Principles : Life and Work สร้างชีวิตเหนือกว่าความสำเร็จ! คิดแบบ Ray Dalio สู่เส้นทางแห่งการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัด
Principles : Life and Work สร้างชีวิตเหนือกว่าความสำเร็จ! คิดแบบ Ray Dalio สู่เส้นทางแห่งการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัด
.
"ความสำเร็จไม่ได้มาจากการรู้ทุกอย่าง แต่มาจากการรู้วิธีจัดการกับสิ่งที่เราไม่รู้"
.
เปิดฉากหนังสือ Principles ด้วยประโยคที่สะท้อนปรัชญาชีวิตของ Ray Dalio ชายผู้เริ่มต้นธุรกิจจากห้องนอน (ใช่ครับ ห้องนอนจริงๆ!) แล้วทำให้มันกลายเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Bridgewater Associates ใครจะคิดว่าการทำงานในชุดนอนจะได้ผลขนาดนี้!
.
สิ่งที่น่าสนใจคือ Dalio ไม่ได้มองว่าความมั่งคั่งคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด แต่เป็น วัฒนธรรมองค์กร ที่เขาสร้างขึ้น วัฒนธรรมที่ยึดความจริงเป็นดาวเหนือนำทาง ไม่ว่าความจริงนั้นจะสวยงามเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หรือเจ็บปวดเหมือนเหยียบเลโก้ตอนกลางคืน
.
.
หัวใจสำคัญของ Principles:
.
1. ส่วนรวม (The Whole) สำคัญกว่าปัจเจกบุคคล (The One) - เหมือนกับวงดนตรีที่ต้องเล่นเข้ากัน ถ้าใครเล่นผิดคีย์ ทุกคนก็จะรู้สึก
.
2. ระบบคุณธรรมที่สมบูรณ์แบบ (Perfect Meritocracy) คือกุญแจสู่การตัดสินใจที่ดี - คิดภาพว่าทุกคนในบริษัทมีคะแนนพลังเหมือนในเกม RPG และการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับคะแนนนั้น
.
3. การเปิดใจและความโปร่งใสอย่างถึงที่สุด (Radical Open-Mindedness and Transparency) คือเครื่องมือค้นหาความจริง - ไม่มีการซ่อนความลับในลิ้นชัก ไม่มี "เซอร์ไพรส์" ในการประชุม ทุกอย่างถูกวางบนโต๊ะ (หวังว่าโต๊ะจะใหญ่พอ! )
.
.
------------------------------
.
[ หลักการแรก (First principles) และการค้นหาความจริง (Truth) ]
.
.
Dalio เชื่อว่าหลักการแรก (First principles) มีไว้เพื่อให้คุณค้นพบหลักการของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อทำตามคนอื่นอย่างไร้ความคิด เหมือนนกแก้วที่ท่องจำแต่ไม่เข้าใจอะไรเลย เขาวางแนวทางสามขั้นตอนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
.
1. คิดด้วยตัวเอง (Think for yourself) เพื่อตัดสินใจว่าคุณต้องการอะไร (ไม่ใช่ตามเพื่อนทุกครั้งที่เลือกเมนูในร้านอาหาร )
.
2. ค้นหาว่าอะไรคือความจริง (Truth) (เช่น ทำไมถุงเท้าหายไปทุกครั้งหลังซักผ้า? )
.
3. คุณควรทำอะไรเพื่อให้บรรลุสิ่งที่คุณต้องการภายใต้ความจริงที่เป็นอยู่ (เช่น หาวิธีจับตัวการขโมยถุงเท้า—ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจเป็นเครื่องซักผ้าของคุณเอง! )
.
คุณเลือกหลักการของตัวเองได้ และคุณสามารถยอมรับหลักการของคนอื่นได้หากมันช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย แต่หลักการของคุณต้องเป็นของแท้ (Authentic) นั่นคือต้องสะท้อนตัวตนและคุณค่า (Values) ที่แท้จริงของคุณ จากนั้นคุณต้องใช้ชีวิตตามหลักการนั้นและทำตามที่พูด (Walk the Talk) ไม่ใช่แค่พูดว่าจะออกกำลังกายแล้วสมัครฟิตเนส แต่สุดท้ายใช้แค่ดูสาวในสระว่ายน้ำ
.
ระดับของหลักการ (Principles' Levels)
.
มีหลักการ 3 ระดับ:
.
- หลักการระดับสูง (Higher-level principles) คือบทบัญญัติ
.
- หลักการระดับกลาง (Mid-level principles) กำหนดด้วยตัวเลข
.
- หลักการระดับย่อย (Sub-level principles) กำหนดด้วยตัวอักษร
.
ในการเดินทางสู่ความจริง Dalio พบว่าทุกคนมักมีจุดบอด:
.
1. อัตตาที่ปกป้องความเชื่อเดิมๆ เช่น ยืนยันว่าตัวเองขับรถเก่งที่สุด ทั้งที่จอดชนเสาไฟทุกครั้ง
2. อารมณ์ที่บดบังเหตุผล
3. ประสบการณ์ที่จำกัดมุมมอง
.
"ผมกลัวความธรรมดา (mediocrity) มากกว่าความล้มเหลว" Dalio เล่าถึงแรงขับเคลื่อนของเขา "แย่ยังดีกว่าธรรมดา เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง" บทเรียนนี้มาจากการเดิมพันที่ "แพ้ไม่ได้" ("can't lose bet") ที่กลับพลิกล็อกให้เขาแพ้ยับเยิน สอนให้รู้ว่าความมั่นใจมากเกินไปคือจุดบอดที่อันตรายที่สุด
.
"งานที่มีความหมาย (meaningful work) และความสัมพันธ์ที่มีความหมาย (meaningful relationships) มีค่ามากกว่าเงินทองใดๆ" เขากล่าว ที่ Bridgewater เขาจึงไม่ต้องการแค่ "นักเก็บเงินเดือน" (paycheck collectors) แต่ต้องการผู้ร่วมเดินทางที่หลงใหลการค้นหาความจริงเหมือนเขา
.
.
--------------------------------
.
[ การยอมรับความจริงและการจัดการกับมัน ]
.
.
"การเป็นคนที่มองตามความจริงอย่างที่สุด (Hyper Realist) ไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนพยายามกอดเม่น—เจ็บแต่คุ้มค่า! แต่การได้เรียนรู้ที่จะรักความจริง แม้มันจะโหดร้าย เพราะในที่สุด มันคือเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่คุณมี (แม้ว่าจะไม่เคยกรองคำพูดให้เราเลยก็ตาม)
.
Ray Dalio ไม่ค่อยถูกกับอุดมคติที่ทำไม่ได้จริง (impractical idealism) เหมือนแมวไม่ถูกกับน้ำ เพราะมันเป็นเหมือนภาพลวงตาที่ทำให้คนหลงทาง เหมือนเดินในทะเลทรายแล้วคิดว่าเห็นโอเอซิส แต่จริงๆ แล้วเป็นแค่ร้านขายน้ำแข็งไส
.
สูตรความสำเร็จที่เขาค้นพบ ไม่ใช่สูตรลับของโค้ก แต่คือ:
.
ความฝัน + ความจริง + ความมุ่งมั่น = ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
(Dream + Reality + Determination = Successful Life)
.
คิดว่ากำลังทำเค้กสูตรพิเศษ แต่แทนที่จะได้ขนมไหม้ คุณจะได้ชีวิตที่อร่อยที่สุดแทน!
.
"การพิสูจน์คือรากฐานของผลลัพธ์ที่ดี" (Proof is The Foundation of Good Outcomes) เหมือนกับการไม่เชื่อว่ากาแฟร้อนจนกว่าจะลิ้นพอง
.
Dalio สังเกตว่าคนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงความจริงเมื่อมันขัดกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ เหมือนคนไข้ที่ปิดหูฮัมเพลงไม่อยากฟังผลตรวจสุขภาพที่ไม่ดี แต่การปฏิเสธความจริงไม่เคยทำให้ปัญหาหายไป เหมือนซ่อนบิลค่าไฟไว้ใต้พรม มันก็ยังอยู่และจะกลับมาหลอนคุณ!
.
การเปิดใจและโปร่งใสอย่างถึงที่สุด (Radical open-mindedness and transparency) คืออาวุธลับในการค้นหาความจริง Dalio เปรียบมันเหมือนการเปิดหน้าต่างในห้องที่อับทึบ—แสงสว่างอาจทำให้คุณตาพร่าในตอนแรก เหมือนแวมไพร์เจอแสงแดด แต่เมื่อตาปรับตัวได้ คุณจะเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้น และอาจจะเห็นว่าห้องคุณรกแค่ไหน!
.
เขาเรียนรู้จากวงจรข้อมูลย้อนกลับ (feedback loops) ที่เกิดจากการกระทำและความเชื่อ การเปิดใจอย่างถึงที่สุดช่วยพัฒนาวงจรเหล่านี้ให้แม่นยำขึ้น เหมือนนักกีฬาที่ฟังโค้ชบ่นจนหูชา แต่ก็วิ่งเร็วขึ้นทุกครั้ง เพราะอะไร? เพราะคำวิจารณ์ก็เหมือนยาขม ไม่อร่อยแต่ดีต่อสุขภาพ!
.
.
------------------------------------
.
[ การเรียนรู้จากธรรมชาติ ]
.
.
"ธรรมชาติกำหนดกฎทุกอย่างของความเป็นจริง" Dalio กล่าว โดยมองว่าวิวัฒนาการคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความเป็นจริง เขาได้รับอิทธิพลจากจิตวิทยาวิวัฒนาการอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งอาจมีรูปปั้นดาร์วินตั้งบนโต๊ะทำงานก็เป็นได้
.
"คนส่วนใหญ่มักตัดสินดีและเลวจากผลกระทบที่มีต่อตัวเอง" เขาสังเกต "แต่ธรรมชาติปรับแต่งเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อปัจเจกบุคคล" เหมือนผึ้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังช่วยผสมเกสรให้ดอกไม้ พวกมันคิดว่าแค่ออกไปหาของหวาน แต่จริงๆ แล้วเป็นพนักงานฟรีแลนซ์ที่ไม่ได้ค่าจ้างของระบบนิเวศ
.
ข้อคิดสำคัญที่เขาได้จากธรรมชาติ:
.
- อย่าติดกับดักความคิดว่า "สิ่งต่างๆ ควรเป็นอย่างไร" เพราะคุณจะพลาดการเห็นว่า "มันเป็นอย่างไรจริงๆ" เหมือนกับการคาดหวังให้แมวเห่า คุณอาจต้องผิดหวัง
.
- เพื่อให้บางสิ่งดี มันต้องเชื่อฟังกฎของความเป็นจริงและมีส่วนร่วมต่อวิวัฒนาการโดยรวม
.
- การพัฒนาคือความสำเร็จและรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต
.
"จนกว่าคุณจะทำให้จิตใต้สำนึกของคุณกลายเป็นจิตสำนึก" คำพูดของ Carl Jung "มันจะนำทางชีวิตของคุณและคุณจะเรียกมันว่าโชคชะตา"
.
.
---------------------------------
.
[ การพัฒนาและวิวัฒนาการ -- ความก้าวหน้าคือธรรมชาติของชีวิต ]
.
.
การพัฒนาคือความสำเร็จและรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต (Evolving is life's greatest accomplishment and reward) การพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเป็นสัญชาตญาณ นั่นคือเหตุผลที่เรามีแรงดึงดูดโดยธรรมชาติต่อมัน เหมือนแม่เหล็กที่ติดตู้เย็น
.
การเปิดใจอย่างถึงที่สุดจะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงผ่านการลองผิดลองถูก
.
เนื่องจากธรรมชาติและความเป็นจริงปรับแต่งเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อปัจเจกบุคคล (ไม่ใช่เพื่อคุณ) การมีส่วนร่วมกับส่วนรวมจะทำให้คุณได้รับรางวัลตอบแทน
.
Ray Dalio ได้ปรัชญาว่าเราเล็กและไม่สำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ และสิ่งที่เราทำสำเร็จไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อมองจากมุมมองของจักรวาล แต่กระนั้น เรายังต้องการมีความสำคัญและต้องการมีความหมายต่อคนรอบข้าง
.
คุณเลือกมุมมองไหน และเลือกที่จะมีความสำคัญและดูแลใคร ครอบครัว ประเทศ โลก... หรือกระถางต้นไม้ที่คุณลืมรดน้ำ? มันเป็นทางเลือกของคุณ และมันจะกำหนดว่าคุณจะเป็นใคร
.
.
------------------------------------
.
[ เข้าใจบทเรียนที่ใช้งานได้จริงของธรรมชาติ ]
.
.
มันคือวิวัฒนาการและความก้าวหน้าที่ทำให้เรามีความสุขและรู้สึกเติมเต็ม มากกว่าการบรรลุเป้าหมายหรือความมั่งคั่งทางวัตถุ
.
แต่เพื่อพัฒนา จำไว้ว่า "หากไม่เจ็บปวด ย่อมไม่ได้มา" (no pain, no gain) หรือพูดง่ายๆ คือ "อยากสวยหล่อต้องทนเจ็บ"
.
สมการที่มีพลังที่สุดในชีวิตคือ:
.
ความเจ็บปวด + การไตร่ตรอง = ความก้าวหน้า
(Pain + Reflection = Progress)
.
Dalio มีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความก้าวหน้า:
.
- การหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่มันขัดขวางการเติบโต
- การไตร่ตรองก่อนและระหว่างความเจ็บปวดดีที่สุด แต่หลังจากนั้นก็ยังมีประโยชน์
- ถ้าคุณไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย นั่นอาจหมายความว่าคุณไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่
.
เขาเรียกแนวคิดนี้ว่า "ความรักที่เข้มงวด" (Tough Love):
.
"สิ่งที่ผมต้องการให้กับคนรอบข้างไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ ซึ่งอาจทำให้พวกเขารู้สึกเปราะบางลงในระยะสั้น แต่ผมต้องการให้พวกเขามีความแข็งแกร่งในการจัดการกับความเป็นจริง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง"
.
.
-------------------------------
.
[ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา ]
.
.
ชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ลำดับที่สองและสาม (Weigh Second and Third-Order Consequences)
.
Ray Dalio กล่าวว่าคนที่หยุดอยู่แค่ผลลัพธ์ลำดับแรกมักถูกธรรมชาติหลอก และแทบจะไม่บรรลุเป้าหมาย เหมือนกับการกินเค้กช็อกโกแลตชิ้นใหญ่ แล้วคิดว่า "เยี่ยมเลย!" แต่ลืมคิดถึงผลลัพธ์ลำดับที่สองและสามที่ต้องวิ่งบนลู่วิ่งอีกชั่วโมง และพบกับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูง
.
เป็นเจ้าของผลลัพธ์ของคุณ (Own Your Outcomes)
.
Ray Dalio พูดถึงจุดควบคุมภายในและภายนอก (internal and external locus of control) ถ้าคุณคิดว่าชีวิตคุณถูกควบคุมโดยแมวดำที่เดินผ่านหน้าบ้าน หรือว่าเพราะคุณไม่ได้ใส่ถุงเท้าโชคดี คุณอาจต้องพิจารณาใหม่! คนที่มีจุดควบคุมภายในรู้ว่าพวกเขาคือกัปตันของเรือชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ปล่อยให้ชีวิตเป็นเหมือนเกมบิงโกที่หวังโชคช่วย
.
มองดูเครื่องจักรจากระดับที่สูงขึ้น (Look At The Machine From a Higher Level)
.
Dalio แนะนำให้เรามองตัวเองและคนรอบข้างจากมุมสูง เหมือนนกอินทรีที่บินบนฟ้า ไม่ใช่ไก่ที่มองแค่พื้นดิน เมื่อมองจากด้านบน คุณจะเห็นว่าแท้จริงแล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่
.
เมื่อคุณเห็นจุดอ่อนจากมุมมองด้านบน คุณมีทางเลือก 4 ทาง:
.
A. ปฏิเสธมัน (ยอมรับไม่ได้) - เหมือนปิดตาแล้วบอกว่าโลกนี้มืดสนิท
.
B. ยอมรับและทำงานเพื่อแก้ไข (ยอดเยี่ยม) - คุณคือซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเองแล้ว!
.
C. หาทางหลีกเลี่ยง (ชัยชนะง่ายๆ) - เหมือนกับการเดินอ้อมหลุม แต่หลุมยังอยู่ตรงนั้นนะ
.
D. เปลี่ยนสิ่งที่คุณไล่ตาม (ยอดเยี่ยมถ้าคุณไม่เหมาะหรือไม่สนุกกับเส้นทางปัจจุบัน) - ถ้าคุณพยายามเป็นนักร้องแต่เสียงเหมือนกาตะโกน อาจถึงเวลาหาเส้นทางใหม่แล้ว!
.
Dalio นำเสนอกระบวนการ 5 ขั้นตอนที่เป็นระบบ:
.
1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน (Have Clear Goals)
- จัดลำดับความสำคัญ เพราะคุณไม่สามารถเป็นซุปเปอร์แมนที่ทำทุกอย่างได้
- อย่าสับสนระหว่างเป้าหมายกับความปรารถนา เช่น อยากมีซิกแพ็คแต่กินพิซซ่าทุกวัน
- อย่าไล่ตามสิ่งที่มีไว้โอ้อวด เช่น ซื้อรถสปอร์ตเพื่อขับไปตลาด
- อย่าตัดเป้าหมายออกเพราะดูเหมือนไม่สามารถทำได้: ความฝันที่ยิ่งใหญ่ทำให้คุณกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่
- ความยืดหยุ่นและความรับผิดชอบต่อตนเองจะพาคุณไปถึงจุดหมาย ยืดหยุ่นเหมือนโยคะ
.
2.ระบุและไม่ยอมรับปัญหา (Identify and Don't Tolerate Problems)
"คนส่วนใหญ่ไม่อยากนำปัญหามาตีแผ่ เพราะมันเผยจุดอ่อน แต่คนที่ประสบความสำเร็จรู้ว่าพวกเขาต้องทำ" เหมือนการกล้าดูยอดเงินในบัญชีหลังช้อปปิ้งมาเต็มที่
.
3. วินิจฉัยปัญหาถึงรากเหง้า (Diagnose Problems to Root Causes)
"มุ่งเน้นไปที่สาเหตุที่แท้จริงก่อนที่จะเข้าสู่การแก้ไข เพราะอาการของปัญหานั้นจะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าไม่รักษาที่ต้นเหตุ" เหมือนพยายามซ่อมหลังคารั่วด้วยถังน้ำ แต่ฝนยังตกไม่หยุด
.
4. ออกแบบแผนแก้ไข (Design a Plan)
"การออกแบบต้องมาก่อนการลงมือทำ เหมือนสถาปนิกที่ต้องวาดแบบก่อนสร้างตึก" อย่าลืมวาดประตูด้วย ไม่งั้นเข้าไม่ได้!
.
5. ลงมือทำจนสำเร็จ (Push-Through Completion)
"นักออกแบบที่ยอดเยี่ยมแต่ไม่ลงมือทำตามแผนจะไปไม่ถึงไหน จำไว้ว่า 'ทำไม' (WHY) ของคุณเมื่อคุณกำลังดิ้นรน" เหมือนซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสมาแต่ใช้เป็นที่แขวนเสื้อผ้าแทน
.
"จุดอ่อนไม่สำคัญถ้าคุณหาทางแก้ได้ ทุกคนมีอย่างน้อยหนึ่งสิ่งใหญ่ที่ขวางทางสู่ความสำเร็จ เมื่อคุณพบมัน ให้หาสาเหตุที่แท้จริง จัดการมัน และแก้ไขมัน"
.
.
------------------------------------
.
[ เปิดใจอย่างถึงที่สุด (Be Radically Open Minded) ]
.
.
Ray Dalio กล่าวว่านี่เป็นหนึ่งในบทที่สำคัญที่สุดในหนังสือ เพราะมันจัดการกับจุดอ่อนและอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสองข้อที่เกือบทุกคนมี:
.
1. อัตตาของคุณ (Your Ego)
2. จุดบอดของคุณ (Your Blind Spots)
.
.
1. อุปสรรคด้านอัตตา (Ego Barrier)
.
กลไกการปกป้องอัตตาทำให้คุณยากที่จะยอมรับและรู้จักข้อผิดพลาดและจุดอ่อนของคุณ เหมือนการปฏิเสธว่าทรงผมใหม่ของคุณไม่ได้ดูแปลกเลย ทั้งที่เพื่อนๆ พยายามกลั้นหัวเราะ
.
Dalio พูดถึงระดับสูง (ความรู้สำนึก) และระดับต่ำ (จิตใต้สำนึกและอารมณ์) ระดับสูงมักต่อสู้กับระดับต่ำของอะมิกดาลา (amygdala) เหมือนเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยและขอให้คุณอธิบายมุมมองของคุณ ตัวตนระดับต่ำของคุณอาจจะโกรธและป้องกันตัวเอง แม้ว่าตัวตนระดับสูงจะรู้ว่าการเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ดีกว่า
.
“ความต้องการค้นหาความจริงของคุณต้องสำคัญกว่าความต้องการที่จะถูกต้อง”
.
.
2. จุดบอด (Blind Spots)
.
เราทุกคนมีวิธีมองโลกที่ชอบ ซึ่งกำหนดว่าเราจะเก็บเกี่ยวอะไรและพลาดอะไรไป บางคนมองภาพรวมเหมือนนกอินทรี บางคนสนใจรายละเอียดเหมือนนกกระจิบ บางคนเป็นนักคิดเชิงเส้นตรง บางคนคิดแบบกว้างจนหลุดออกนอกกรอบ
.
คนส่วนใหญ่ไม่เคยตระหนักถึงจุดบอดทางความคิดของตัวเอง และอัตตาทำให้ยากที่จะยอมรับเมื่อมีคนชี้ให้เห็น เหมือนใส่แว่นกันแดดในที่มืดแล้วสงสัยว่าทำไมมองไม่เห็นอะไรเลย
.
แต่การตระหนักถึงจุดบอดสำคัญอย่างยิ่งที่จะประสบความสำเร็จในโครงการที่ซับซ้อน เมื่อคุณรู้จักจุดบอด ให้แก้ไขหรือหาคนที่เก่งในจุดที่คุณอ่อน มันเหมือนกับการไม่พยายามซ่อมท่อประปาเองถ้าคุณไม่รู้วิธี เรียกช่างเถอะ!
.
ฝึกการเปิดใจอย่างถึงที่สุด (Practice Radical Open-Mindedness) คือวิธีแก้ไขอุปสรรคด้านอัตตาและจุดบอด
.
เพื่อเปิดใจอย่างถึงที่สุด คุณต้อง:
.
1. เชื่ออย่างจริงใจว่าคุณอาจไม่รู้เส้นทางที่ดีที่สุด - ยอมรับว่าคุณอาจหลงทาง แม้จะมี GPS อยู่ในมือ
.
2. ตระหนักว่าความสามารถของคุณในการจัดการกับการไม่รู้สำคัญกว่าสิ่งที่คุณรู้ - การถามทางไม่ใช่เรื่องเสียหน้า แต่เป็นการประหยัดเวลาและน้ำมันรถ
.
การจัดการกับการไม่รู้หมายถึงการถามคนที่มีความรู้และฉลาดพอๆ กัน และอย่ากังวลว่าสิ่งที่พวกเขาคิดจะแตกต่าง อย่ากังวลเรื่องการดูฉลาดและการถูกต้อง แต่กังวลเรื่องการบรรลุเป้าหมายของคุณ
.
ชื่นชมศิลปะของการไม่เห็นด้วยอย่างมีความคิด (Appreciate The Art of Thoughtful Disagreement) เป้าหมายของคุณไม่ใช่การโน้มน้าวใครว่าคุณถูก แต่เพื่อค้นหาว่ามุมมองไหนถูกต้องและจะทำอย่างไรกับมัน
.
ตรวจสอบมุมมองของคุณกับคนที่น่าเชื่อถือที่ไม่เห็นด้วย (Triangulate Your View With Believable People Willing to Disagree) Ray Dalio เสนอให้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเป็นรายบุคคล และส่งเสริมให้พวกเขาไม่เห็นด้วยซึ่งกันและกัน เพราะไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการดูผู้เชี่ยวชาญเถียงกันอย่างสร้างสรรค์!
.
.
-------------------------------
.
[ สัญญาณของการปิดใจและเปิดใจ ]
.
.
คนที่ปิดใจ (Close-minded people):
.
- ไม่ต้องการให้ความคิดของตนถูกท้าทาย เหมือนสร้างปราสาททรายแล้วไม่ให้ใครแตะต้อง
- รู้สึกหงุดหงิดเมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วย - "ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันเลย!"
- รู้สึกแย่เมื่อทำผิดและสนใจแค่การเป็นฝ่ายถูก - เหมือนเล่นเกมแล้วกดรีเซ็ตทุกครั้งที่แพ้
- แสดงความคิดเห็นแทนที่จะตั้งคำถาม - พูดมากกว่าฟัง
- มุ่งเน้นที่การทำให้ตัวเองเป็นที่เข้าใจมากกว่าการทำความเข้าใจผู้อื่น - เหมือนพูดคนเดียวในห้องกระจก
- พูดว่า "ฉันอาจผิด แต่..." ซึ่งเป็นการแสดงท่าทีเปิดใจแต่แท้จริงแล้วเป็นการป้องกันตัว
- มีปัญหาในการถือครองความคิดที่ขัดแย้งกัน - "ฉันเลือกทีมเดียวเท่านั้น!"
- ขาดความถ่อมตัว - คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้ว
.
.
คนที่เปิดใจ (Open-minded people):
.
- ไม่โกรธเมื่อมีคนไม่เห็นด้วย - "อ้อ คุณคิดแบบนั้นเหรอ? น่าสนใจ!"
- รู้ตัวว่ามีความเป็นไปได้เสมอที่พวกเขาจะผิด - "อืม ฉันอาจจะจำผิดก็ได้"
- ถามคำถามที่จริงใจ - "คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้?"
- รู้สึกอยากเห็นมุมมองจากสายตาคนอื่น - เหมือนลองใส่รองเท้าคนอื่นเดินสักไมล์
- ฟังอย่างตั้งใจ - ปิดปาก เปิดหู
- สามารถสลับไปมาระหว่างความคิดที่ขัดแย้งกันได้ - เหมือนเล่นโยโย่ทางความคิด
.
เข้าใจวิธีที่คุณจะกลายเป็นคนเปิดใจอย่างถึงที่สุด (Understand How You Can Become Radically Open Minded)
.
ต้องใช้เวลาที่จะกลายเป็นคนเปิดใจอย่างแท้จริง เพราะมันเป็นเรื่องของนิสัย - เฉลี่ย 18 เดือน Ray Dalio กล่าว เหมือนการปลูกต้นไม้ ต้องรดน้ำและรอเวลา
.
วิธีฝึกการเปิดใจ:
.
1. ใช้ความเจ็บปวดเป็นแนวทางสู่การไตร่ตรอง (Use pain as a guide to reflection)
ความโกรธ การหงุดหงิด และความตึงเครียดเป็นสัญญาณว่าตัวตนระดับต่ำของคุณกำลังครอบงำ อย่ากังวล มันจะไม่อยู่นาน ต้านทานมันและใช้มันเป็นสัญญาณให้ไปในทิศทางตรงข้ามแทน
.
2. ทำให้การเปิดใจเป็นนิสัย (Make Open-Mindedness a Habit)
ยิ่งคุณฝึกมากเท่าไร มันยิ่งกลายเป็นนิสัยและยิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เหมือนการแปรงฟันทุกเช้า
.
3. รู้จักจุดบอดของคุณ (Know Your Blind Spots)
บันทึกทุกครั้งที่คุณตัดสินใจผิด เพราะมันอาจเป็นแนวโน้ม ถามคนอื่นและคุณอาจกำลังจะค้นพบจุดบอด เหมือนการหาว่าทำไมคุณถึงหลงทางทุกครั้งที่ไม่ใช้ GPS
.
4. ทำสมาธิ (Meditate)
ไม่ต้องนั่งบนยอดเขาหรือในถ้ำ แค่หาช่วงเวลาสงบเพื่อฟังเสียงในใจ
.
5. อิงหลักฐาน (Be Evidence-Based)
หลายคนตัดสินใจบนพื้นฐานของสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่จิตใต้สำนึกบงการ ใช้ข้อมูลและหลักฐานแทน เหมือนเลือกซื้อของจากรีวิว ไม่ใช่จากโฆษณา
.
6. ช่วยคนรอบข้างให้เปิดใจ (Help Those Around Be Openly Minded)
ถ้าเพื่อนของคุณยังคิดว่าโลกเป็นแผ่นแบนๆ ลองชวนเขาดูสารคดีเกี่ยวกับอวกาศกันเถอะ!
.
.
------------------------------
.
[ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล ]
.
.
"ผมเคยจ้างคนที่เก่งในการเรียนมากมายที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ" Dalio เล่า "แต่บ่อยครั้งมันก็ไม่ได้ออกมาดี จนในที่สุดผมเข้าใจว่าตัวแบ่งแยกที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่บุคลิกภาพ"
.
ใช่ครับ! ใบปริญญาหนาเท่าพจนานุกรมไม่ได้การันตีว่าคุณจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยมเสมอไป
.
เขาแบ่งลักษณะบุคลิกภาพที่สำคัญดังนี้:
.
คนเก็บตัว/คนเปิดเผย (Introverts/Extroverts):
- คนเก็บตัว
- มุ่งเน้นที่โลกภายในและได้พลังงานจากความคิดและความทรงจำ
- ชอบแบ่งปันและสื่อสารหลังจากที่วิเคราะห์ด้วยตัวเองแล้ว
- คนเปิดเผย: อาจพบว่ายากที่จะคิดโดยไม่มีใครอยู่ด้วย
.
การหยั่งรู้/การรับรู้ (Intuitive/Sensing):
- คนที่ใช้การหยั่งรู้: มุ่งเน้นที่บริบท
- คนที่ใช้การรับรู้: มุ่งเน้นที่รายละเอียด
.
การคิด/ความรู้สึก (Thinking/Feeling):
- นักคิด: วิเคราะห์บนพื้นฐานของตรรกะ
- นักรู้สึก: วิเคราะห์บนพื้นฐานของความกลมกลืนระหว่างผู้คน
.
การวางแผน/การรับรู้ (Planning/Perceiving):
- นักวางแผน: ชอบแผนการ
- ผู้รับรู้: ชอบความยืดหยุ่น
.
งาน/เป้าหมาย (Tasks/Goals):
- คนที่มุ่งเน้นเป้าหมาย: มักมีวิสัยทัศน์มากกว่า
- คนที่มุ่งเน้นงาน: เชื่อถือได้มากกว่าและจัดการกระบวนการที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า
.
บุคลิกภาพในที่ทำงาน (WPI: Workplace Personality Inventory):
- ตัวอย่างเช่น คนที่มีแรงขับในความสำเร็จต่ำและห่วงใยผู้อื่นสูง จะไม่เต็มใจที่จะเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
- คนที่ไม่เก่งในการทำตามกฎ อาจเป็นนักคิดอิสระมากกว่า
.
.
-------------------------------
.
[ แบบฉบับ (Archetypes) ]
.
.
Dalio กล่าวว่าลักษณะบางอย่างมักรวมตัวกันสร้างแบบฉบับที่เราคุ้นเคย (เหมือนกับการรวมร่างของหุ่นยนต์ในหนังการ์ตูน )
.
แม้ว่าแบบฉบับจะมีประโยชน์และแม่นยำน้อยกว่าการประเมินแบบเต็มรูปแบบ แต่ก็มีประโยชน์เมื่อจัดทีม:
.
- ศิลปินที่ไม่สนใจความเป็นจริง (Impractical Artists): สร้างสรรค์ผลงานสุดล้ำ แต่ลืมไปว่าต้องส่งงานตั้งแต่เมื่อวาน!
.
- คนที่เน้นความสมบูรณ์แบบและเป็นระเบียบ (Tidy Perfectionists): โต๊ะทำงานเรียบร้อยจนคุณกลัวจะทำมันเลอะ
.
-นักบุกเบิกที่พร้อมทะลุกำแพงเพื่อให้งานสำเร็จ (Crushers Running Through the Wall): ไม่มีอะไรหยุดพวกเขาได้ ยกเว้นกาแฟหมด
.
- นักวิสัยทัศน์ที่ดึงความคิดออกมาจากความว่างเปล่า (Visionaries Pulling Ideas Out of Nowhere): ไอเดียพรั่งพรูเหมือนน้ำตก แต่บางครั้งก็เปียกปอนเกินไป
.
-ผู้หล่อหลอม (Shapers): Dalio เพิ่มแบบฉบับนี้ และเขาระบุว่าตัวเองเป็นแบบนี้! ผู้หล่อหลอมเป็นคนที่หายากและสามารถเปลี่ยนจากการมองเห็นภาพสู่การทำให้เป็นจริง (เหมือนเสกของจากอากาศได้เลย ) พวกเขาสามารถถือครองความคิดที่ขัดแย้งกันได้ในเวลาเดียวกัน และเป็นทั้งนักวิสัยทัศน์ + นักคิดในทางปฏิบัติ + คนที่มุ่งมั่น
.
คนที่ใช่ในบทบาทที่ใช่คือกุญแจสู่ความสำเร็จ ใช้ลักษณะข้างต้น คุณต้องการให้คนที่มีลักษณะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละงาน และสร้างทีมที่มีลักษณะเสริมกัน
.
"ที่ Bridgewater เราทำแผนที่พนักงานตามลักษณะบุคลิกภาพ ไม่ใช่เพื่อตีตรา แต่เพื่อให้เข้าใจว่าใครเหมาะกับบทบาทไหน และจะทำงานร่วมกันอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด"
.
.
----------------------------------
.
[ การสร้างทีมและวัฒนธรรมองค์กร ]
.
.
"องค์กรที่ยอดเยี่ยมต้องมีทั้งคนที่ยอดเยี่ยมและวัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยม" Dalio ย้ำ "และไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ทั้งสองอย่างถูกต้อง"
.
คนที่ยอดเยี่ยมในมุมมองของ Dalio ต้องมี:
.
- อุปนิสัยที่ยอดเยี่ยม (ตรงไปตรงมาและโปร่งใสอย่างถึงที่สุด) - พูดความจริงเสมอ
- ความทุ่มเทให้กับภารกิจ - ไม่ว่าจะต้องปีนเขาหรือข้ามแม่น้ำ พวกเขาพร้อมเสมอ!
- ความสามารถที่โดดเด่น (ทักษะเฉพาะทาง) - เหมือนมีซูเปอร์พาวเวอร์ส่วนตัว!
.
"ผมต้องการให้คนที่ทำงานให้ผมเป็นหุ้นส่วน (partners) มากกว่าเป็นลูกจ้าง (employees)" เขาอธิบาย "ความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนเกิดจากการแบ่งปันคุณค่าและผลประโยชน์ร่วมกัน การมีวิธีการที่คล้ายกันในการไล่ตามสิ่งเหล่านั้น และการมีความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน" แปลว่า ถ้าเราจะลุย เราลุยด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง! ประโยคนี้แอดว่าคุ้นๆนะ
.
เรื่องความรักที่เข้มงวด (Tough Love)
"บ่อยครั้งผู้คนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริง และให้ความสำคัญกับความสบายมากกว่าความสำเร็จ" (เหมือนเลือกนอนต่ออีก 5 นาทีแทนที่จะตื่นไปออกกำลังกาย )
.
.
-----------------------------
.
[ การตัดสินใจในองค์กร ]
.
.
"ในองค์กรส่วนใหญ่ การตัดสินใจมักเกิดจากสองรูปแบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ: เผด็จการจากคนบนสุด หรือประชาธิปไตยที่ให้น้ำหนักความเห็นทุกคนเท่ากัน ทั้งสองระบบสร้างการตัดสินใจที่ด้อยกว่าที่ควรจะเป็น" (ลองนึกภาพว่าต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญด้วยการเป่ายิ้งฉุบกันดูสิครับ! )
.
แทนที่จะใช้ระบบทั้งสอง Dalio พัฒนาสิ่งที่เขาเรียกว่า "การตัดสินใจที่ถ่วงน้ำหนักด้วยความน่าเชื่อถือ" (Believability-Weighed Decision Making):
.
- ความคิดเห็นถูกถ่วงน้ำหนักตามประวัติความสำเร็จ (ถ้าคุณเคยชนะการประกวดทำอาหาร เราจะฟังคุณเวลาทำอาหารกลางวัน! )
.
- ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมีน้ำหนักมากกว่าในเรื่องที่พวกเขาเชี่ยวชาญ (อย่าถามช่างประปาเรื่องการเขียนโค้ดนะครับ )
.
- ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความเห็น แต่ไม่ใช่ทุกความเห็นมีน้ำหนักเท่ากัน
"เหมือนการรักษาโรค" เขาเปรียบเทียบ "คุณอยากฟังหมอที่รักษาโรคนี้มาหลายร้อยครั้ง หรือคนที่เพิ่งอ่านเรื่องนี้จากกูเกิล?" (หรือจะฟังคุณยายข้างบ้านที่มีสูตรสมุนไพรลับ?)
.
ดังนั้น การตัดสินใจที่ดีต้องมาจากการฟังคนที่รู้จริง ไม่ใช่แค่คนที่เสียงดังที่สุดในห้อง
.
.
----------------------------------
.
[ วิธีตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล ]
.
.
การตัดสินใจที่ดีเหมือนการชงกาแฟที่เพอร์เฟ็กต์ ต้องมีสูตรที่ดี และบางครั้งคอมพิวเตอร์ก็เป็นบาริสต้าส่วนตัวของคุณ!
.
1. ห้ามอารมณ์ที่เป็นอันตรายและเรียนรู้ก่อนตัดสินใจ
ก่อนจะตัดสินใจ ลองหายใจเข้าลึกๆ นับ 1-10 (หรือจนกว่าคุณจะจำได้ว่าต้องทำอะไร ) แล้วใช้สมองส่วนที่ไม่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์
.
2. สังเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
หลายสิ่งเข้ามาหาคุณเหมือนสแปมอีเมล จึงจำเป็นต้องถอยหลังหนึ่งก้าวและคิดว่า "อันไหนของจริง อันไหนของเจ้าชายไนจีเรียที่อยากโอนเงินให้ฉัน?"
- หนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดคือคุณกำลังถามคำถามกับใคร (อย่าถามหมาว่าควรลงทุนในหุ้นตัวไหนดี )
- ทุกคนมีความคิดเห็น อย่าเข้าใจผิดระหว่างความคิดเห็นกับข้อเท็จจริง
- สิ่งใหม่ถูกประเมินค่าสูงเกินไป
- ยอดเยี่ยมดีกว่าใหม่ (Great is better than new)
.
3. สังเคราะห์สถานการณ์ผ่านกาลเวลา
- อย่าถูกหลอกด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าบางสิ่งกำลัง "พัฒนาขึ้น" เพียงอย่างเดียว
- ดูว่ามันพัฒนาขึ้นมากแค่ไหนและเริ่มจากจุดไหน มิฉะนั้นอาจจะเหมือนวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า วิ่งแค่ไหนก็ยังอยู่ที่เดิม
- ทุกสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณต้องอยู่เหนือมาตรฐานและอยู่ในเส้นทางสู่ความเป็นเลิศ (อย่าพอใจกับการทอดไข่ดาวที่สุกแค่ด้านเดียว )
.
4. นำทางระดับต่างๆ อย่างมีประสิทธิผล
Ray Dalio หมายถึงการมองหัวข้อในระดับต่างๆ เหมือนการดูแผนที่ คุณจะมองที่ระดับถนนหรือมองจากดาวเทียม? (หรือจะใช้ Google Maps แล้วโดนพาเข้าป่า )
.
5. ตรรกะ เหตุผล และสามัญสำนึกคือเครื่องมือที่ดีที่สุดของคุณ
อย่าใช้อะไรนอกเหนือจากนี้ ไม่งั้นคุณอาจกลายเป็นคนที่ซื้อเครื่องออกกำลังกายราคาแพงแล้วใช้แขวนเสื้อผ้าแทน
.
6. ตัดสินใจโดยคำนวณค่าที่คาดหวัง
เป็นตรรกะและตัดสินใจบนพื้นฐานของความน่าจะเป็น (เหมือนการคิดว่า "ถ้าซื้อหวย โอกาสถูกคือ 0.000xxxxx % แต่ความสุขในการฝันหวานคือ 100%" )
- แต่บางครั้งก็มีเหตุผลที่จะเสี่ยงถ้ามันไม่ทำให้คุณเสียอะไร
- การรู้ว่าเมื่อไหร่ไม่ควรเดิมพันสำคัญพอๆ กับการรู้ว่าการเดิมพันไหนคุ้มค่า
- ตัวเลือกที่ดีที่สุดมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ไม่ใช่ไม่มีข้อเสียเลย
.
7. จัดลำดับความสำคัญตามต้นทุนของการได้ข้อมูลเพิ่มเติม
- คุณต้องตัดสินใจว่าการรอข้อมูลเพิ่มเติมคุ้มกับการพลาดโอกาสหรือไม่ (เหมือนรอซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ แต่รอไปเรื่อยๆ จนกว่ารุ่นที่ 10 จะออกมา )
- อย่าสับสนระหว่างความเป็นไปได้กับความน่าจะเป็น: ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นต่างหากที่สำคัญ (เช่น โอกาสที่คุณจะถูกฟ้าผ่าในขณะที่ถือไอติม )
.
8. ทำให้ง่าย
"คนโง่ที่ไหนก็ทำให้ซับซ้อนได้ แต่ต้องอัจฉริยะถึงจะทำให้ง่ายได้" (และคนขี้เกียจถึงจะทำให้มันสั้นที่สุด! )
.
9. ใช้หลักการ
การใช้หลักการที่คิดมาอย่างดีเป็นเหมือนการมีสูตรโกงในเกมชีวิต (แต่ไม่ต้องกลัวถูกแบนจากเซิร์ฟเวอร์นะครับ )
.
10. ถ่วงน้ำหนักการตัดสินใจของคุณด้วยความน่าเชื่อถือ
ตรวจสอบการตัดสินใจของคุณกับคนที่มีความน่าเชื่อถือสูง (ไม่ใช่กับคนที่บอกว่า "ผมอ่านในอินเทอร์เน็ตมา ดังนั้นมันต้องจริง!" )
- ระวังการคิดว่าตัวเองรู้ดีที่สุด เพราะอาจจะไม่ใช่
.
11. แปลงหลักการของคุณเป็นอัลกอริทึมและเรียกใช้คอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ระวังอย่าให้มันคำนวณจนคุณต้องรอจนผมหงอก
.
.
----------------------------
.
[ การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ความผิดพลาด ]
.
.
"คุณต้องสร้างวัฒนธรรมที่การทำผิดเป็นเรื่องโอเค แต่การไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้"
.
ที่ Bridgewater ความผิดพลาดถูกมองในมุมที่แตกต่าง:
.
"ความผิดพลาดเป็นส่วนธรรมชาติของกระบวนการวิวัฒนาการ เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ - บางครั้งคุณต้องทำผิดหลายครั้งกว่าจะค้นพบสิ่งที่ถูกต้อง"
.
วัฒนธรรมการเรียนรู้ที่แท้จริงต้องมี:
.
- ความกล้าที่จะยอมรับความผิดพลาด (ยอมรับว่าคุณส่งอีเมลไปผิดคน แล้วไม่แกล้งทำเป็นว่าโดนแฮ็ก )
- ความอยากรู้ที่จะค้นหาสาเหตุ (ทำไมต้นไม้ที่ฉันเลี้ยงถึงตายทุกต้น? )
- ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีขึ้น (สัญญาว่าจะไม่กดปุ่ม "Reply All" ในอีเมลบริษัทอีกต่อไป )
.
การทำผิดนั้นเจ็บปวด แต่คุณไม่ควรป้องกันตัวเองจากความเจ็บปวดนั้น เพราะมันอยู่ที่นั่นเพื่อสอนบทเรียนให้คุณ
.
ไม่ง่ายที่จะหาคนที่มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อความผิดพลาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโรงเรียนเน้นย้ำความสำคัญของการมีคำตอบที่ถูกต้อง
.
Ray Dalio กล่าวว่า "ถ้าคุณมองย้อนกลับไปที่ตัวเองเมื่อหนึ่งปีที่แล้วและไม่คิดว่าตัวเองโง่แค่ไหน แสดงว่าคุณไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก"
.
ความเจ็บปวด + การไตร่ตรอง = ความก้าวหน้า (Pain + Reflection = Progress)
.
- รู้ว่าความผิดพลาดแบบไหนยอมรับได้และยอมรับไม่ได้
- ต้องไม่ลืมว่าในบางพื้นที่และสถานการณ์ การทำผิดเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
.
.
-------------------------------------
.
[ บทสรุปหลักการการทำงาน ]
.
.
Ray Dalio กล่าวว่าเราทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุสามสิ่ง (ไม่ใช่เพื่อเก็บแต้มสะสมแลกร่มนะครับ )
.
1. มีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายของเรา
.
2. ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานที่จำชื่อหมาของคุณได้ แต่ลืมชื่อคุณเอง
.
3. เงินที่ช่วยให้เราซื้อสิ่งที่ต้องการสำหรับตัวเองและผู้อื่น
(เช่น ซื้อกาแฟให้ทีม เพื่อให้ทุกคนตาสว่างในที่ประชุม)
.
Ray Dalio เชื่อว่า ระบบคุณธรรมในอุดมคติ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุทั้งหมดนี้
.
ระบบคุณธรรมในอุดมคติต้องการให้คุณทำสามสิ่ง:
.
1. นำความคิดที่ซื่อสัตย์มาวางบนโต๊ะให้ทุกคนเห็น (แต่อย่าลืมเช็ดโต๊ะก่อนนะ)
.
2. มีความไม่เห็นด้วยอย่างมีความคิด
.
3. เชื่อฟังวิธีการของระบบคุณธรรมในการก้าวผ่านความไม่เห็นด้วย (เช่น การตัดสินใจที่ถ่วงน้ำหนักด้วยความน่าเชื่อถือ—เหมือนฟังคำแนะนำจากคนที่เคยผ่านด่านบอสมาแล้ว )
.
.
--------------------------------------
.
[ บทส่งท้ายสั้นๆ ]
.
.
จำไว้นะครับว่า ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จแบบ Ray Dalio ก็อย่าลืมพก "เข็มทิศแห่งความจริง" ไว้เสมอ
.
และถ้าคุณทำผิดพลาด ก็แค่คิดว่า "ความเจ็บปวด + การไตร่ตรอง = ความก้าวหน้า"
.
และถ้าคุณยังกลัวการเผชิญหน้ากับความจริง ก็ลองนึกถึงคำพูดของ Dalio (หรือไม่เคยพูดนะ) ที่ว่า "ผมโง่มาก... และนั่นคือความลับแห่งความสำเร็จของผม"
.
และแทนที่จะร้องไห้กับชะตากรรม ก็แค่ยิ้มและพูดว่า "อ่า! ขุมทรัพย์ใหม่มาแล้ว"
.
เพราะในที่สุดแล้ว ความจริงอาจเจ็บปวด แต่มันเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่คุณมีครับ
.
.
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.