ถอดบทเรียน "Leaders Eat Last" ผู้นำกินเป็นคนสุดท้าย จาก Simon Sinek
ถอดบทเรียน "Leaders Eat Last" ผู้นำกินเป็นคนสุดท้าย จาก Simon Sinek
.
มีคนเคยถาม Simon Sinek ว่าทำไมทหารถึงยอมตายเพื่อเพื่อนร่วมรบ ในขณะที่พนักงานออฟฟิศแทบไม่อยากแชร์วิธีใช้ Excel
.
หนังสือ "Leaders Eat Last" คือบันทึกการเดินทางของ Simon ที่พาเขาไปพบความจริงอันน่าตกใจ: ในโลกที่ทุกคนพยายามจะเป็นหัวหน้า กลับมีแค่ไม่กี่คนที่พร้อมจะเป็นผู้นำ
.
บทความนี้จะพาคุณไปร่วมสัมผัสประสบการณ์ในห้องสัมมนาที่อาจทำให้ผู้บริหารหลายคนต้องสำลักกาแฟ และอาจทำให้คุณต้องกลับไปมองดูป้ายชื่อตำแหน่งบนโต๊ะทำงานใหม่อีกครั้ง
.
-------------------------
.
[ Leaders Eat Last ]
.
.
"สวัสดีครับ ถ้าใครเข้าผิดห้อง วันนี้เป็นสัมมนาเรื่องภาวะผู้นำ ไม่ใช่คอร์สลดน้ำหนักนะครับ" Simon Sinek เปิดฉากด้วยมุกที่ทำให้ห้องสัมมนาขนาด 500 ที่นั่งหัวเราะลั่น "แต่ถ้าใครอยากลดน้ำหนัก ผมแนะนำให้เป็นผู้นำแบบที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้"
.
ในห้องสัมมนาวันนั้น มีทั้ง CEO ในชุดสูทราคาแพง ผู้จัดการระดับกลางที่กำลังหาวิธีรับมือกับทั้งเจ้านายและลูกน้อง สตาร์ทอัพหนุ่มสาวที่อยากสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ๆ (และพนักงานออฟฟิศที่แอบหนีเจ้านายมาหาแรงบันดาลใจ)
.
"วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องความจริงที่หลายคนอาจไม่อยากได้ยิน" Simon เดินลงจากเวทีมาท่ามกลางผู้ฟัง "เรื่องที่อาจทำให้คุณต้องกลับไปคิดใหม่ว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นผู้นำ... หรือแค่ผู้จัดการที่มีตำแหน่งสูง"
.
.
[ บทเรียนแรก: โรงอาหารทหารที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล ]
.
"ปี 2012 ผมได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมฐานทัพนาวิกโยธิน" Simon ฉายภาพขึ้นจอ "ตอนแรกผมคิดว่าจะได้เห็นภาพสุดเข้ม สุดจริงจังเหมือนในหนัง แต่กลับได้เห็นบางอย่างที่ทำให้ผมต้องนั่งนิ่งไปหลายนาที..."
.
เขาเล่าถึงภาพที่เห็นในโรงอาหาร: แถวยาวของทหารที่กำลังรอรับอาหาร โดยมีกฎไม่เป็นทางการว่า นายทหารระดับสูงจะรับอาหารเป็นคนสุดท้ายเสมอ
.
"วันนั้นผมยืนคุยกับนายพลระดับสูงคนหนึ่ง" Simon หยุดพูดชั่วครู่เพื่อสร้างความน่าสนใจ "อาหารเริ่มหมด แต่เขากลับยิ้มและบอกว่า 'ไม่เป็นไร วันนี้ผมทานมื้อเย็นก็ได้ ขอให้ลูกน้องได้กินครบทุกคน'"
.
CEO หนุ่มในแถวหน้าขมวดคิ้ว ยกมือถาม "แล้วมันช่วยอะไรครับ? นายพลก็หิว ทหารก็อิ่มแค่วันเดียว"
.
Simon ยิ้ม "คำถามดีมากครับ ลองคิดดูนะครับ... ถ้าคุณเป็นทหารในสนามรบ คุณจะวิ่งตามผู้นำคนไหน: คนที่กินก่อนแล้วสั่งให้คุณออกรบ หรือคนที่ให้คุณกินก่อนแล้วนำคุณออกรบ?"
.
"แต่นี่มันธุรกิจนะครับ ไม่ใช่สนามรบ" ผู้บริหารอีกคนแย้ง
.
"จริงเหรอครับ?" Simon ถามกลับพร้อมรอยยิ้มที่มีความหมาย "ลองนึกถึงพนักงานที่ต้องทำงานล่วงเวลาเพราะเดดไลน์กระชั้นชิด ในขณะที่หัวหน้ากลับบ้านไปนอนดูเน็ตฟลิกซ์... คุณคิดว่าเขาจะทุ่มเทให้องค์กรแบบเดียวกับทหารที่ยอมตายเพื่อเพื่อนไหมครับ?"
.
.
[ บทเรียนจาก Bob Chapman ]
.
"ตอนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008" Simon เปลี่ยนสไลด์ "บริษัทส่วนใหญ่เลือกที่จะปลดพนักงาน แต่มีผู้นำคนหนึ่งที่เลือกทางที่แตกต่าง"
.
เขาเล่าถึง Bob Chapman CEO ของ Barry-Wehmiller ที่ประกาศให้ทุกคนในบริษัท รวมถึงผู้บริหารระดับสูง หยุดงานโดยไม่รับเงินเดือน 4 สัปดาห์ต่อปี แทนที่จะปลดใครออก
.
"สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้ทุกคนต้องตะลึง" Simon เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "พนักงานเริ่มดูแลกันเอง คนที่มีเงินเก็บอาสาหยุดยาวกว่าเพื่อให้คนที่มีภาระต้องหยุดน้อยลง บางคนแบ่งวันหยุดให้เพื่อนที่มีลูกเล็ก"
.
"และรู้ไหมครับว่าอะไรน่าทึ่งที่สุด?" Simon หยุดพูดชั่วครู่ "เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว บริษัทไม่ต้องเสียเวลาและเงินในการจ้างและฝึกคนใหม่ แถมได้ความจงรักภักดีที่ไม่มีวันซื้อได้ด้วยเงิน"
.
.
[ เคมีแห่งความสุข ]
.
"ตอนนี้ผมจะพาทุกคนเข้าสู่เรื่องที่น่าสนใจ" Simon เปลี่ยนสไลด์เป็นภาพสมองมนุษย์ที่มีสีสันสดใส "เรื่องที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ แต่กำลังทำการทดลองกับพนักงานทุกวันโดยไม่รู้ตัว"
.
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดปุ่มสองสามครั้ง "ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!" เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
.
"รู้สึกคันมือใช่ไหมครับ?" Simon ถามผู้ฟัง "อยากหยิบมือถือขึ้นมาดูว่ามีอะไรเด้งขึ้นมาบ้าง นั่นเพราะ Dopamine กำลังทำงาน"
.
"Dopamine คือสารเคมีในสมองที่ทำให้เรารู้สึกดีเมื่อได้รับรางวัลทันที ไม่ว่าจะเป็นการได้ไลค์ในโซเชียล ได้อีเมลตอบกลับ หรือเห็นยอดขายพุ่งขึ้น"
.
"และนี่คือสิ่งที่น่ากลัว..." Simon หยุดพูดชั่วครู่ "ระบบบริหารสมัยใหม่กำลังทำให้พนักงานติด Dopamine เหมือนติดเกม"
.
ผู้บริหารสาวยกมือถาม "แล้วมันแย่ตรงไหนคะ? ในเมื่อมันทำให้คนทำงานได้มากขึ้น?"
.
"คำถามดีมากครับ" Simon ยิ้ม "ลองนึกถึงคนติดเกม เขาเล่นได้ทั้งวัน แต่มีความสุขจริงไหม? มีความผูกพันกับใครไหม? สร้างอะไรที่มีความหมายได้ไหม?"
.
"นั่นเพราะ Dopamine เป็นแค่หนึ่งในสี่ของสารเคมีที่ทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง"
.
.
[ Serotonin สารแห่งความภาคภูมิใจที่หายไปจากออฟฟิศ ]
.
"ลองนึกถึงความรู้สึกตอนที่ลูกคุณได้รางวัลที่โรงเรียน" Simon เปลี่ยนสไลด์ "หรือตอนที่คุณเห็นทีมงานที่คุณสอนประสบความสำเร็จ... นั่นคือ Serotonin กำลังทำงาน"
.
"Serotonin คือสารที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ มีคุณค่า และมีความหมาย มันเกิดขึ้นเมื่อเราได้ช่วยเหลือผู้อื่น ได้เห็นคนที่เราดูแลเติบโต"
.
"แต่ในออฟฟิศสมัยใหม่..." Simon ส่ายหน้าเบาๆ "เรามัวแต่วัด KPI รายวัน รายชั่วโมง จนลืมสร้างโมเมนต์แห่งความภาคภูมิใจเหล่านี้"
.
.
[ Oxytocin ฮอร์โมนแห่งความผูกพันที่ถูกลืม ]
.
"มีใครในที่นี้เคยได้รับ 'Employee of the Month' บ้างครับ?" Simon ถาม มีคนยกมือหลายคน
.
"แล้วมีใครจำได้บ้างว่าได้รับเมื่อไหร่? หรือได้รับเพราะอะไร?" คราวนี้มือลดลงเหลือไม่กี่คน
.
"นั่นเพราะรางวัลแบบนั้นไม่ได้สร้าง Oxytocin" Simon อธิบาย "Oxytocin เกิดจากความสัมพันธ์ที่แท้จริง การได้รับความไว้วางใจ การได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ดูแลกัน"
.
"ลองถามตัวเองดูว่า... ที่ทำงานของคุณมีกี่คนที่คุณไว้ใจพอจะให้ดูแลลูกคุณได้? นั่นคือตัวชี้วัดระดับ Oxytocin ในองค์กรของคุณ"
.
.
[ วงกลมแห่งความปลอดภัย ]
.
Simon เปลี่ยนสไลด์เป็นภาพฝูงช้างที่กำลังปกป้องลูกน้อย
.
"สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดมีสัญชาตญาณในการสร้างวงกลมแห่งความปลอดภัย" เขาอธิบาย "ตัวที่แข็งแรงที่สุดจะอยู่วงนอก ปกป้องตัวที่อ่อนแอกว่า"
.
"แต่ในองค์กรสมัยใหม่..." เขาเปลี่ยนสไลด์เป็นแผนผังองค์กร "เรากลับทำตรงข้าม ผู้บริหารนั่งห้องแอร์ชั้นบน ในขณะที่พนักงานต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าที่โกรธ งานที่เร่งรีบ และความกดดันจากทุกทิศทาง"
.
CEO หนุ่มในแถวหน้ายกมือถามอีกครั้ง "แล้วเราจะสร้างวงกลมแห่งความปลอดภัยได้ยังไงครับ ในเมื่อธุรกิจก็ต้องมีลำดับชั้น?"
.
"คำถามดีมากครับ" Simon ยิ้ม "ลำดับชั้นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือว่าเราใช้มันยังไง"
.
.
[ การสร้างวงกลมแห่งความปลอดภัยในโลกธุรกิจ ]
.
Simon วาดวงกลมขนาดใหญ่บนกระดาน "ลองนึกภาพว่าคุณเป็นพนักงานคนหนึ่ง ทุกวันคุณต้องเจอความท้าทายจากภายนอก..." เขาวาดลูกศรชี้เข้ามาที่วงกลม "ลูกค้าที่ไม่พอใจ คู่แข่งที่แข็งแกร่ง เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว"
.
"แต่ถ้าข้างในวงกลมก็มีภัยคุกคาม..." เขาวาดลูกศรเล็กๆ ข้างในวงกลม "การเมืองในออฟฟิศ การแข่งขันชิงดีชิงเด่น การประเมินผลที่ไม่เป็นธรรม... คุณคิดว่าพนักงานจะมีพลังเหลือไว้สู้กับความท้าทายภายนอกได้สักกี่เปอร์เซ็นต์?"
.
ห้องเงียบกริบ
.
"90% ของพลังงานจะถูกใช้ไปกับการปกป้องตัวเองจากภัยภายใน" Simon ตอกย้ำ "เหลือแค่ 10% ที่จะไปสู้กับคู่แข่งจริงๆ ขององค์กร"
.
.
[ กรณีศึกษา Microsoft และบทเรียนราคาแพง ]
.
"ใครเคยได้ยินเรื่อง Stack Ranking บ้างครับ?" Simon ถาม มีผู้บริหารหลายคนพยักหน้า
.
"นี่คือระบบที่ Microsoft ใช้มานาน บังคับให้ต้องไล่พนักงาน 10% ที่แย่ที่สุดออกทุกปี ไม่ว่าพวกเขาจะทำผลงานดีแค่ไหน"
.
"ผลลัพธ์คือ... พนักงานเริ่มกักเก็บข้อมูล ไม่แชร์ความรู้ เพราะกลัวเพื่อนร่วมงานจะเก่งกว่า ทีมที่เคยร่วมมือกันกลายเป็นคู่แข่ง นวัตกรรมหยุดชะงัก"
.
"แต่รู้ไหมครับว่าอะไรน่าสนใจที่สุด?" Simon หยุดชั่วครู่ "เมื่อ Satya Nadella ขึ้นมาเป็น CEO และยกเลิกระบบนี้ Microsoft กลับมาเติบโตอีกครั้ง ด้วยวัฒนธรรมใหม่ที่เน้นการเรียนรู้และร่วมมือกัน"
.
.
[ ความท้าทายในยุค AI เมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ]
.
"มีคนบอกผมว่า AI จะมาแทนที่ผู้นำ" Simon หัวเราะเบาๆ "ผมเลยถามกลับว่า... AI จะกินข้าวกับทีมได้ไหม?"
.
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วห้อง
.
"จริงๆ นะครับ" Simon ย้ำ "AI จะรู้ได้ไหมว่าใครในทีมกำลังมีปัญหาครอบครัว? AI จะสร้างความไว้วางใจได้ไหม? AI จะเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องได้ไหม?"
.
ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีในที่นั่งกลางห้องยกมือ "แล้วเราจะใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์กับการเป็นผู้นำได้ยังไงครับ?"
.
"คำถามดีมากครับ" Simon เดินเข้าไปใกล้ "ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดงานที่ไม่จำเป็น เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาทำสิ่งที่สำคัญที่สุด... นั่นคือดูแลคนของคุณ"
.
.
[ บทเรียนสุดท้าย: ความเป็นผู้นำคือการเลือก ]
.
"ก่อนจบวันนี้" Simon พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่อบอุ่น "ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า การเป็นผู้นำไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เป็นการเลือก"
.
"เลือกที่จะดูแลคนอื่น
เลือกที่จะสร้างความปลอดภัย
เลือกที่จะกินเป็นคนสุดท้าย"
.
"และที่สำคัญที่สุด..." เขาหยุดชั่วครู่ มองไปรอบห้อง สบตากับผู้ฟังทีละคน "เลือกที่จะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้"
.
.
--------------------------
.
[ 10 ข้อคิดสั้นๆ จาก Leaders Eat Last ที่จะเปลี่ยนมุมมองการเป็นผู้นำของคุณ ]
.
.
1. ผู้นำไม่ได้มีไว้สร้างผลลัพธ์ แต่มีไว้สร้างคนที่จะสร้างผลลัพธ์
.
2. ความไว้วางใจไม่ได้สร้างในวันที่ต้องการใช้ แต่สร้างทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ วัน
.
3. เมื่อคนรู้สึกปลอดภัย พวกเขาจะกล้าสร้างนวัตกรรม แต่เมื่อคนรู้สึกถูกคุกคาม พวกเขาจะคิดแต่เอาตัวรอด
.
4. อย่าสร้างระบบที่ทำให้คนได้รางวัลจากความล้มเหลวของคนอื่น
.
5. ในโลกที่เต็มไปด้วย KPI จงอย่าลืมว่าคนไม่ได้ทำงานเพื่อตัวเลข แต่ทำงานเพื่อความหมาย
.
6. ความเป็นผู้นำไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้รับ แต่เป็นการเลือกที่จะรับผิดชอบชีวิตของผู้อื่น
.
7. สิ่งที่คุณทำในฐานะผู้นำ สำคัญน้อยกว่าสิ่งที่คุณทำให้คนอื่นทำได้
.
8. ผู้นำที่ดีไม่ได้วัดจากจำนวนคนที่รับใช้คุณ แต่วัดจากจำนวนคนที่คุณรับใช้
.
9. เมื่อคนในทีมประสบความสำเร็จ จงภูมิใจเหมือนเป็นความสำเร็จของลูกคุณเอง
.
10. การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่การนั่งหัวโต๊ะ แต่บางทีเป็นการยืนอยู่ท้ายแถว... (และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรกินทีหลัง)
.
.
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies