้าวหน้าที่ชัดเจน เพื่อให้ "คุณในปัจจุบัน" เห็นว่าความพยายามวันนี้ส่งผลต่อ "คุณในอนาคต" อย่างไร
การออกแบบสภาพแวดล้อมที่ทำให้ "ดุลยภาพแนช" ใหม่เป็นสถานการณ์ที่ทั้ง "คุณในปัจจุบัน" และ "คุณในอนาคต" เลือกทำในสิ่งที่ดี จะนำไปสู่การพัฒนาตนเองที่ยั่งยืนโดยไม่ต้องใช้วินัยหรือแรงจูงใจมากจนเกินไป
6. Backward Induction: ย้อนจากฝันถึงวันนี้
ทฤษฎีกลยุทธ์แบบย้อนกลับ (Backward Induction) เป็นเทคนิคสำคัญในทฤษฎีเกม ที่สอนให้เราคิดจากจุดสิ้นสุดหรือเป้าหมายสุดท้าย แล้วย้อนกลับมาหาขั้นตอนที่เราควรทำในปัจจุบัน แทนที่จะคิดจากปัจจุบันไปสู่อนาคตแบบไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
แนวคิดนี้ใช้ในหมากรุกและเกมวางแผนต่างๆ โดยผู้เล่นที่เก่งจะนึกภาพตำแหน่งชัยชนะ แล้วคิดย้อนกลับมาว่าต้องเดินหมากอย่างไรในแต่ละช่วงเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น
ในการวางแผนชีวิต เทคนิคนี้มีประโยชน์อย่างมาก ถ้าเราต้องการไปถึงจุดหมายที่ชัดเจน เราควรย้อนกลับมาวางแผนจากจุดนั้นมาถึงปัจจุบัน
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
กำหนดเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน เช่น "เป็น CEO ในอีก 10 ปี"
ย้อนกลับมาถามว่า ก่อนที่จะเป็น CEO คุณควรมีตำแหน่งอะไรในอีก 5 ปี?
ก่อนที่จะมีตำแหน่งนั้น คุณต้องพัฒนาทักษะอะไรในอีก 2 ปี?
และเพื่อให้ได้ทักษะเหล่านั้น คุณต้องเริ่มทำอะไรในวันนี้?
สร้างแผนที่ชีวิต (life roadmap) ที่แสดงเส้นทางจากปัจจุบันไปสู่เป้าหมาย
การคิดแบบย้อนกลับช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนของเส้นทางที่ต้องเดิน และทำให้การตัดสินใจในปัจจุบันมีความหมายและทิศทางมากขึ้น เพราะทุกการตัดสินใจจะถูกประเมินว่าช่วยให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ไม่หลงทางหรือเสียเวลากับสิ่งที่ไม่จำเป็น
การลงทุนและการจัดการทรัพยากร (Investment & Resource Management)
7. Modern Portfolio Theory: อย่าเอาไข่ทุกฟองใส่ตะกร้าเดียว (แต่เป็นเรื่องทักษะ)
Harry Markowitz ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ได้พัฒนาทฤษฎีการลงทุนที่เรียกว่า Modern Portfolio Theory (MPT) ซึ่งสอนให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม และสร้างพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
หลักการสำคัญของ MPT คือ การกระจายความเสี่ยงไม่ใช่แค่การแบ่งเงินลงทุนในหลายๆ ที่ แต่เป็นการเลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันต่างกัน (different correlation) เพื่อให้เมื่อสินทรัพย์หนึ่งมีปัญหา อีกสินทรัพย์หนึ่งอาจจะยังทำผลตอบแทนได้ดี
หลักการเดียวกันนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาทักษะได้อย่างมาก เราไม่ควร "เทซุปที่แพงบนข้าวสวยเม็ดเดียว" หรือทุ่มเทพัฒนาทักษะเดียวโดยละเลยทักษะอื่นๆ เพราะตลาดงานและโอกาสในชีวิตมักจะไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
สร้างพอร์ตทักษะที่หลากหลาย แทนที่จะเชี่ยวชาญในเรื่องเดียว
พัฒนาทักษะที่เสริมกันและกัน เช่น คนเขียนโค้ดควรพัฒนาทักษะการสื่อสาร คนทำการตลาดควรเรียนรู้การวิเคราะห์ข้อมูล
เน้นทักษะที่มี "correlation ต่ำ" กับทักษะที่มีอยู่แล้ว เช่น ถ้าเก่งด้านตรรกะและการวิเคราะห์ ให้พัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์หรือการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ลงทุนในทักษะที่เป็น "สินทรัพย์ตกต่ำช้า" (low depreciation assets) คือทักษะที่ไม่ล้าสมัยง่าย เช่น การเขียน การพูดในที่สาธารณะ การคิดเชิงระบบ
การมีพอร์ตทักษะที่หลากหลายและสมดุลจะทำให้คุณสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดงานและเทคโนโลยีได้ดี และมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามา ซึ่งจะทำให้คุณมีความได้เปรียบในระยะยาว
8. Opportunity Cost: ความจริงอันขมขื่น - ทุกการตัดสินใจมีราคาแฝง
ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือมูลค่าของทางเลือกที่ดีที่สุดที่เราต้องสละไปเมื่อเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั่นคือ ทุกการตัดสินใจของเรามี "ต้นทุนแอบแฝง" ที่มองไม่เห็น แต่มีผลกระทบต่อชีวิตอย่างมาก
นักเศรษฐศาสตร์เน้นว่า ต้นทุนที่แท้จริงของการเลือกหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณจ่ายไป แต่เป็นสิ่งที่คุณต้องสละโอกาสที่จะทำสิ่งอื่น
ตัวอย่างเช่น การดูติ๊กต็อก 3 ชั่วโมงไม่ได้มีแค่ต้นทุนเวลา 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่มีค่าเสียโอกาสคือความรู้ที่อาจได้จากการอ่านหนังสือ 3 ชั่วโมง เงิน 1,000 บาทที่อาจหาได้จากงานเสริม 3 ชั่วโมง หรือความสัมพันธ์ที่อาจพัฒนาได้จากการใช้เวลากับครอบครัว 3 ชั่วโมง
ชีวิตของเราคือการจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัด (เวลา พลังงาน ความสนใจ เงิน) อย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่เราเลือกใช้ทรัพยากรเหล่านี้ เราต้องสละโอกาสในการใช้มันทำสิ่งอื่น
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
ก่อนเสียเวลาไปกับอะไร ถามตัวเองว่า "ถ้าไม่ทำสิ่งนี้ ฉันจะใช้เวลานี้ทำอะไรได้บ้าง? และสิ่งนั้นมีคุณค่ามากกว่าหรือไม่?"
คิดเรื่องค่าเสียโอกาสในทุกการตัดสินใจสำคัญ โดยถามว่า "ฉันกำลังสละอะไรเพื่อสิ่งนี้?"
ประเมินกิจกรรมที่ทำเป็นประจำว่าคุ้มค่ากับทรัพยากรที่ใช้ไปหรือไม่ ถ้าไม่คุ้ม ลด หรือเลิก
ตระหนักว่าการเลือกที่จะ "ไม่ทำอะไร" ก็มีค่าเสียโอกาส คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหากคุณลงมือทำ
การคิดเรื่องค่าเสียโอกาสอยู่เสมอจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับสิ่งที่ให้คุณค่าน้อย
9. Sunk Cost Fallacy: อย่าไล่ตามเงินที่สูญไปแล้ว
ความผิดพลาดในการตัดสินใจที่เกิดจากการให้ความสำคัญกับต้นทุนที่ลงทุนไปแล้วและไม่สามารถเรียกคืนได้ (sunk cost) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ต้นทุนที่ใช้ไปแล้วไม่ควรมีผลต่อการตัดสินใจในอนาคต แต่มนุษย์มักเสียดายสิ่งที่ลงทุนไปแล้วจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
ตัวอย่างที่พบบ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น:
การเรียนในสาขาที่ไม่ชอบต่อไปเพราะเรียนมาแล้ว 2 ปี
การดูหนังที่ไม่สนุกจนจบเพราะซื้อตั๋วแล้ว
การใช้ความสัมพันธ์ที่ไม่มีความสุขต่อไปเพราะคบกันมานาน
การทำธุรกิจที่ขาดทุนต่อไปเพราะลงทุนไปมากแล้ว
การตกหลุมพรางแบบนี้ทำให้เราเสียทรัพยากรเพิ่มเติมไปกับเส้นทางที่ไม่ดี แทนที่จะตัดขาดและเริ่มต้นใหม่ในทางที่ดีกว่า
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
ตัดสินใจโดยมองแค่ต้นทุนและผลประโยชน์ในอนาคตเท่านั้น ไม่สนใจสิ่งที่ลงทุนไปแล้วซึ่งไม่สามารถเรียกคืนได้
ถามตัวเองว่า "หากฉันเริ่มต้นใหม่ในตอนนี้ ฉันจะเลือกทำสิ่งนี้ต่อไปหรือไม่?" ถ้าคำตอบคือ "ไม่" ก็ควรเลิก
ทำการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (cost-benefit analysis) ใหม่อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่นำต้นทุนจมมาพิจารณา
พัฒนาความกล้าที่จะล้มเหลวและเริ่มต้นใหม่ เห็นการตัดขาดจากความผิดพลาดในอดีตเป็นการลงทุนในอนาคตที่ดีกว่า
การเข้าใจและหลีกเลี่ยงความคิดแบบต้นทุนจมจะช่วยให้คุณไม่ติดกับดักของการพยายามเรียกคืนสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว และช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
10. Endogenous Growth Theory: ความรู้คือกลไกเร่งเครื่องเศรษฐกิจ (และชีวิตคุณ)
Paul Romer ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ได้พัฒนาทฤษฎีการเติบโตเชิงลึก (Endogenous Growth Theory) ที่ชี้ว่าความรู้และนวัตกรรมคือตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การเพิ่มทุนหรือแรงงาน
จุดสำคัญของทฤษฎีนี้คือ ความรู้เป็นสินค้าที่ไม่มีการแข่งขันเชิงบริโภค (non-rivalrous good) หมายความว่าคนหนึ่งใช้ไม่ได้ทำให้คนอื่นใช้ไม่ได้ ต่างจากทรัพยากรทางกายภาพ และสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (increasing returns) ไม่ใช่ผลตอบแทนลดลง (diminishing returns) เหมือนทรัพยากรอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในการสร้างและสะสมความรู้จึงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว ทั้งสำหรับเศรษฐกิจและสำหรับชีวิตส่วนบุคคล
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
ลงทุนในความรู้ที่ "ทวีคูณ" (multiplicative) ไม่ใช่แค่ "บวกเพิ่ม" (additive) เช่น การเรียนหลักการคิดเชิงระบบ (systems thinking) หรือหลักการตัดสินใจ (decision-making) จะเพิ่มมูลค่าให้ทักษะอื่นๆ ที่คุณมีอยู่แล้วทั้งหมด
แสวงหาความรู้ที่เสริมและต่อยอดกัน ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนที่ทวีคูณมากกว่าความรู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
แบ่งปันและสอนความรู้ที่คุณมี ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจลึกซึ้งขึ้นและอาจได้มุมมองใหม่ๆ จากการแลกเปลี่ยน
สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เช่น จัดเวลาอ่านหนังสือ หรือเข้าร่วมชุมชนที่มีการแลกเปลี่ยนความรู้
ความรู้ที่คุณสร้างและแบ่งปันเหมือนโค้ดโอเพนซอร์ส: ยิ่งมีคนใช้ ยิ่งถูกพัฒนาให้ดีขึ้น และเมื่อคุณเป็นผู้สร้างหรือผู้แบ่งปันความรู้นั้น คุณจะได้รับผลตอบแทนมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภคความรู้
การออกแบบระบบแรงจูงใจ (Incentive Design)
11. Principal-Agent Problem: เมื่อ "คุณในอนาคต" โดน "คุณในปัจจุบัน" หักหลัง
ปัญหาตัวการ-ตัวแทน (Principal-Agent Problem) เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่ง (ตัวแทน หรือ agent) ต้องตัดสินใจแทนอีกบุคคลหนึ่ง (ตัวการ หรือ principal) แต่มีแรงจูงใจที่จะทำเพื่อประโยชน์ของตนเองมากกว่า
ในโลกธุรกิจ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ CEO (ตัวแทน) อาจไม่ได้ตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (ตัวการ) แต่ทำเพื่อโบนัสหรือผลประโยชน์ส่วนตัว
ในชีวิตจริง เราสามารถมองว่า "คุณในอนาคต" เป็นตัวการ (principal) ที่ต้องการให้ "คุณในปัจจุบัน" ซึ่งเป็นตัวแทน (agent) ทำงานหนักและเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพและความสำเร็จในระยะยาว
แต่ "คุณในปัจจุบัน" กลับต้องการความสุขและความสะดวกสบายทันที ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ในระยะยาว ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ทำร้ายตัวเองในอนาคต
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
สร้างระบบที่ทำให้ผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายตรงกัน (align incentives) เช่น ให้รางวัลทันทีเมื่อทำพฤติกรรมที่ดีต่อตัวเองในระยะยาว
ทำให้พฤติกรรมที่ดีต่ออนาคตสนุกและน่าพึงพอใจในปัจจุบัน เช่น หากิจกรรมออกกำลังกายที่สนุกแทนที่จะทรมาน
สร้างกลไกการติดตามและรายงานผล (monitoring) เช่น ใช้แอปติดตามความก้าวหน้า หรือมีเพื่อนคอยตรวจสอบ
ตั้งกฎและข้อจำกัดที่ชัดเจน (regulations) เช่น ตั้งกฎว่าไม่กินของหวานในวันธรรมดา หรือตั้งเวลาปิดอินเทอร์เน็ตหลัง 2 ทุ่ม
การแก้ปัญหาตัวการ-ตัวแทนในชีวิตส่วนตัวเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาตนเอง เพราะช่วยให้การตัดสินใจในปัจจุบันสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ทำให้สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของการล่อใจในระยะสั้น
12. Contract Theory: สัญญาที่ทำกับตัวเอง
Oliver Hart และ Bengt Holmström ได้รับรางวัลโนเบลจากทฤษฎีการออกแบบสัญญาที่มีประสิทธิภาพ (Contract Theory) ซึ่งอธิบายวิธีการสร้างข้อตกลงที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย แม้ในสถานการณ์ที่มีข้อมูลไม่สมบูรณ์หรือไม่เท่าเทียมกัน
การทำสัญญากับตัวเองเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะเมื่อเรารู้ว่าเรามักจะพ่ายแพ้ต่อการล่อใจในระยะสั้น (temptation) หรือขาดความสม่ำเสมอในการทำตามแผน
ทฤษฎีสัญญาสอนเราว่า สัญญาที่ดีต้องมีโครงสร้างที่ทำให้แต่ละฝ่ายมีแรงจูงใจที่จะทำตามสัญญานั้น ไม่ใช่แค่เป็นข้อตกลงหรือคำสัญญาลอยๆ ที่ไม่มีกลไกบังคับให้ปฏิบัติตาม
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
"สัญญากับตัวเอง" ที่ดีควรมีองค์ประกอบต่อไปนี้
เป้าหมายที่วัดผลได้ชัดเจน - เช่น "วิ่ง 5 กิโลเมตร 3 ครั้งต่อสัปดาห์" ไม่ใช่แค่ "ออกกำลังกายให้มากขึ้น"
กลไกตรวจสอบที่โปร่งใส - เช่น บันทึกการออกกำลังกายในแอปที่สามารถแชร์กับเพื่อนหรือโค้ชได้
รางวัลและบทลงโทษที่เหมาะสม - เช่น ถ้าทำตามเป้าหมายสำเร็จจะให้รางวัลตัวเองด้วยการดูหนังที่ชอบ แต่ถ้าไม่สำเร็จจะต้องบริจาคเงินให้องค์กรการกุศล
คนกลางที่น่าเชื่อถือ - เช่น เพื่อน, โค้ช, หรือแม้แต่แอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจสอบว่าคุณทำตามสัญญาหรือไม่
ข้อกำหนดในการแก้ไขสัญญา - เช่น กำหนดวันที่จะทบทวนและปรับเป้าหมายหากจำเป็น
การทำสัญญากับตัวเองในรูปแบบที่เป็นทางการจะช่วยเพิ่มความรับผิดชอบต่อตนเอง (accountability) และลดโอกาสที่จะหาข้ออ้างหรือโกงตัวเอง ยิ่งสัญญามีความชัดเจนและมีกลไกตรวจสอบที่รัดกุมมากเท่าไร โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
13. Transaction Cost: ลดต้นทุนพฤติกรรมดี เพิ่มต้นทุนพฤติกรรมแย่
Ronald Coase ได้รับรางวัลโนเบลจากการพัฒนาทฤษฎีต้นทุนธุรกรรม (Transaction Cost) ซึ่งอธิบายว่าต้นทุนในการดำเนินการแลกเปลี่ยนหรือธุรกรรมมีผลต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ต้นทุนเหล่านี้รวมถึงเวลา ความพยายาม ขั้นตอน และอุปสรรคต่างๆ ในการทำธุรกรรม
เมื่อนำมาใช้กับการพัฒนาตนเอง หลักการนี้สอนให้เราสร้างระบบที่ "ต้นทุน" ของพฤติกรรมดีต่ำกว่าพฤติกรรมแย่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไม่ได้เกี่ยวกับแรงจูงใจหรือวินัยเสมอไป แต่บ่อยครั้งเป็นเรื่องของการออกแบบสภาพแวดล้อมให้การทำสิ่งที่ถูกต้องกลายเป็นเรื่องง่ายที่สุด
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
การลดต้นทุนธุรกรรมของพฤติกรรมที่ดี:
วางรองเท้าวิ่งไว้ข้างเตียงเพื่อลดต้นทุนการเริ่มออกกำลังกาย
เตรียมอาหารเช้าหรือเตรียมเสื้อผ้าไว้ล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนการตัดสินใจในตอนเช้า
ดาวน์โหลดแอปอ่านหนังสือหรือเรียนรู้ไว้ในโทรศัพท์เพื่อลดต้นทุนการเข้าถึงความรู้
ตั้งค่าให้แอปที่มีประโยชน์อยู่หน้าแรกของโทรศัพท์
การเพิ่มต้นทุนธุรกรรมของพฤติกรรมที่ไม่ดี:
ลบแอปเกมหรือโซเชียลมีเดียออกจากโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มต้นทุนการเสียเวลา
เก็บของหวานหรือขนมไว้ในที่ที่เข้าถึงยาก (เช่น บนชั้นสูงสุดหรือในลิ้นชักที่ไกลจากที่นั่ง)
ปิดการแจ้งเตือนจากแอปที่ทำให้เสียสมาธิ
ใช้แอป website blocker เพื่อบล็อคเว็บไซต์ที่ทำให้เสียเวลาในช่วงเวลาทำงาน
ตั้งค่าโทรศัพท์ในโหมดโฟกัสหรือห้ามรบกวนในช่วงเวลาสำคัญ
กลยุทธ์นี้ไม่ได้เน้นที่การเพิ่มแรงจูงใจหรือวินัย แต่เน้นที่การออกแบบสภาพแวดล้อมให้การทำสิ่งที่ถูกต้องกลายเป็นเรื่องง่ายที่สุด และการทำสิ่งที่ไม่ดีกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องพึ่งพาแรงจูงใจหรือวินัยมากจนเกินไป
นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมพบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่าการพยายามเปลี่ยนความคิดหรือทัศนคติ เพราะต้นทุนธุรกรรมมีผลต่อการตัดสินใจโดยที่เราไม่รู้ตัว
เศรษฐศาสตร์และการพัฒนาตนเอง (Economics & Self-Development)
14. Marginal Productivity Theory: โฟกัสที่คอขวด
ทฤษฎีค่าจ้างตามผลผลิตสุดท้าย (Marginal Productivity Theory) อธิบายว่าในตลาดแรงงานที่แข่งขันสมบูรณ์ ค่าจ้างของคนงานจะเท่ากับมูลค่าของผลผลิตส่วนเพิ่มหรือผลผลิตสุดท้าย (marginal product) ที่คนงานสร้างขึ้น
นั่นคือ นายจ้างจะจ้างคนงานเพิ่มตราบใดที่มูลค่าของผลผลิตที่คนงานสร้างขึ้นมากกว่าค่าจ้างที่ต้องจ่าย และจะหยุดจ้างเมื่อผลผลิตสุดท้ายของคนงานเท่ากับค่าจ้าง
เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาตนเอง หลักการนี้สอนให้เราโฟกัสกับการปรับปรุงจุดอ่อนที่เป็นตัวฉุดรั้งความสำเร็จมากที่สุด (คอขวดหรือ bottleneck) ไม่ใช่พัฒนาจุดแข็งที่ดีอยู่แล้ว เพราะการปรับปรุงจุดอ่อนที่สำคัญจะให้ "ผลผลิตเพิ่ม" มากกว่า
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
วิเคราะห์หา "คอขวด" ในชีวิตหรือการทำงานของคุณ นั่นคือทักษะหรือคุณสมบัติที่ขาดแคลนและกำลังฉุดรั้งความสำเร็จของคุณในด้านอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งด้านเทคนิคแต่สื่อสารไม่ดี การปรับปรุงทักษะการสื่อสารอาจให้ผลตอบแทนสูงกว่าการพัฒนาทักษะด้านเทคนิคที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น
ถ้าคุณเป็นนักการตลาดที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีแต่ขาดความรู้ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ การพัฒนาทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูลจะเพิ่ม "ผลผลิตส่วนเพิ่ม" มากกว่าการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่ดีอยู่แล้ว
หากการขาดวินัยคือจุดอ่อนสำคัญที่ฉุดรั้งความสำเร็จของคุณ การโฟกัสกับการสร้างระบบและนิสัยที่ดีจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการพัฒนาความรู้เชิงเทคนิคเพิ่มเติม
การใช้ทฤษฎีนี้ให้เกิดประโยชน์ คือการวิเคราะห์ว่าอะไรคือจุดอ่อนที่เป็น "คอขวด" ที่จำกัดความก้าวหน้าของคุณมากที่สุด แล้วทุ่มเทการพัฒนาไปที่จุดนั้นก่อน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการกระจายความพยายามไปในหลายๆด้านอย่างไม่มีจุดเน้น
15. Increasing Opportunity Cost: รู้จักพอเมื่อเริ่มไม่คุ้ม
ทฤษฎีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่เพิ่มขึ้น (Increasing Opportunity Cost) อธิบายว่ายิ่งเราทุ่มเททรัพยากรไปกับกิจกรรมหนึ่งมากขึ้นเท่าใด ค่าเสียโอกาสก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากทรัพยากรที่เหลือจะถูกดึงมาจากกิจกรรมที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ หรือพูดอีกอย่างคือ เราจะใช้ทรัพยากรกับสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน แล้วค่อยใช้กับสิ่งที่สำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆ
ในชีวิตจริง เช่น เวลาทำงาน 8 ชั่วโมงแรกมีประสิทธิภาพและให้ผลตอบแทนดี แต่ชั่วโมงที่ 12-14 ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก ในขณะที่ค่าเสียโอกาส (เช่น การพักผ่อน สุขภาพ ความสัมพันธ์กับครอบครัว) กลับเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
รู้จัก "พอ" และกระจายเวลาและพลังงานให้กับกิจกรรมหลากหลายอย่างสมดุล
ใช้กฎ 80/20 (Pareto Principle) - โฟกัสกับ 20% ของงานที่สร้าง 80% ของผลลัพธ์
ตระหนักถึงจุดที่ผลตอบแทนเริ่มลดลง (diminishing returns) และหยุดหรือลดการลงทุนเพิ่ม
กำหนดขอบเขต (set boundaries) ในการทำงานและชีวิตส่วนตัว เพราะการยอมให้งานรุกล้ำเข้ามาในทุกพื้นที่ของชีวิตจะทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมลดลง
หาจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการทำงานกับกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต โดยพิจารณาทั้งผลลัพธ์และค่าเสียโอกาส
การเข้าใจเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้คุณจัดสรรทรัพยากรได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น และไม่หมกมุ่นกับงานหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งมากเกินไปจนเสียสมดุลในชีวิต
16. Incremental Change: พลังมหัศจรรย์ของ 1% ต่อวัน
ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Change) อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนมักเกิดจากการพัฒนาทีละเล็กทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง มากกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้เกิดแรงต้านสูง
เช่นเดียวกับที่เศรษฐกิจโลกพัฒนาทีละน้อยจนเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระยะยาว การพัฒนาตนเองก็เป็นไปตามหลักการเดียวกัน
หลักการสำคัญของทฤษฎีนี้คือพลังของการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่สะสมเมื่อเวลาผ่านไป การปรับปรุง 1% ทุกวันจะกลายเป็นการพัฒนา 37 เท่าใน 1 ปี ตามหลักการคำนวณแบบทบต้น (compound interest) ที่ Albert Einstein เรียกว่า "ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ"
ในทางกลับกัน การถดถอย 1% ต่อวันจะทำให้เหลือแค่ 3% ของจุดเริ่มต้นในเวลาเท่ากัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของความสม่ำเสมอทั้งในทางบวกและทางลบ
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
เน้นความสม่ำเสมอมากกว่าความเข้มข้น เช่น อ่านหนังสือวันละ 10 หน้าทุกวันดีกว่าอ่าน 70 หน้าในวันเดียวแล้วไม่ได้อ่านอีกเลยตลอดสัปดาห์
ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริง แล้วทำให้ได้ทุกวัน เช่น 5 นาทีของการเรียนภาษา 30 วินาทีของการแปรงฟัน หรือ 1 นาทีของการนั่งสมาธิ
เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ทำได้ง่าย จะช่วยสร้างความมั่นใจและแรงเฉื่อยเชิงบวก (positive momentum)
ฉลองความสำเร็จเล็กๆ เพื่อสร้างแรงเสริมทางบวก แล้วค่อยๆ เพิ่มความท้าทายเมื่อพฤติกรรมเริ่มเป็นนิสัย
อย่าละเลยความสำคัญของการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะผลกระทบสะสมในระยะยาวอาจใหญ่มาก
นักเศรษฐศาสตร์พบว่าการสร้างนิสัยและระบบที่ส่งเสริมการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปมีประสิทธิภาพมากกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะทำให้เกิดแรงต้านน้อยกว่าและมีโอกาสยั่งยืนมากกว่า
17. Comparative Advantage: ไม่ต้องเก่งที่สุด แค่เก่งกว่าคนอื่นในบางเรื่อง
David Ricardo ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง ได้พัฒนาทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ซึ่งอธิบายว่าประเทศต่างๆ ควรผลิตสินค้าที่ตนทำได้ดี "เปรียบเทียบ" กับประเทศอื่น แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ตนทำได้ดีที่สุดก็ตาม
ตัวอย่างคลาสสิกคือ แม้โปรตุเกสจะผลิตทั้งไวน์และผ้าได้มีประสิทธิภาพมากกว่าอังกฤษ แต่ถ้าโปรตุเกสมีความได้เปรียบในการผลิตไวน์มากกว่าความได้เปรียบในการผลิตผ้าเมื่อเทียบกับอังกฤษ โปรตุเกสควรโฟกัสที่การผลิตไวน์และแลกเปลี่ยนกับผ้าจากอังกฤษ จะทำให้ทั้งสองประเทศได้ประโยชน์
เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาตนเอง ทฤษฎีนี้สอนให้เราโฟกัสที่จุดแข็งเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ แทนที่จะพยายามเก่งทุกอย่าง
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
วิเคราะห์ว่าอะไรคือความสามารถพิเศษหรือจุดแข็งเฉพาะตัวของคุณ ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณเก่งที่สุด แต่เป็นสิ่งที่คุณเก่งกว่าคนอื่นโดยเปรียบเทียบ
มุ่งพัฒนาและใช้ประโยชน์จากความสามารถนั้น ในขณะเดียวกันก็หาทางทำงานร่วมกับคนที่มีความสามารถในด้านที่คุณไม่ถนัด
ยอมรับว่าคุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งในทุกด้าน แค่เก่งในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้หรือทำได้แย่กว่า ก็เพียงพอที่จะสร้างคุณค่าและความได้เปรียบในตลาดได้แล้ว
คิดถึงตัวเองในแง่ของ "ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง" ที่แตกต่าง ไม่ใช่พยายามแข่งขันกับคนอื่นในทุกๆ ด้าน
ตัวอย่างเช่น นักกีฬาโอลิมปิกอาจไม่เก่งเรื่องการเงิน แต่พวกเขาก็ยังประสบความสำเร็จเพราะมุ่งเน้นพัฒนาความสามารถพิเศษของตน แล้วจ้างนักการเงินมืออาชีพมาจัดการเรื่องการเงินแทน เช่นเดียวกัน แม้สตีฟ จอบส์จะไม่ใช่วิศวกรหรือนักออกแบบที่เก่งที่สุด แต่เขามีความสามารถพิเศษในการมองภาพรวมและเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับความต้องการของผู้บริโภค
18. DSGE Model: สร้างชีวิตที่ทนต่อวิกฤต
Dynamic Stochastic General Equilibrium (DSGE) คือโมเดลซับซ้อนที่ธนาคารกลางใช้รับมือความไม่แน่นอนระดับเศรษฐกิจโลก แนวคิดสำคัญคือออกแบบระบบที่ "รองรับแรงกระแทก" จากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และ "ปรับตัวเป็นพลวัต" ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
DSGE เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายเข้าใจว่าเศรษฐกิจจะตอบสนองต่อแรงกระแทก (shocks) ต่างๆ อย่างไร โดยพิจารณาปัจจัยแบบพลวัต (Dynamic) ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัจจัยแบบสุ่ม (Stochastic) ที่ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างสมบูรณ์ และดุลยภาพทั่วไป (General Equilibrium) ที่พิจารณาระบบเศรษฐกิจทั้งหมดพร้อมกัน
ในการพัฒนาตนเอง แนวคิดนี้สอนให้เราออกแบบชีวิตที่ไม่เพียงแค่ทำงานได้ดีในสภาวะปกติ แต่ยังสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันได้ด้วย
วิธีประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง:
การสร้าง "ระบบภูมิคุ้มกันชีวิต" แบบ 3 ชั้น:
Safety Net (ตาข่ายความปลอดภัย):
เก็บเงินฉุกเฉินให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 6-12 เดือน
พัฒนาทักษะที่หางานได้ทุกยุค (evergreen skills) เช่น การสื่อสาร การแก้ปัญหา ความคิดเชิงวิพากษ์
สร้างเครือข่ายสนับสนุนทั้งในแง่วิชาชีพและส่วนตัว
Adaptability (ความสามารถในการปรับตัว):
ฝึกทักษะการเรียนรู้และปรับตัวเร็ว (เช่น meta-learning และ cognitive flexibility)
ลงทุนพัฒนาตัวเองหลากหลายมิติ ไม่ยึดติดกับวิถีชีวิตหรืออาชีพเดียว
มีแผนสำรอง (Plan B, C, D) สำหรับทุกเป้าหมายสำคัญในชีวิต
Antifragility (ระบบที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเจอวิกฤต):
สร้างระบบชีวิตที่ไม่เพียงแค่ทนได้ (robust) แต่ยังแข็งแกร่งขึ้น (antifragile) เมื่อเจอความท้าทาย
มองวิกฤตเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา
ออกแบบชีวิตให้มี "optionality" สูง คือมีทางเลือกหลากหลายและยืดหยุ่น
นักเศรษฐศาสตร์เรียกแนวคิดนี้ว่า "Robust optimization under uncertainty" - การตัดสินใจที่ดีที่สุดภายใต้ข้อมูลไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการออกแบบชีวิตที่ไม่เพียงแค่มีประสิทธิภาพสูงในสถานการณ์ปกติ แต่ยังทนทานต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั้ง 18 ข้อนี้จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบ "Smart Systems" ที่ช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงบันดาลใจหรือวินัยมากจนเกินไป
จุดสำคัญคือการเข้าใจว่า การพัฒนาตนเองไม่ใช่เรื่องของแรงจูงใจหรือพรสวรรค์ แต่เป็นเรื่องของการออกแบบระบบที่ฉลาดซึ่งทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เหมือนที่ Adam Smith อธิบายถึง "มือที่มองไม่เห็น" (invisible hand) ที่นำพาเศรษฐกิจไปสู่จุดสมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ ระบบที่ดีก็จะนำพาคุณไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกันครับ
.
.
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies