Marketing in the Trenches :An Executive's Guide to Hands-On Marketing Strategy Execution [4/8] การขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางการตลาด

บทที่ 4: การขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางการตลาด

 

4.1 การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กร

 

ในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการแข่งขันที่ดุเดือด การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กรถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัว เติบโต และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน วัฒนธรรมนวัตกรรม หมายถึง ชุดของค่านิยม พฤติกรรม และแนวปฏิบัติที่ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ การทดลองสิ่งใหม่ๆ และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ภายในองค์กร

 

การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการสนับสนุนจากผู้นำระดับสูง รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง กระบวนการ และวิธีการทำงานขององค์กร ในหัวข้อนี้ เราจะสำรวจองค์ประกอบสำคัญและแนวทางในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมที่เข้มแข็ง พร้อมยกตัวอย่างจากบริษัทชั้นนำระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้

 

4.1.1 บทบาทของผู้นำในการส่งเสริมนวัตกรรม

 

ผู้นำระดับสูงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างและส่งเสริมวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กร ผู้นำที่มุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี โดยแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าเสี่ยง และการเปิดกว้างต่อความคิดใหม่ๆ นอกจากนี้ ผู้นำยังต้องสื่อสารวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมอย่างชัดเจน สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการทดลอง และให้รางวัลสำหรับความพยายามในการสร้างนวัตกรรม แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จทุกครั้งก็ตาม

 

ตัวอย่างผู้นำที่โดดเด่นในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม ได้แก่ Jeff Bezos ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Amazon.com Bezos ให้ความสำคัญกับการคิดนอกกรอบ การทดลอง และการเรียนรู้จากความล้มเหลว เขาสนับสนุนให้ทีมงานคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กลัวความเสี่ยงหรือความล้มเหลว Bezos เคยกล่าวว่า "ถ้าคุณตัดสินใจอย่างถูกต้อง 70% ของเวลา คุณก็ทำได้ดีมากแล้ว" ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อของเขาที่ว่าการทดลองและความล้มเหลวเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างนวัตกรรม

 

4.1.2 การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

 

บรรยากาศภายในองค์กรมีอิทธิพลอย่างมากต่อการส่งเสริมหรือขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม องค์กรที่มีวัฒนธรรมนวัตกรรมจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนความคิด การทดลอง และการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งในเรื่องของสถานที่ทำงาน การออกแบบพื้นที่ และบรรยากาศการทำงาน

 

ตัวอย่างบริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ Pixar Animation Studios ผู้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นชื่อดัง เช่น Toy Story, Finding Nemo และ The Incredibles สตูดิโอแห่งนี้ออกแบบสำนักงานให้มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "Atrium" ซึ่งเป็นจุดนัดพบและแลกเปลี่ยนความคิดของพนักงานจากแผนกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนบท ศิลปิน และโปรแกรมเมอร์ นอกจากนี้ ยังมีห้องประชุมสร้างสรรค์ที่เรียกว่า "Brainstorming Rooms" ซึ่งมีกระดานไวท์บอร์ด ของเล่น และอุปกรณ์ศิลปะที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้ทีมงานระดมความคิดและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

 

4.1.3 การส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ

 

การส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการพัฒนาทักษะใหม่ๆ เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม องค์กรที่มุ่งเน้นนวัตกรรมจะสนับสนุนให้พนักงานแสวงหาความรู้และทักษะใหม่ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาคิดนอกกรอบ แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และสร้างสรรค์นวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการจัดฝึกอบรม สัมมนา การให้ทุนการศึกษา หรือการสร้างระบบพี่เลี้ยงภายในองค์กร

 

บริษัท 3M เป็นตัวอย่างที่ดีของการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของพนักงาน 3M มีนโยบาย "15% Time" ซึ่งอนุญาตให้พนักงานใช้เวลา 15% ของเวลาทำงานในการทำโครงการส่วนตัวหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่พวกเขาสนใจ นโยบายนี้นำไปสู่การคิดค้นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมากมาย เช่น Post-it Notes และเทปกาวใส Scotch Tape นอกจากนี้ 3M ยังมีโปรแกรม "Tech Forum" ซึ่งเป็นเวทีให้พนักงานจากแผนกต่างๆ มาแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ข้ามสายงานและการร่วมมือในการสร้างนวัตกรรม

 

4.1.4 การสร้างความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของพนักงาน

 

ความหลากหลายทางความคิด มุมมอง และพื้นเพของพนักงานถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม องค์กรที่มีความหลากหลายจะมีแนวโน้มที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมได้มากกว่า เนื่องจากมีมุมมองที่หลากหลายในการแก้ปัญหาและค้นหาโอกาสใหม่ๆ นอกจากนี้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการให้อำนาจในการตัดสินใจแก่พนักงานทุกระดับจะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาแสดงความคิดสร้างสรรค์และนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ

 

บริษัท Salesforce ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ CRM ชั้นนำ เป็นตัวอย่างขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของพนักงาน Salesforce มีโปรแกรม "Equality Groups" ซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานที่มีความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ อายุ ความสามารถ และความสนใจ กลุ่มเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม แบ่งปันมุมมอง และสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งภายในและภายนอกองค์กร นอกจากนี้ Salesforce ยังมีแพลตฟอร์มนวัตกรรมภายในที่เรียกว่า "IdeaExchange" ซึ่งเป็นพื้นที่ให้พนักงานนำเสนอไอเดียใหม่ๆ โหวตไอเดียที่ชอบ และร่วมกันพัฒนาต่อยอดไอเดียเหล่านั้น

 

4.1.5 การวัดผลและให้รางวัลสำหรับความสำเร็จด้านนวัตกรรม

 

การวัดผลและการให้รางวัลเป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมนวัตกรรม องค์กรควรกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จด้านนวัตกรรมที่ชัดเจน ทั้งในแง่ของจำนวนไอเดียใหม่ จำนวนโครงการนวัตกรรม รายได้จากผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ และผลกระทบเชิงบวกต่อลูกค้าและสังคม นอกจากนี้ ควรมีระบบการให้รางวัลและการยกย่องชมเชยสำหรับความสำเร็จด้านนวัตกรรม ทั้งในรูปแบบของโบนัส การเลื่อนตำแหน่ง หรือการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ

 

บริษัท Intuit ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ทางการเงิน เช่น QuickBooks และ TurboTax ใช้ระบบการวัดผลและให้รางวัลเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม Intuit มีรางวัล "Innovator Awards" ซึ่งมอบให้กับทีมหรือบุคคลที่สร้างนวัตกรรมที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การปรับปรุงกระบวนการ หรือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล การยกย่องชมเชยจากผู้บริหารระดับสูง และโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อทั้งองค์กร นอกจากนี้ Intuit ยังมีดัชนีชี้วัดที่เรียกว่า "Innovation Index" ซึ่งติดตามจำนวนไอเดียใหม่ จำนวนการทดลอง และรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ ดัชนีนี้ถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลงานของแต่ละทีมและการกำหนดเป้าหมายประจำปี

 

4.1.6 การเรียนรู้จากความล้มเหลวและการทดลอง

 

ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม องค์กรต้องยอมรับและเห็นคุณค่าของความล้มเหลวและการทดลอง ความล้มเหลวไม่ควรถูกมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับปรุง องค์กรควรสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยในการทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว และส่งเสริมให้พนักงานแบ่งปันบทเรียนจากความล้มเหลวเพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน

 

บริษัท WD-40 ผู้ผลิตสเปรย์อเนกประสงค์ชื่อดัง เป็นตัวอย่างขององค์กรที่เห็นคุณค่าของความล้มเหลวในฐานะบทเรียนสำคัญ WD-40 มีพิพิธภัณฑ์ "Museum of Failures" ซึ่งจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวของบริษัทตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างนวัตกรรม และไม่ควรถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย นอกจากนี้ WD-40 ยังมีวัฒนธรรมการทดลองที่เข้มแข็ง โดยทีมวิจัยและพัฒนาจะทำการทดลองสูตรและแนวคิดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีบางสูตรที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่บทเรียนจากการทดลองเหล่านั้นก็นำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ในท้ายที่สุด

 

4.1.7 การสร้างพันธมิตรและเครือข่ายนวัตกรรมภายนอก

 

การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างพันธมิตรและเครือข่ายนวัตกรรมกับองค์กรภายนอกด้วย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย สตาร์ทอัพ หรือบริษัทในอุตสาหกรรมอื่นๆ การแลกเปลี่ยนความรู้ ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญระหว่างองค์กรจะช่วยเพิ่มพลังในการสร้างนวัตกรรมและขยายขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์

 

บริษัท Procter & Gamble (P&G) เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมภายนอก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 P&G เปิดตัวโมเดล "Connect + Develop" ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรภายนอก ทั้งมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัทอื่นๆ จากทั่วโลก โดย P&G ตั้งเป้าหมายว่า 50% ของนวัตกรรมใหม่จะต้องมาจากความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอก ผ่านโมเดลนี้ P&G ประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากมาย เช่น แปรงสีฟัน Crest SpinBrush ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทสตาร์ทอัพ และผ้าอ้อมสำเร็จรูป Pampers Dry Max ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทเคมีชั้นนำ

 

กรณีศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการมีส่วนร่วมจากทุกคนในองค์กร ตั้งแต่ผู้นำระดับสูงไปจนถึงพนักงานแนวหน้า การสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การทดลอง และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างความหลากหลายและการมีส่วนร่วมของพนักงาน จะช่วยให้องค์กรปลดปล่อยพลังแห่งนวัตกรรมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การสร้างเครือข่ายนวัตกรรมกับพันธมิตรภายนอกจะช่วยขยายขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงเกมได้

 

อย่างไรก็ตาม การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยเวลา องค์กรต้องอดทนและมุ่งมั่นในการปลูกฝังค่านิยมและพฤติกรรมที่ส่งเสริมนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและกระบวนการภายในเพื่อรองรับการทำงานแบบใหม่ นอกจากนี้ องค์กรต้องยอมรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการสร้างนวัตกรรม และเรียนรู้ที่จะฉลองความสำเร็จและความล้มเหลวไปพร้อมๆ กัน

 

สุดท้ายนี้ วัฒนธรรมนวัตกรรมไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ในองค์กร เมื่อพนักงานรู้สึกถึงอิสระในการสร้างสรรค์ ได้รับการสนับสนุนในการเสี่ยงและทดลอง และเห็นคุณค่าในความคิดของตนเอง พวกเขาจะมีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นในการสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมและผลักดันองค์กรไปข้างหน้า องค์กรที่สร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริงจะไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้กับองค์กรได้ในระยะยาวอีกด้วย

 

4.2 การคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ

 

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีความเข้มข้นและผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย การคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน องค์กรที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ล้ำหน้า แตกต่าง และสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความภักดีของลูกค้าในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย องค์กรต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า ติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเทรนด์ในตลาด รวมถึงมีกระบวนการและเครื่องมือที่เหมาะสมในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล สร้างแนวคิด ทดสอบ และนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จริง ในหัวข้อนี้ เราจะสำรวจแนวทางและกลยุทธ์สำคัญในการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ พร้อมยกตัวอย่างจากบริษัทชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้

 

4.2.1 การทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า

 

การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการ ความปรารถนา และพฤติกรรมของลูกค้า องค์กรต้องลงทุนในการวิจัยตลาดและการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อค้นหาโอกาสและช่องว่างในการสร้างคุณค่าใหม่ๆ

 

วิธีการเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้ามีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกตพฤติกรรมการใช้งานผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อและการใช้งาน รวมถึงการศึกษาข้อมูลออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย บล็อก และฟอรัม ซึ่งสะท้อนถึงความคิดเห็น ปัญหา และความต้องการของลูกค้า

 

 

 

 

กรณีศึกษา: Nest กับการปฏิวัติวงการเทอร์โมสตัท

 

Nest Labs ก่อตั้งโดย Tony Fadell และ Matt Rogers อดีตวิศวกรจาก Apple ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับอุปกรณ์ที่หลายคนอาจมองว่าไม่น่าตื่นเต้นอย่างเทอร์โมสตัท ด้วยการผสมผสานการออกแบบที่สวยงามและเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ากับพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค

 

ก่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทีมงาน Nest ได้ลงพื้นที่เพื่อศึกษาวิธีการใช้งานเทอร์โมสตัทของผู้คนในบ้านจริงๆ พวกเขาพบว่าผู้ใช้หลายคนไม่เข้าใจวิธีการตั้งโปรแกรมเทอร์โมสตัทแบบเดิมๆ ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสิ้นเปลืองพลังงาน นอกจากนี้ผู้ใช้ยังต้องการควบคุมอุณหภูมิได้จากทุกที่และทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน

 

จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ Nest จึงออกแบบเทอร์โมสตัทรุ่นใหม่ที่มีส่วนติดต่อผู้ใช้ที่ใช้งานง่าย สามารถเรียนรู้พฤติกรรมการปรับอุณหภูมิของผู้ใช้และปรับตั้งค่าให้โดยอัตโนมัติ รวมถึงสามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้ เทอร์โมสตัท Nest ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริโภคและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โดนใจตลาด

 

4.2.2 การสร้างสรรค์แนวคิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ

 

เมื่อมีความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างแนวคิดผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ กระบวนการสร้างแนวคิดอาจเริ่มต้นจากการระดมสมองภายในทีม การจัดประกวดไอเดีย หรือการเปิดรับแนวคิดจากแหล่งภายนอก เช่น ลูกค้า พันธมิตร หรือสตาร์ทอัพ

 

วิธีการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในการสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ โดยเน้นการเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้ใช้เป็นจุดตั้งต้น จากนั้นจึงสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็ว ทดสอบ เรียนรู้ และพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง การใช้เทคนิคเชิงสร้างสรรค์อื่นๆ เช่น การคิดแบบเปิดกว้าง (Open Innovation) หรือการผสมผสานแนวคิดข้ามสาขา (Cross-Industry Innovation) ก็สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดมุมมองใหม่ๆ และแนวคิดที่แตกต่างออกไปได้

 

กรณีศึกษา: Lego กับการสร้างแนวคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่าน Open Innovation

 

บริษัทผู้ผลิตของเล่นชื่อดังอย่าง Lego เป็นหนึ่งในองค์กรที่ใช้ประโยชน์จากแนวคิด Open Innovation ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านโครงการ Lego Ideas ซึ่งเปิดโอกาสให้แฟนๆ Lego จากทั่วโลกนำเสนอไอเดียสำหรับเซ็ตใหม่ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

 

ผู้ใช้สามารถส่งแนวคิดและภาพต้นแบบชุด Lego ที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้น ชุมชน Lego Ideas จะโหวตและให้ข้อเสนอแนะ หากแนวคิดใดได้รับการสนับสนุนมากกว่า 10,000 โหวต ทีมงาน Lego จะนำไอเดียนั้นมาพิจารณาและอาจพัฒนาเป็นเซ็ตจริงเพื่อวางจำหน่าย ผู้ที่ไอเดียได้รับคัดเลือกจะได้รับค่าลิขสิทธิ์จากยอดขายและชื่อของพวกเขาจะปรากฏบนบรรจุภัณฑ์

 

ผ่านโครงการ Lego Ideas แบรนด์ Lego ได้เปิดตัวเซ็ตใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์โดยแฟนๆ อย่างเช่นเซ็ต NASA Apollo Saturn V, Ship in a Bottle และ Central Perk จากซีรีส์ Friends ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้ทั่วโลก Lego แสดงให้เห็นว่าการเปิดรับแนวคิดจากภายนอกสามารถนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ สร้างความผูกพันกับลูกค้า และสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาล

 

4.2.3 การทดสอบแนวคิดและการสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็ว

 

การมีแนวคิดที่ดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ประสบความสำเร็จได้ องค์กรต้องทดสอบแนวคิดเหล่านั้นกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อประเมินความเป็นไปได้ ความน่าสนใจ และความสามารถในการตอบสนองความต้องการของพวกเขา การทดสอบแนวคิดอาจทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ การสำรวจความคิดเห็น หรือการนำเสนอต้นแบบเบื้องต้นให้ลูกค้าทดลองใช้

 

แนวคิดการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบขั้นต่ำ (Minimum Viable Product - MVP) เป็นแนวทางที่ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการในเวลาอันรวดเร็วและใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด โดย MVP จะมีเพียงคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นในการนำเสนอคุณค่าหลักและทดสอบสมมติฐานกับลูกค้า การทดสอบ MVP จะช่วยให้ทีมเรียนรู้และปรับปรุงแนวคิดได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะลงทุนทรัพยากรจำนวนมากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เต็มรูปแบบ

 

กรณีศึกษา: Dropbox กับการทดสอบ MVP ผ่านวิดีโอ

 

Dropbox บริการจัดเก็บและแชร์ไฟล์บนคลาวด์ ใช้กลยุทธ์ MVP ที่น่าสนใจในการทดสอบแนวคิดผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในช่วงเริ่มต้น แทนที่จะใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จริง ทีมงาน Dropbox สร้างวิดีโอสาธิตการใช้งานเวอร์ชันต้นแบบ ซึ่งอธิบายคุณสมบัติหลักและประโยชน์ของบริการ จากนั้นพวกเขาเผยแพร่วิดีโอบนหน้าแรกของเว็บไซต์ พร้อมแบบฟอร์มสำหรับลงทะเบียนใช้งานเบต้า

 

ผลลัพธ์ที่ได้คือ จำนวนผู้ลงทะเบียนเพิ่มขึ้นจากหลักพันเป็นหลักหมื่นภายในข้ามคืน ทั้งๆ ที่ Dropbox ยังไม่มีผลิตภัณฑ์จริงให้ใช้งานเลยในตอนนั้น การตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ใช้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต้องการบริการประเภทนี้ในตลาด และเป็นสัญญาณให้ทีมงานมั่นใจที่จะลงทุนเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป Dropbox กลายเป็นหนึ่งในบริการที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกด้วยผู้ใช้งานกว่า 500 ล้านคนในปัจจุบัน

 

4.2.4 การเก็บข้อมูลและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

 

กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปิดตัวสู่ตลาด แต่ต้องอาศัยการเก็บข้อมูลและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ลูกค้าได้ใช้งานผลิตภัณฑ์จริงแล้ว องค์กรต้องติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่สำคัญ เช่น การเข้าถึง การใช้งาน ความพึงพอใจ และความภักดีของลูกค้า รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะ คำติชม และข้อร้องเรียน เพื่อระบุโอกาสในการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

 

การใช้ข้อมูลเชิงลึกจากลูกค้าเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในลักษณะวงจรย้อนกลับ (Feedback Loop) จะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว ปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงและระบบ Machine Learning จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้องค์กรเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งและแม่นยำมากขึ้น

 

กรณีศึกษา: Netflix กับการใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้

 

Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอชั้นนำของโลก เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการใช้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง Netflix เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้อย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติการรับชม การให้คะแนน การค้นหา ไปจนถึงการหยุดหรือกรอวิดีโอ ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการปรับแต่งอัลกอริทึมการแนะนำเนื้อหาให้ตรงกับรสนิยมของผู้ใช้แต่ละราย รวมถึงการตัดสินใจลงทุนสร้างเนื้อหาออริจินัลที่คาดว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ชม

 

ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่ Netflix จะสร้างซีรีส์ House of Cards พวกเขาได้วิเคราะห์ข้อมูลและพบว่าผู้ใช้จำนวนมากชื่นชอบผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ David Fincher นักแสดงนำ Kevin Spacey และบทประพันธ์ดัดแปลงจากซีรีส์ดั้งเดิมของอังกฤษ ข้อมูลนี้ทำให้ Netflix ตัดสินใจลงทุนงบประมาณก้อนโตในการสร้างซีรีส์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเนื้อหาออริจินัลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของพวกเขา

 

4.3 การพัฒนาโมเดลธุรกิจและรายได้แบบใหม่

 

ในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค การยึดติดกับโมเดลธุรกิจและรูปแบบรายได้แบบเดิมอาจไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อีกต่อไป องค์กรที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันจำเป็นต้องมองหาโอกาสในการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ทั้งในแง่ของประสบการณ์ ความสะดวกสบาย หรือประโยชน์ใช้สอยที่แตกต่างไปจากเดิม การพัฒนาโมเดลธุรกิจและรายได้แบบใหม่จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด

 

ในหัวข้อนี้ เราจะสำรวจแนวคิดและกลยุทธ์ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจและรายได้แบบใหม่ พร้อมยกตัวอย่างจากบริษัทชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของตนเพื่อตอบสนองต่อโอกาสใหม่ๆ ในตลาด

 

4.3.1 การวิเคราะห์และทบทวนโมเดลธุรกิจปัจจุบัน

 

ก่อนที่จะเริ่มพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ องค์กรควรทบทวนและวิเคราะห์โมเดลธุรกิจปัจจุบันของตนเองอย่างถี่ถ้วน เพื่อทำความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค รวมถึงระบุองค์ประกอบสำคัญที่สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ ได้แก่ Business Model Canvas ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมขององค์ประกอบสำคัญ 9 ประการ ได้แก่ คุณค่าที่ส่งมอบ กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า ความสัมพันธ์กับลูกค้า กระแสรายได้ ทรัพยากรหลัก กิจกรรมหลัก พันธมิตรหลัก และโครงสร้างต้นทุน

 

การมองเห็นภาพรวมของโมเดลธุรกิจปัจจุบันจะช่วยให้องค์กรสามารถระบุจุดที่ต้องปรับปรุงหรือโอกาสในการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า การขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ การเพิ่มช่องทางรายได้ หรือการลดต้นทุนผ่านการร่วมมือกับพันธมิตร การวิเคราะห์นี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในตลาดหรือเทคโนโลยี

 

กรณีศึกษา: IBM กับการปรับโมเดลธุรกิจสู่บริการและโซลูชัน

 

IBM เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ในอดีต IBM มีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำ แต่เมื่อการแข่งขันในตลาดฮาร์ดแวร์ทวีความรุนแรงขึ้น บวกกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี IBM จึงตัดสินใจปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งเน้นไปที่การบริการไอทีมูลค่าสูงและการพัฒนาซอฟต์แวร์และโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง

 

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นผ่านการควบรวมกิจการและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจบริการ เช่น การซื้อ PricewaterhouseCoopers Consulting ในปี 2002 และการขายธุรกิจผลิต PC ให้กับ Lenovo ในปี 2004 ปัจจุบัน IBM ให้บริการคลาวด์ บิ๊กดาต้า ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ และ AI ซึ่งช่วยองค์กรต่างๆ เปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การปรับโมเดลธุรกิจสู่บริการและโซลูชันช่วยให้ IBM สร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ที่มั่นคงกว่าการพึ่งพาการขายฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว

 

4.3.2 การสร้างคุณค่าใหม่ผ่านนวัตกรรมคุณค่า (Value Innovation)

 

การพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่มักเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์คุณค่าใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากสิ่งที่มีอยู่ในตลาด แนวคิด "นวัตกรรมคุณค่า" (Value Innovation) ซึ่งถูกนำเสนอในหนังสือ Blue Ocean Strategy โดย W. Chan Kim และ Renée Mauborgne เป็นกรอบความคิดที่น่าสนใจในการพัฒนาโมเดลธุรกิจแบบใหม่ การสร้างนวัตกรรมคุณค่าเน้นการมองหาพื้นที่ตลาดใหม่ที่ยังไม่มีการแข่งขันสูง (Blue Ocean) แทนที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดที่มีอยู่ (Red Ocean) โดยการนำเสนอคุณค่าที่แตกต่างและเหนือกว่าในสายตาลูกค้า

 

การสร้างนวัตกรรมคุณค่าเริ่มต้นจากการท้าทายสมมติฐานของอุตสาหกรรมและการมองหาโอกาสในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือกว่า การเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน หรือการมอบความคุ้มค่าที่ดีกว่าในราคาที่เข้าถึงได้ องค์กรอาจใช้เทคนิค Four Actions Framework ในการออกแบบคุณค่าใหม่ ได้แก่ การกำจัดปัจจัยที่อุตสาหกรรมแข่งขันกันแต่ไม่สร้างคุณค่าที่แท้จริง การลดปัจจัยที่องค์กรลงทุนมากเกินความจำเป็น การเพิ่มปัจจัยที่องค์กรควรปรับปรุงเพื่อให้ทัดเทียมอุตสาหกรรม และการสร้างปัจจัยใหม่ๆ ที่อุตสาหกรรมไม่เคยนำเสนอมาก่อน

 

กรณีศึกษา: Airbnb กับการสร้างนวัตกรรมคุณค่าในอุตสาหกรรมที่พัก

 

Airbnb เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ผ่านนวัตกรรมคุณค่า แทนที่จะแข่งขันกับโรงแรมแบบเดิมๆ Airbnb สร้างตลาดใหม่สำหรับที่พักแบบเป็นเจ้าของที่บ้าน ซึ่งนำเสนอประสบการณ์การเข้าพักที่เป็นเอกลักษณ์และราคาที่มักถูกกว่าโรงแรม Airbnb ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเชื่อมโยงเจ้าของบ้านกับนักเดินทางจากทั่วโลก พร้อมสร้างระบบการจองและการชำระเงินที่เชื่อถือได้

 

โมเดลของ Airbnb มีการกำจัดปัจจัยบางอย่างที่โรงแรมแข่งขันกัน เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง การตกแต่งมาตรฐาน และบริการเสริมต่างๆ ในขณะเดียวกัน ก็เพิ่มปัจจัยใหม่ๆ ที่โรงแรมไม่มี เช่น ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน การมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของที่พัก และตัวเลือกที่พักที่หลากหลายตามงบประมาณและรสนิยม ด้วยการนำเสนอคุณค่าที่แตกต่าง Airbnb สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ต้องการประสบการณ์การเข้าพักแบบท้องถิ่นและสร้างตลาดใหม่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

 

4.3.3 การขยายไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือแนวตั้ง

 

การขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักขององค์กร (Adjacent Businesses) หรือธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกันในแนวตั้ง (Vertical Integration) เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาโมเดลธุรกิจและสร้างโอกาสทางรายได้ใหม่ๆ การขยายสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องช่วยให้องค์กรสามารถนำสินทรัพย์ ความสามารถหลัก และความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์และต่อยอดในการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ในขณะที่การรวมธุรกิจในแนวตั้งช่วยให้องค์กรควบคุมคุณภาพ ต้นทุน และประสบการณ์ของลูกค้าได้ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า

 

กรณีศึกษา: Amazon กับการขยายธุรกิจแบบ Adjacent และ Vertical Integration

 

Amazon เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการขยายโมเดลธุรกิจไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องและการรวมธุรกิจในแนวตั้งอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นในฐานะร้านหนังสือออนไลน์ Amazon ได้ขยายไปสู่หมวดหมู่สินค้าอื่นๆ มากมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า ของเล่น และอาหาร โดยใช้ความสามารถหลักในด้านการค้าปลีกออนไลน์ การบริหารสินค้าคงคลัง และการจัดส่งสินค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาดใหม่ๆ

 

นอกจากนี้ Amazon ยังขยายไปสู่ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง เช่น Amazon Web Services (AWS) ซึ่งให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งและโครงสร้างพื้นฐานไอทีแก่ธุรกิจต่างๆ รวมถึงบริการสตรีมมิ่งวิดีโอและเพลงอย่าง Prime Video และ Amazon Music ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริการ Prime และสร้างรายได้ค่าสมาชิกเพิ่มเติม Amazon ยังลงทุนในธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของตนในแนวตั้ง เช่น การซื้อกิจการ Whole Foods Market เพื่อขยายสู่ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตและการจัดส่งของสดภายในวันเดียว รวมถึงการลงทุนในบริษัทขนส่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้า

 

กลยุทธ์การขยายธุรกิจของ Amazon ทั้งในแนวนอนและแนวตั้งช่วยให้บริษัทกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกและเทคโนโลยีระดับโลก พร้อมทั้งสร้างระบบนิเวศที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ซึ่งสร้างคุณค่าและความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในทุกมิติของชีวิต

 

4.3.4 การสร้างแพลตฟอร์มและระบบนิเวศทางธุรกิจ

 

การสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ผลิตเนื้อหาและผู้บริโภค หรือผู้ให้บริการและผู้รับบริการเข้าด้วยกัน กำลังกลายเป็นโมเดลธุรกิจที่สำคัญในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนคุณค่าและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นหลายฝ่าย โดยองค์กรที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวก กำหนดกติกา และสร้างเครื่องมือและบริการสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ระบบนิเวศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างของแพลตฟอร์มที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ Alibaba สำหรับการค้าปลีก YouTube สำหรับวิดีโอ Uber สำหรับการเดินทาง และ Airbnb สำหรับที่พัก

 

การสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งต้องอาศัยเอฟเฟกต์เครือข่าย (Network Effects) ซึ่งยิ่งมีผู้ใช้งานมากเท่าไหร่ คุณค่าของแพลตฟอร์มก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง แพลตฟอร์มจะสามารถขยายตัวแบบทวีคูณได้ด้วยตัวเอง โดยผู้ใช้รายใหม่จะได้รับประโยชน์จากเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีอยู่ ในขณะที่ผู้ใช้เดิมก็ได้รับประโยชน์จากปฏิสัมพันธ์และทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น องค์กรที่สร้างแพลตฟอร์มได้สำเร็จจะสามารถสร้างรายได้จากหลากหลายทาง เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ค่าสมาชิก ค่าโฆษณา และบริการเสริมต่างๆ

 

กรณีศึกษา: Alibaba กับการสร้างระบบนิเวศการค้าออนไลน์ของจีน

 

Alibaba เป็นหนึ่งในบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ที่หลากหลาย ทั้ง Taobao สำหรับการซื้อขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง (C2C) Tmall สำหรับแบรนด์ในการขายสินค้าให้ผู้บริโภค (B2C) และ Alibaba.com สำหรับการค้าส่งระหว่างธุรกิจ (B2B) Alibaba ได้สร้างระบบนิเวศการค้าออนไลน์ที่ครอบคลุม โดยนอกจากตลาดออนไลน์แล้ว ยังมีบริการด้านการชำระเงิน (Alipay) การขนส่งสินค้า (Cainiao) คลาวด์คอมพิวติ้ง (Alibaba Cloud) และอื่นๆ อีกมากมาย

 

จุดแข็งของ Alibaba คือการสร้างเครือข่ายผู้ซื้อและผู้ขายขนาดใหญ่ โดยในปี 2020 มีผู้ใช้งานถึง 779 ล้านคนในจีนและผู้ขายกว่า 10 ล้านรายบนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ Alibaba ยังสร้างเครื่องมือและบริการที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถทำการตลาด บริหารการขาย และจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านแพลตฟอร์ม ทำให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอีคอมเมิร์ซในจีน ณ สิ้นปี 2020 มูลค่าการค้าบนแพลตฟอร์มของ Alibaba สูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการค้าปลีกทั้งหมดในจีน

 

4.4 การขยายตลาดและการเข้าสู่ตลาดใหม่

 

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การขยายตลาดไปยังพื้นที่หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว การขยายตลาดอาจเป็นการขยายในแนวนอน คือการนำผลิตภัณฑ์หรือบริการเดิมเข้าสู่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ใหม่ๆ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ หรือการขยายในแนวตั้ง คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า

 

ในหัวข้อนี้ เราจะสำรวจกลยุทธ์และแนวทางในการขยายตลาดสู่พื้นที่ใหม่ๆ รวมถึงกรณีศึกษาจากองค์กรชั้นนำที่ประสบความสำเร็จในการบุกเบิกตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

 

4.4.1 การวิเคราะห์และคัดเลือกตลาดเป้าหมายใหม่

 

ก่อนที่จะตัดสินใจขยายตลาดไปยังพื้นที่ใหม่ๆ องค์กรต้องทำการวิเคราะห์และประเมินศักยภาพของตลาดเหล่านั้นอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่ามีโอกาสทางธุรกิจที่ดีและสอดคล้องกับจุดแข็งและความสามารถขององค์กร การวิเคราะห์ตลาดอาจครอบคลุมปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดและการเติบโตของตลาด ลักษณะและความต้องการของลูกค้า สภาพการแข่งขัน กฎระเบียบและอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด รวมถึงต้นทุนและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

 

เครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ตลาด ได้แก่ PESTEL Analysis ซึ่งพิจารณาปัจจัยภายนอกทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย และ Porter's Five Forces ซึ่งวิเคราะห์สภาพการแข่งขัน อำนาจต่อรองของผู้ซื้อและผู้ขาย ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทนและผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การทำวิจัยตลาดเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เช่น การสำรวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม จะช่วยให้เข้าใจความต้องการ พฤติกรรม และทัศนคติของลูกค้าในตลาดเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

 

หลังจากวิเคราะห์และเปรียบเทียบตลาดต่างๆ แล้ว องค์กรควรจัดลำดับความน่าสนใจและความเป็นไปได้ในการเข้าสู่ตลาดแต่ละแห่ง โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กร ศักยภาพในการสร้างรายได้และผลกำไร ความได้เปรียบในการแข่งขัน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การคัดเลือกตลาดที่เหมาะสมจะช่วยให้องค์กรสามารถจัดสรรทรัพยากรและความพยายามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

4.4.2 การปรับกลยุทธ์และส่วนประสมทางการตลาดให้เหมาะกับตลาดใหม่

 

เมื่อเลือกตลาดเป้าหมายใหม่ได้แล้ว สิ่งสำคัญคือการปรับกลยุทธ์และส่วนประสมทางการตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการและลักษณะเฉพาะของตลาดนั้นๆ แม้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักขององค์กรอาจเหมือนเดิม แต่วิธีการนำเสนอคุณค่า ตำแหน่งทางการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และโครงสร้างราคาอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทและวัฒนธรรมของท้องถิ่น

 

ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์อาหารที่ขายดีในประเทศหนึ่งอาจต้องปรับสูตรและรสชาติให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภคในอีกประเทศหนึ่ง หรือแคมเปญโฆษณาที่ใช้ได้ผลในตลาดหนึ่งอาจไม่เหมาะสมหรือไม่สามารถสื่อสารได้ในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง การวิจัยตลาดเชิงลึกและการทดสอบกับผู้บริโภคกลุ่มย่อยจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดให้ตรงใจลูกค้าในตลาดใหม่มากที่สุด

 

นอกจากการปรับส่วนประสมทางการตลาดแล้ว การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้เล่นในท้องถิ่นก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้การเข้าสู่ตลาดใหม่เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมากขึ้น ผู้เล่นในท้องถิ่นจะมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดและลูกค้า สามารถให้คำแนะนำและข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ รวมถึงช่วยขจัดอุปสรรคทางวัฒนธรรมและภาษาในการดำเนินธุรกิจ การเลือกพันธมิตรที่ใช่และการบริหารความสัมพันธ์กับพันธมิตรอย่างมีประสิทธิผล จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบและความสำเร็จในการขยายตลาด

 

กรณีศึกษา: Spotify กับการขยายตลาดสตรีมมิ่งเพลงทั่วโลก

 

Spotify ผู้นำตลาดสตรีมมิ่งเพลงของโลก ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดจากสวีเดนไปยังกว่า 180 ประเทศทั่วโลก ด้วยฐานผู้ใช้กว่า 350 ล้านราย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Spotify สามารถเติบโตในตลาดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ การปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับแต่ละตลาด และการสร้างพันธมิตรกับค่ายเพลงและศิลปินในท้องถิ่น

 

ในแง่ของกลยุทธ์ Spotify ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ฟังเพื่อปรับรายการเพลง เพลย์ลิสต์ และคอนเทนต์ให้ตรงกับรสนิยมของผู้ใช้ในแต่ละประเทศ เช่น ในตลาดละตินอเมริกา Spotify มีเพลย์ลิสต์สำหรับดนตรีเร็กเก้ตัน ซัลซา และเรกเก้ตัน ที่ได้รับความนิยมสูงในภูมิภาคนี้ ในขณะที่ตลาดอินเดีย Spotify นำเสนอเพลย์ลิสต์และพอดแคสต์ภาษาฮินดีและภาษาท้องถิ่นอื่น ๆ เพื่อเจาะกลุ่มผู้ฟังที่หลากหลาย

 

นอกจากนี้ Spotify ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับค่ายเพลงท้องถิ่น ศิลปิน และผู้มีอิทธิพลในวงการดนตรีของแต่ละประเทศ เพื่อสร้างเนื้อหาเอกซ์คลูซีฟและดึงดูดผู้ฟังในตลาดนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในญี่ปุ่น Spotify ร่วมมือกับค่าย Avex Group ซึ่งมีศิลปินชั้นนำของเอเชีย เพื่อนำเพลงมาลงในแพลตฟอร์มของตน ส่วนในเม็กซิโก Spotify ทำงานร่วมกับศิลปินเร็กเก้ตันชื่อดังอย่าง J Balvin เพื่อสร้างเพลย์ลิสต์และแคมเปญการตลาดที่เจาะกลุ่มแฟนเพลงละตินโดยเฉพาะ

 

ด้วยการปรับกลยุทธ์และเนื้อหาให้เข้ากับตลาดในแต่ละท้องถิ่น รวมถึงการสานสัมพันธ์กับผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเพลง Spotify จึงสามารถขยายฐานผู้ใช้และส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งเพลงระดับโลกในเวลาไม่ถึง 15 ปี

 

4.4.3 การปรับโครงสร้างและกระบวนการภายในสำหรับการดำเนินงานระหว่างประเทศ

 

การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศมักมาพร้อมกับความท้าทายในการปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการภายใน เพื่อรองรับการดำเนินงานในสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ภาษา กฎระเบียบ และการปฏิบัติทางธุรกิจ องค์กรจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการรักษามาตรฐานและวัฒนธรรมหลักขององค์กร กับการให้อำนาจและความยืดหยุ่นแก่ทีมงานในประเทศต่างๆ เพื่อปรับการดำเนินงานให้เหมาะสมกับบริบทในท้องถิ่น

 

หนึ่งในโครงสร้างที่นิยมใช้สำหรับองค์กรข้ามชาติ คือโครงสร้างแบบเมทริกซ์ (Matrix Structure) ซึ่งผสมผสานการบังคับบัญชาตามหน้าที่และตามภูมิศาสตร์เข้าด้วยกัน ในโครงสร้างนี้ พนักงานจะมีหัวหน้างานสองคน คือหัวหน้างานตามสายงานหน้าที่ซึ่งกำหนดมาตรฐานและกระบวนการทำงานทั่วโลก และหัวหน้างานตามภูมิภาคหรือประเทศซึ่งดูแลการปฏิบัติงานและการปรับตัวให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสองสายการบังคับบัญชานี้จะช่วยให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ การแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดี และการประสานงานเชิงกลยุทธ์ข้ามหน่วยงานและพื้นที่

 

นอกจากโครงสร้างองค์กรแล้ว การปรับกระบวนการภายในให้เหมาะกับการดำเนินงานระหว่างประเทศก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ตั้งแต่กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การจัดหาวัตถุดิบ การผลิตและควบคุมคุณภาพ การขนส่งและกระจายสินค้า ไปจนถึงการบริการหลังการขายและการสนับสนุนลูกค้า องค์กรต้องทบทวนและปรับกระบวนการเหล่านี้ให้คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น มาตรฐานและข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละประเทศ ความแตกต่างด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี รวมถึงความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าในแต่ละตลาด

 

กรณีศึกษา: Unilever กับการปรับโครงสร้างและกระบวนการเพื่อขยายตลาดทั่วโลก

 

Unilever เป็นบริษัทผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคระดับโลกที่มีแบรนด์ในกว่า 190 ประเทศ การขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในต่างประเทศทำให้ Unilever ต้องปรับโครงสร้างและกระบวนการขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทได้นำโครงสร้างแบบเมทริกซ์มาใช้ โดยมีทั้งสายการบังคับบัญชาตามหน่วยธุรกิจ (เช่น Home Care, Beauty & Personal Care และ Foods & Refreshment) และสายงานตามภูมิภาค (เช่น ยุโรป อเมริกา และเอเชีย) เพื่อให้เกิดการประสานงานและการแบ่งปันองค์ความรู้ระหว่างทีมงานทั่วโลก

 

นอกจากนี้ Unilever ยังได้พัฒนาโมเดลการดำเนินงาน "Unilever Sustainable Living Plan" ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยการผสานความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริยธรรม การลดการใช้พลังงานและน้ำในการผลิต ไปจนถึงการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืนและการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น Unilever ได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายและใช้ดัชนีชี้วัดเพื่อติดตามความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ในทุกหน่วยงานทั่วโลก

 

การปรับโครงสร้างและกระบวนการขององค์กรให้สอดคล้องกับบริบทของตลาดระหว่างประเทศ ส่งผลให้ Unilever สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 5.5% ในปี 2010 เป็น 16.1% ในปี 2019 ที่สำคัญกว่านั้น Unilever ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนและการสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

 

4.4.4 การสร้างทีมงานและความสามารถเชิงพหุวัฒนธรรม

 

การขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ ต้องอาศัยการสร้างทีมงานท้องถิ่นที่เข้าใจในวัฒนธรรมและลักษณะเฉพาะของตลาดนั้นๆ เป็นอย่างดี รวมทั้งทีมงานข้ามวัฒนธรรมที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญกับการสรรหา คัดเลือก และพัฒนาบุคลากรที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อนำมุมมองและความเชี่ยวชาญที่หลากหลายมาใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานในแต่ละพื้นที่

 

การพัฒนาความสามารถเชิงพหุวัฒนธรรม (Cross-Cultural Competence) ให้กับผู้นำและพนักงานเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ ความสามารถนี้ครอบคลุมทั้งความตระหนักรู้และความไวต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทักษะการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม ตลอดจนการปรับตัวและความยืดหยุ่นในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย องค์กรควรจัดการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้กับทีมงาน รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและเคารพความแตกต่างหลากหลาย

 

นอกจากนี้ องค์กรอาจใช้กลยุทธ์การหมุนเวียนงานระหว่างประเทศ (International Rotation) เพื่อให้พนักงานได้สั่งสมประสบการณ์และความเข้าใจในตลาดต่างๆ รวมถึงการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ข้ามหน่วยงานและวัฒนธรรม ประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยให้พนักงานพัฒนาทักษะและมุมมองที่จำเป็นในการทำงานข้ามพรมแดน และนำความรู้กลับมาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานในตลาดอื่นๆ ขององค์กร

 

กรณีศึกษา: L'Oréal กับการสร้างทีมงานข้ามวัฒนธรรมทั่วโลก

 

L'Oréal เป็นบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำที่มีแบรนด์และทีมงานกระจายอยู่ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของ L'Oréal คือการสร้างทีมงานท้องถิ่นที่เข้มแข็งและมีความหลากหลาย โดยบริษัทมีนโยบายสรรหาบุคลากรจากท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด และส่งเสริมการเติบโตในสายอาชีพของพนักงานในประเทศนั้นๆ ปัจจุบัน ผู้บริหารระดับสูงของ L'Oréal ในแต่ละประเทศมากกว่า 60% เป็นคนท้องถิ่น ซึ่งมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรม รสนิยม และพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดของตน

 

นอกจากนี้ L'Oréal ยังมีโปรแกรมการหมุนเวียนงานระหว่างประเทศที่เข้มแข็ง ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานที่มีศักยภาพสูงได้ไปทำงานในต่างประเทศเป็นระยะเวลา 2-5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิธีการทำธุรกิจในตลาดอื่นๆ สร้างเครือข่ายทั่วโลก และนำประสบการณ์มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจในประเทศของตน ผู้บริหารระดับสูงของ L'Oréal ส่วนใหญ่ผ่านการหมุนเวียนงานเช่นนี้มาแล้วหลายประเทศ ซึ่งทำให้มีมุมมองที่กว้างไกลและความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง

 

4.5 การเติบโตผ่านการควบรวมกิจการและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

 

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญสำหรับการขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร คือการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions - M&A) รวมถึงการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับองค์กรอื่นๆ การควบรวมกิจการเป็นการรวมตัวกันของสององค์กรเพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ ในขณะที่การเข้าซื้อกิจการเป็นการที่บริษัทหนึ่งเข้าถือหุ้นในอีกบริษัทหนึ่ง ด้วยวัตถุประสงค์ในการควบคุมและบริหารจัดการ ส่วนพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เป็นความร่วมมือระยะยาวระหว่างสององค์กรหรือมากกว่า เพื่อแบ่งปันทรัพยากร ความเสี่ยง และผลประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจหรือโครงการร่วมกัน

 

การควบรวมและเข้าซื้อกิจการสามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการขยายส่วนแบ่งการตลาด การเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ การเพิ่มสายผลิตภัณฑ์ หรือการเสริมความสามารถใหม่ๆ และเทคโนโลยีเข้ามาในองค์กร การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ก็มีประโยชน์ในลักษณะใกล้เคียงกัน โดยช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงตลาด ผลิตภัณฑ์ หรือความเชี่ยวชาญใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างขีดความสามารถเหล่านั้นขึ้นมาเองตั้งแต่ต้น

 

ในหัวข้อนี้ เราจะสำรวจรูปแบบและกระบวนการต่างๆ ในการควบรวมกิจการและสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ รวมถึงกรณีศึกษาจากบริษัทชั้นนำที่ใช้กลยุทธ์เหล่านี้ในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

4.5.1 ประเภทของการควบรวมกิจการและการเข้าซื้อกิจการ

 

การควบรวมและเข้าซื้อกิจการมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและวัตถุประสงค์ในการทำธุรกรรม ประเภทหลักๆ ได้แก่

 

- การควบรวมแนวนอน (Horizontal Merger): เป็นการควบรวมระหว่างบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและเป็นคู่แข่งกันโดยตรง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและอำนาจในการต่อรอง ตัวอย่างเช่น การควบรวมของ Exxon และ Mobil ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ

 

- การควบรวมแนวดิ่ง (Vertical Merger): เป็นการควบรวมระหว่างบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน เช่น ผู้ผลิตกับซัพพลายเออร์วัตถุดิบ หรือผู้ผลิตกับผู้จัดจำหน่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุน ตัวอย่างเช่น การเข้าซื้อ Whole Foods โดย Amazon ในธุรกิจค้าปลีก

 

- การควบรวมแบบรวมธุรกิจ (Conglomerate Merger): เป็นการควบรวมระหว่างบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงและขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น การเข้าซื้อ Time Warner โดย AT&T ซึ่งเป็นการรวมธุรกิจโทรคมนาคมและสื่อเข้าด้วยกัน

 

นอกจากนี้ ธุรกรรม M&A ยังอาจแบ่งตามลักษณะและมูลค่าของธุรกรรม เช่น การซื้อกิจการย่อย (Subsidiary) การซื้อสินทรัพย์บางส่วนขององค์กร (Asset Acquisition) หรือการซื้อหุ้นทั้งหมดหรือบางส่วนของบริษัทเป้าหมาย (Stock Acquisition) การเลือกประเภทและรูปแบบของธุรกรรมจะมีผลต่อกระบวนการทางกฎหมาย ภาษี และการบริหารจัดการหลังการควบรวม

 

4.5.2 กระบวนการในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ

 

การควบรวมและเข้าซื้อกิจการเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความรอบคอบในการวางแผนและดำเนินการ โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

 

1. การกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายในการเติบโต: องค์กรต้องระบุวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการทำ M&A ไม่ว่าจะเป็นการขยายส่วนแบ่งการตลาด การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงกำหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกบริษัทเป้าหมายที่เหมาะสม

 

2. การค้นหาและคัดเลือกบริษัทเป้าหมาย: ทีมงานต้องทำการวิจัยและวิเคราะห์บริษัทต่างๆ ที่ตรงกับเกณฑ์ที่กำหนด ประเมินความเป็นไปได้และผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการควบรวม รวมถึงความเสี่ยงและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น

 

3. การตรวจสอบสถานะและประเมินมูลค่า (Due Diligence): เมื่อเจาะจงบริษัทเป้าหมายแล้ว องค์กรจะต้องดำเนินการตรวจสอบสถานะทางการเงิน กฎหมาย ภาษี และการดำเนินงานของบริษัทนั้นอย่างละเอียด รวมถึงประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสำหรับการเข้าซื้อกิจการ

 

4. การเจรจาต่อรองและปิดดีล: เป็นการเจรจาเงื่อนไขและราคาในการซื้อขาย รวมถึงการจัดทำเอกสารและสัญญาทางกฎหมายต่างๆ ให้เรียบร้อย

 

5. การวางแผนและดำเนินการบูรณาการ (Post-Merger Integration): หลังจากปิดดีลแล้ว สิ่งสำคัญคือการวางแผนและดำเนินการรวมองค์กรทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างราบรื่น ทั้งในแง่ของโครงสร้าง กระบวนการ วัฒนธรรม และทรัพยากรบุคคล เพื่อให้เกิดการสร้างคุณค่าตามที่คาดหวัง การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงและการสื่อสารที่ชัดเจนจะมีบทบาทสำคัญในขั้นตอนนี้

 

การวางแผนและดำเนินการควบรวมกิจการอย่างเป็นระบบและรอบคอบจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ และลดความเสี่ยงจากความล้มเหลวหรือการสูญเสียคุณค่าจากการลงทุน

 

กรณีศึกษา: การเข้าซื้อกิจการ Monsanto โดย Bayer

 

ในปี 2018 Bayer บริษัทเคมีภัณฑ์และเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี ได้เข้าซื้อกิจการ Monsanto บริษัทเทคโนโลยีการเกษตรและเมล็ดพันธุ์จากสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่าถึง 63 พันล้านดอลลาร์ นับเป็นหนึ่งในดีลการควบรวมกิจการที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ การเข้าซื้อ Monsanto เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของ Bayer ในการผนวกรวมธุรกิจเคมีการเกษตรและเมล็ดพันธุ์เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับธุรกิจเวชภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของตน เพื่อสร้างบริษัทด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตครบวงจรระดับโลก

 

กระบวนการเข้าซื้อกิจการนี้ใช้เวลานานถึง 2 ปี เนื่องจากมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนสูง รวมถึงมีประเด็นทางกฎหมายและการแข่งขันที่ต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ Bayer ต้องแบ่งแผนกธุรกิจบางส่วนเพื่อขายให้กับคู่แข่ง เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหน่วยงานต่างๆ ในการอนุญาตให้ทำธุรกรรมได้ นอกจากนี้ Bayer ยังต้องวางแผนอย่างรอบคอบในการบูรณาการสององค์กรขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน โดยคำนึงถึงความแตกต่างด้านโครงสร้าง วัฒนธรรม และความเชี่ยวชาญ รวมถึงการสื่อสารและสร้างความไว้วางใจกับพนักงาน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ

 

4.5.3 ประเภทของพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

 

นอกจากการควบรวมและเข้าซื้อกิจการแล้ว การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งสำหรับองค์กรในการขยายธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยทั่วไป พันธมิตรเชิงกลยุทธ์อาจมีหลายรูปแบบ เช่น

 

- กิจการร่วมค้า (Joint Venture): เป็นการจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือมากกว่า โดยแต่ละฝ่ายจะแบ่งสัดส่วนการลงทุน การบริหาร และผลประโยชน์ตามที่ตกลงกัน กิจการร่วมค้ามักจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินโครงการหรือธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง โดยอาศัยจุดแข็งและทรัพยากรของแต่ละองค์กรมาผนึกกัน

 

- พันธมิตรเพื่อการวิจัยและพัฒนา (R&D Partnership): เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรเพื่อแบ่งปันความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ พันธมิตรลักษณะนี้ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงในการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาสำหรับแต่ละองค์กร รวมถึงเพิ่มโอกาสในการค้นพบนวัตกรรมที่ล้ำหน้า

 

- พันธมิตรเพื่อการผลิต (Manufacturing Alliance): เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรในการผลิตสินค้าร่วมกัน โดยแต่ละฝ่ายอาจแบ่งหน้าที่กันตามความเชี่ยวชาญ เช่น ฝ่ายหนึ่งออกแบบและวิจัยผลิตภัณฑ์ ในขณะที่อีกฝ่ายรับผิดชอบการผลิตจริง การเป็นพันธมิตรด้านการผลิตช่วยให้องค์กรประหยัดต้นทุนและเพิ่มกำลังการผลิตได้ โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

 

- พันธมิตรเพื่อการตลาดและการจัดจำหน่าย (Marketing and Distribution Partnership): เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรในการทำการตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ร่วมกัน พันธมิตรอาจช่วยขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้าของกันและกัน โดยเฉพาะเมื่อต่างฝ่ายมีความแข็งแกร่งในต่างตลาดหรือภูมิภาค

 

การเลือกประเภทและรูปแบบของพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละองค์กรและลักษณะของอุตสาหกรรมนั้นๆ การสร้างพันธมิตรที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการกำหนดเป้าหมายและผลประโยชน์ร่วมกันอย่างชัดเจน การสร้างความไว้วางใจและการสื่อสารที่ดีระหว่างองค์กร รวมถึงการวางแผนและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบตลอดระยะเวลาของความร่วมมือ

 

4.5.4 กรณีศึกษา: พันธมิตรด้านการวิจัยและพัฒนาของ Pfizer และ BioNTech ในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19

 

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือความร่วมมือระหว่าง Pfizer บริษัทยาชั้นนำของสหรัฐฯ และ BioNTech สตาร์ทอัพไบโอเทคจากเยอรมนี ในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2020 โดยทั้งสองบริษัทตกลงร่วมกันวิจัยและพัฒนาวัคซีน mRNA สำหรับป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา

 

BioNTech เป็นผู้นำในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี mRNA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ทันสมัยในการพัฒนาวัคซีนและยา แต่ยังขาดประสบการณ์ในการทดลองในมนุษย์และการผลิตวัคซีนในวงกว้าง ในขณะที่ Pfizer มีความเชี่ยวชาญในการทดลองทางคลินิกระยะสุดท้าย การขึ้นทะเบียนและการผลิตยาในปริมาณมาก การจับมือกันของทั้งสองบริษัทจึงถือเป็นการผนึกกำลังที่เหมาะสม โดยแต่ละฝ่ายได้ใช้จุดแข็งของตนมาช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาวัคซีนให้เร็วขึ้น

 

ภายใต้ข้อตกลงนี้ BioNTech รับผิดชอบการพัฒนาสูตรและการผลิตวัคซีนในช่วงแรก ขณะที่ Pfizer สนับสนุนด้านการวิจัยทางคลินิกและการขยายกำลังการผลิต โดย Pfizer ลงทุนกว่า 185 ล้านดอลลาร์ในการวิจัยและการพัฒนากำลังการผลิตล่วงหน้า แม้ว่าการพัฒนาวัคซีนจะยังมีความไม่แน่นอนสูงในช่วงนั้น ทั้งสองบริษัทก็ตกลงแบ่งต้นทุนและผลกำไรจากการขายวัคซีนในอัตราส่วน 50/50

 

การทุ่มเทความพยายามร่วมกันของทั้งสองบริษัทในการพัฒนาวัคซีนแบบ mRNA รุ่น BNT162b2 ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถผ่านการทดลองทางคลินิกและได้รับการอนุมัติแบบฉุกเฉินจากหน่วยงานต่างๆ ภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี วัคซีน Pfizer-BioNTech กลายเป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติใช้อย่างกว้างขวางในหลายประเทศ และมียอดจองซื้อล่วงหน้ามูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่เกิดจากการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและการแบ่งปันทรัพยากรระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทสตาร์ทอัพ

 

ความสำเร็จของ Pfizer และ BioNTech แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตทางธุรกิจ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ท้าทายและมีความจำเป็นเร่งด่วน การแบ่งปันความเชี่ยวชาญและทรัพยากรช่วยให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้เร็วขึ้น ในขณะที่การกระจายความเสี่ยงและผลประโยชน์จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ทั้งสองฝ่ายทุ่มเทให้กับความสำเร็จของโครงการ

 

4.6 การปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและการจัดจำหน่าย

 

ในบรรดาองค์ประกอบต่างๆ ของการดำเนินธุรกิจ ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และการจัดจำหน่าย (Distribution) มักได้รับความสนใจน้อยกว่าด้านการตลาดหรือการขาย ทั้งๆ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพ ต้นทุน และความสามารถในการส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรที่มีห่วงโซ่อุปทานที่คล่องตัว ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพ จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยังสามารถควบคุมต้นทุนและสร้างผลกำไรได้

 

ในหัวข้อนี้ เราจะกล่าวถึงความสำคัญของการปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและการจัดจำหน่าย รวมถึงกลยุทธ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานได้อย่างชาญฉลาดและคล่องตัวมากขึ้น

 

4.6.1 ความสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ

 

ห่วงโซ่อุปทาน หมายถึง เครือข่ายของกิจกรรมและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของสินค้า บริการ และข้อมูล ตั้งแต่จุดกำเนิดวัตถุดิบไปจนถึงการส่งมอบสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าปลายทาง ห่วงโซ่อุปทานจึงครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การจัดซื้อ การผลิต การบริหารสินค้าคงคลัง การขนส่ง และการกระจายสินค้า การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นของกิจกรรมและผู้เล่นต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถขององค์กรในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและรักษาความพึงพอใจของลูกค้าเอาไว้

 

ห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจในหลายด้าน ได้แก่

 

- การส่งมอบสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสม่ำเสมอและตรงเวลา ซึ่งช่วยสร้างความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า

- การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ผ่านการจัดซื้อที่ชาญฉลาด การผลิตที่มีประสิทธิภาพ การบริหารสินค้าคงคลังที่เหมาะสม และการขนส่งที่คุ้มค่า

- ความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ การขาดแคลนวัตถุดิบ หรือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน

- การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ผ่านความสามารถในการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ หรือการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้เร็วกว่าคู่แข่ง

- การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับซัพพลายเออร์ พันธมิตร และลูกค้า รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

 

4.6.2 การบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์

 

การบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ (Supplier Relationship Management - SRM) เป็นองค์ประกอบสำคัญของการบริหารห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ SRM มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างองค์กรกับซัพพลายเออร์หลัก โดยอาศัยการสื่อสารที่ดี ความไว้วางใจ และความร่วมมือระยะยาว การบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่ดีจะช่วยให้องค์กรสามารถ

 

- สร้างความมั่นใจในการจัดหาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสม่ำเสมอและตรงตามกำหนดเวลา

- ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงซัพพลายเออร์รายใดรายหนึ่งมากเกินไป หรือการขาดแคลนวัตถุดิบในช่วงวิกฤต

- เพิ่มอำนาจการต่อรองและโอกาสในการประหยัดต้นทุนจากการจัดซื้อ

- ส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และนวัตกรรมระหว่างองค์กรและซัพพลายเออร์ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการใหม่ๆ ร่วมกัน

 

กรณีศึกษา: การบริหาร SRM ของ Toyota

 

Toyota ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ขึ้นชื่อในเรื่องการบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่แข็งแกร่ง Toyota มองว่าซัพพลายเออร์เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่สำคัญ และให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวบนพื้นฐานของความไว้วางใจและการเติบโตร่วมกัน แทนที่จะกดดันซัพพลายเออร์เรื่องราคาหรือสั่งซื้อจากผู้ที่เสนอราคาต่ำสุดเพียงอย่างเดียว

 

Toyota จะคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่มีศักยภาพและความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจะทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิดในการออกแบบชิ้นส่วน การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการแก้ปัญหาต่างๆ โดย Toyota จะส่งวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญไปประจำที่โรงงานของซัพพลายเออร์เพื่อให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือทางเทคนิค รวมถึงการฝึกอบรมหลักการของระบบการผลิตแบบโตโยต้า (Toyota Production System - TPS) ให้กับซัพพลายเออร์ด้วย

 

ด้วยแนวทางการบริหาร SRM แบบหุ้นส่วนระยะยาว Toyota สามารถสร้างเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีความสามารถสูง มีความยืดหยุ่น และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของ Toyota ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มคุณภาพของชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทานได้เป็นอย่างดี ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับซัพพลายเออร์ยังช่วยให้ Toyota สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน อย่างเช่นเหตุการณ์สึนามิและแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 ได้เร็วกว่าคู่แข่งหลายราย

 

4.6.3 การบริหารสินค้าคงคลังแบบลีน (Lean Inventory Management)

 

การบริหารสินค้าคงคลังมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพ ต้นทุน และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในห่วงโซ่อุปทาน สินค้าคงคลังที่มากเกินไปหมายถึงต้นทุนในการจัดเก็บที่สูงและความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัย ในขณะที่สินค้าคงคลังที่น้อยเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดแคลนและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันเวลา การบริหารสินค้าคงคลังแบบลีน จึงมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการมีสินค้าคงคลังที่เพียงพอ กับการลดความสูญเปล่าและต้นทุนสินค้าคงคลังให้เหลือน้อยที่สุด

 

หลักการสำคัญของการบริหารสินค้าคงคลังแบบลีน ได้แก่

 

1. ความต้องการที่ลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อน (Customer-Driven Demand): การวางแผนสินค้าคงคลังควรเริ่มจากการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าให้แม่นยำที่สุด และปรับสินค้าคงคลังให้สอดคล้องกับความต้องการนั้น แทนที่จะผลิตสินค้าตามสมมติฐานหรือประมาณการของฝ่ายผลิตเอง

 

2. การดึงสินค้าคงคลัง (Pull Inventory): การเติมสินค้าคงคลังควรทำเมื่อมีความต้องการหรือคำสั่งซื้อจากลูกค้าเท่านั้น ระบบการดึงสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดี (Just-in-Time) จะช่วยให้มีสินค้าคงคลังเท่าที่จำเป็น ลดความสูญเปล่า และเพิ่มกระแสเงินสด

 

3. การไหลอย่างต่อเนื่อง (Continuous Flow): การจัดระบบการผลิตและการไหลของวัสดุให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและราบรื่น จะช่วยลดการสะสมของสินค้าคงคลังระหว่างกระบวนการ (Work-in-Process Inventory) และลดเวลานำในการผลิต

 

4. การกำจัดความสูญเปล่า (Waste Elimination): การระบุและขจัดกิจกรรมที่ไม่เพิ่มคุณค่าในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การรอคอย การขนย้ายที่ไม่จำเป็น หรือขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนสินค้าคงคลังโดยรวม

 

5. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement): การปรับปรุงกระบวนการบริหารสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง ผ่านการวัดผล การวิเคราะห์ และการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ จะช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ

 

การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เช่น ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning - ERP) ระบบการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System - WMS) และเทคโนโลยีอัตโนมัติ เช่น บาร์โค้ดและ RFID ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้การบริหารสินค้าคงคลังแบบลีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น

 

กรณีศึกษา: การประยุกต์ใช้ระบบดึงสินค้าคงคลังแบบทันเวลาของ Dell

 

Dell ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ มีชื่อเสียงในเรื่องของการบริหารสินค้าคงคลังแบบลีนและการผลิตแบบ Build-to-Order ซึ่งช่วยให้ Dell มีสินค้าคงคลังน้อยมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม

 

Dell ใช้ระบบการดึงสินค้าคงคลังแบบทันเวลา โดยจะสั่งซื้อและรับชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ต่อเมื่อมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเท่านั้น ซัพพลายเออร์หลักของ Dell จะได้รับข้อมูลคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ผ่านระบบ Vendor-Managed Inventory (VMI) และจะจัดส่งชิ้นส่วนให้กับโรงงานของ Dell ภายใน 90 นาที ชิ้นส่วนที่ได้จะถูกนำเข้าสู่สายการผลิตทันทีเพื่อประกอบเป็นคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งซื้อของลูกค้าแต่ละราย ทำให้ Dell มีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังน้อยมาก

 

นอกจากนี้ Dell ยังออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีรูปแบบมอดูลาร์ (Modular Design) และใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานที่หาซื้อได้ทั่วไป ซึ่งช่วยลดความจำเป็นในการสำรองชิ้นส่วนเฉพาะทางไว้จำนวนมาก ทั้งยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนคอนฟิกคอมพิวเตอร์ให้ตรงกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า Dell ยังผลักดันให้ซัพพลายเออร์ตั้งฐานการผลิตใกล้กับโรงงานประกอบของ Dell เพื่อลดระยะทางและเวลาในการขนส่ง อีกทั้งลดความจำเป็นในการมีสินค้าคงคลังระหว่างทาง (In-Transit Inventory)

 

ระบบการบริหารสินค้าคงคลังแบบลีนช่วยให้ Dell มีสินค้าคงคลังเฉลี่ยเพียง 3-5 วัน ในขณะที่คู่แข่งอย่าง HP และ IBM อาจมีสินค้าคงคลังนานเป็นสัปดาห์หรือเดือน การหมุนเวียนสินค้าคงคลังที่รวดเร็วช่วยให้ Dell สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดได้อย่างคล่องตัว ทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนในการถือครองสินค้าคงคลังได้มหาศาล ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญของ Dell นั่นเอง

 

4.6.4 การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน

 

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลได้เปิดโอกาสใหม่ๆ ในการเพิ่มความโปร่งใส ความคล่องตัว และประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่ ตั้งแต่ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) ไปจนถึงเทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง Machine Learning และ AI องค์กรชั้นนำต่างนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงการทำงานของห่วงโซ่อุปทานอย่างก้าวกระโดด

 

- ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning - ERP): เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกส่วนงานขององค์กร ทั้งการผลิต การเงิน การจัดซื้อ การขาย และทรัพยากรบุคคล เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ระบบ ERP ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นภาพรวมและรายละเอียดของการดำเนินงานทั้งหมด สามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

 

- ระบบการจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System - WMS): เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยควบคุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคลังสินค้า ตั้งแต่การรับสินค้า การจัดเก็บ การหยิบสินค้า ไปจนถึงการจัดส่ง ระบบ WMS ช่วยลดความผิดพลาด เพิ่มความแม่นยำ และเพิ่มผลิตภาพในการจัดการคลังสินค้า ผ่านเทคโนโลยีอัตโนมัติ เช่น บาร์โค้ด RFID และระบบจัดเก็บและค้นคืนอัตโนมัติ (Automated Storage and Retrieval System - AS/RS)

 

- ระบบการจัดการการขนส่ง (Transportation Management System - TMS): เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยวางแผนและควบคุมการขนส่งสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ TMS จะช่วยเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม จัดเส้นทางและกำหนดเวลาการส่งมอบที่ดีที่สุด รวมถึงติดตามสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ ระบบนี้ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มการใช้ประโยชน์จากพื้นที่บรรทุก และเพิ่มระดับการบริการให้กับลูกค้า

 

- ระบบการมองเห็นห่วงโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์ (Real-Time Supply Chain Visibility): การมีระบบติดตามสถานะสินค้าและการดำเนินงานตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อปัญหาหรือโอกาสได้อย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น ระบบ Control Tower ที่รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากทุกจุดในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ โรงงานผลิต คลังสินค้า ไปจนถึงการขนส่งและการส่งมอบให้ลูกค้า หากเกิดปัญหาขึ้นในจุดใดจุดหนึ่ง ระบบจะแจ้งเตือนและแนะนำทางเลือกในการแก้ไขได้ทันที

 

- เทคโนโลยีการวิเคราะห์ขั้นสูง (Advanced Analytics) และ AI: การใช้ Machine Learning และ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลของห่วงโซ่อุปทาน จะช่วยให้องค์กรสามารถพยากรณ์ความต้องการ วางแผนกำลังการผลิต คาดการณ์ปัญหาและความเสี่ยง รวมถึงหาโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพได้แม่นยำและชาญฉลาดมากขึ้น ระบบอัจฉริยะเหล่านี้ยังสามารถให้คำแนะนำหรือตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างอัตโนมัติ เช่น การปรับเปลี่ยนปริมาณการสั่งซื้อหรือกำลังการผลิตแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวและความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

 

กรณีศึกษา: Procter & Gamble กับการสร้าง Digital Supply Chain

 

Procter & Gamble (P&G) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลก ได้ปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานขององค์กรโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเข้มข้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส และความคล่องตัว โดยเฉพาะในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล

 

P&G ใช้ระบบ ERP มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เพื่อให้ข้อมูลในทุกส่วนงานมีความสอดคล้องและเชื่อถือได้ และนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทยังสร้างระบบ Control Tower ที่ให้ภาพที่ชัดเจนของการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทาน ช่วยให้สามารถกำหนดลำดับความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเวลาปกติหรือเมื่อเกิดการหยุดชะงัก

 

นอกจากนั้น P&G ยังนำเทคโนโลยี Machine Learning และ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการขาย สินค้าคงคลัง และการดำเนินงานของห่วงโซ่อุปทาน เพื่อพยากรณ์ความต้องการและเติมเต็มสินค้าได้แม่นยำขึ้น โดยอาศัยการเรียนรู้จากอดีตและการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ระบบอัจฉริยะช่วยให้ P&G สามารถลดสินค้าคงคลังได้ถึง 10% และเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ได้มากถึง 30-40%

 

P&G ยังนำเทคโนโลยีอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์และระบบจัดเก็บและค้นคืนอัตโนมัติ (AS/RS) มาใช้ในคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ความแม่นยำ และผลิตภาพในการจัดการสินค้าคงคลัง รวมถึงลดความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานอีกด้วย ในอนาคต P&G มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในการสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างคู่ค้ามากขึ้น

 

การลงทุนในเทคโนโลยีและการสร้างห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลช่วยให้ P&G สามารถลดต้นทุน เพิ่มความคล่องตัว และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้บริโภคได้เร็วขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ P&G สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างยั่งยืน แม้ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค

 

จากกรณีศึกษาและแนวคิดต่างๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานจำเป็นต้องอาศัยการผสานองค์ประกอบหลายส่วน ตั้งแต่การบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ การจัดการสินค้าคงคลังแบบลีน การออกแบบโครงข่ายโลจิสติกส์ที่เหมาะสม ไปจนถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มความโปร่งใส ความคล่องตัว และประสิทธิภาพ การบูรณาการองค์ประกอบเหล่านี้เข้ากับกลยุทธ์หลักขององค์กรจะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่า

.

.

.

.

#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

Marketing in the Trenches :An Executive's Guide to Hands-On Marketing Strategy Execution [5/8] การวัดผลและการปรับปรุงประสิทธิภาพทางการตลาด

Next
Next

Marketing in the Trenches :An Executive's Guide to Hands-On Marketing Strategy Execution [3/8] การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ