สรุปหนังสือ The Selfish Gene
#ยีนเห็นแก่ตัว?
.
หนังสือ The Selfish Gene เขียนโดยริชาร์ด ดอว์กินส์เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว เป็นหนึ่งในหนังสือวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ แม้จะผ่านมานานแต่เนื้อหายังทันสมัยอยู่ จนถือเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลที่สุดเล่มหนึ่งในชีววิทยาวิวัฒนาการ มันอธิบายธรรมชาติการคัดเลือกของสิ่งมีชีวิตได้อย่างละเอียดและน่าสนใจ โดยยกตัวอย่างและอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจได้สำหรับคนทั่วไป
ดอว์กินส์เรียกมันว่ายีนเห็นแก่ตัว ทำให้บางคนวิจารณ์ว่าเขากำลังจะบอกว่ามนุษย์เห็นแก่ตัวหรือไง? แต่เขาไม่ได้หมายความอย่างนั้น เขาบอกว่ายีนเห็นแก่ตัวที่จะเอาชนะเพื่อส่งต่อยีนของมันเอง แต่ไม่ได้แปลว่ามนุษย์เราจะเห็นแก่ตัวเสมอไป บางครั้งการช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีของยีนด้วย เช่นการที่พ่อแม่ดูแลลูก หรือการที่เราช่วยเหลือญาติพี่น้อง ก็ถือเป็นการรักษายีนของเราโดยอ้อม
ในหนังสือเล่มนี้ ดอว์กินส์ได้อธิบายที่มาที่ไปของวิวัฒนาการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การกำเนิดอะตอมขึ้นมาครั้งแรก ไปจนถึงความซับซ้อนอย่างมนุษย์ที่มีจิตสำนึกในปัจจุบัน ทำให้เราได้เห็นภาพรวมของการคัดเลือกโดยธรรมชาติอย่างเป็นระบบ และเข้าใจถึงบทบาทของยีนในการขับเคลื่อนสิ่งมีชีวิตให้ปรับตัวและอยู่รอดท่ามกลางแรงกดดันต่างๆ อีกทั้งดอว์กินส์ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า แม้แต่พฤติกรรมของมนุษย์หลายๆ อย่างก็สามารถอธิบายได้ผ่านมุมมองของวิวัฒนาการและยีนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความรักในครอบครัว การเลือกคู่ การแข่งขัน และแม้กระทั่งการเสียสละ
.
----------------
.
#จากอะตอมสู่มนุษย์
ก่อนจะมีสิ่งมีชีวิต จักรวาลเต็มไปด้วยอะตอมง่ายๆอย่างไฮโดรเจน ซึ่งไม่ค่อยเสถียร มันจึงรวมตัวกับอะตอมอื่นกลายเป็นโมเลกุลที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเครื่องปั่นค็อกเทลยักษ์ สิ่งที่เสถียรที่สุดจะอยู่รอดนานที่สุด
ในช่วงยุคแรกๆ ของโลก สภาพแวดล้อมค่อนข้างรุนแรง อุณหภูมิสูง มีแต่ก๊าซและธาตุต่างๆ ปะปนกัน กระบวนการเชื่อมต่อและรวมตัวกันของอะตอมจึงเปรียบเสมือนการเขย่าของเหลวในเครื่องปั่นค็อกเทลยักษ์ ส่วนผสมที่ปั่นออกมาได้จึงมีความหลากหลาย และมีเพียงโมเลกุลที่มีความเสถียรสูงเท่านั้นจึงจะอยู่รอดได้ ในขณะที่โมเลกุลที่ไม่เสถียรจะสลายตัวหายไป เป็นกระบวนการคัดเลือกจากธรรมชาติในระดับเคมี
ในส่วนนี้ตลกสุดๆ สมมติให้อะตอมไฮโดรเจนเป็นหนุ่มโสดที่ไม่อยากอยู่คนเดียว ชอบออกไปหาเพื่อนใหม่ๆ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น จนในที่สุดก็จับคู่เป็นโมเลกุลมีเสถียรภาพมากขึ้นนั่นเอง อะตอมไฮโดรเจนในที่นี้เปรียบเสมือนหนุ่มที่มองหาคู่ ส่วนอะตอมอื่นๆ อาจเป็นเหมือนสาวน้อยสาวใหญ่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป และต้องหาคู่ที่ใช่ เพื่อก่อร่างสร้างโมเลกุลครอบครัวที่แข็งแรงและมั่นคงนั่นเอง แม้จะฟังดูเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นการก่อตัวของสารประกอบต่างๆ ผ่านแรงดึงดูดทางเคมีได้เป็นอย่างดี
.
----------------
.
#ถังหมักสูตรพิเศษ
เมื่อ 3-4 พันล้านปีก่อน โลกเหมือนถังหมักยักษ์ มีโมเลกุลต่างๆปะปนกันในสารละลาย พอมีพลังงานเพิ่มเข้าไป ก็ทำให้เกิดกรดอะมิโนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต
สภาวะของโลกในยุคแรกนั้นแตกต่างจากในปัจจุบันมาก ผิวโลกเต็มไปด้วยภูเขาไฟ ก๊าซที่เป็นพิษ และความร้อนระอุ แต่กลับเป็นสภาพที่เอื้อต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิตอย่างยิ่ง เพราะอุณหภูมิสูงและสารประกอบต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมา เมื่อมารวมตัวกันภายใต้พลังงานอย่างเช่นแสงอาทิตย์ ฟ้าผ่า และความร้อนใต้พิภพ ก็สามารถก่อตัวเป็นโมเลกุลที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำ แอมโมเนีย มีเทน และที่สำคัญที่สุดก็คือ กรดอะมิโน ซึ่งถือเป็นอิฐก้อนแรกในการสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
แล้วเชื่อไหมครับ ว่าโดยบังเอิญ จู่ๆ ก็เกิดโมเลกุลที่สามารถทำสำเนาตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งดอว์กินส์เรียกว่า "ผู้ทำสำเนา" (replicator) นี่เองที่กลายเป็นเส้นทางสู่สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกบนโลกใบนี้ การก่อกำเนิดของผู้ทำสำเนานั้นอาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ในเมื่อระยะเวลาที่ให้โอกาสมีมากมายนับพันล้านปี และมีการรวมตัวของอณูและสารประกอบนับไม่ถ้วน โอกาสที่จะเกิดโมเลกุลที่ลอกเลียนตัวเองได้สักหนึ่งชนิด จึงเป็นไปได้ไม่ยาก อีกทั้งกระบวนการนี้ก็ใช้เวลานานมหาศาล ไม่ได้เกิดขึ้นข้ามคืนแต่อย่างใด
เปรียบเหมือนกับการซื้อลอตเตอรี่ทุกสัปดาห์ติดต่อกันเป็นเวลาพันล้านปี โอกาสที่คุณจะถูกรางวัลใหญ่สักครั้งนึงก็น่าจะสูงมากแล้ว ดังนั้นการเกิดขึ้นของผู้ทำสำเนาในยุคแรกๆ ของโลก จึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นผลของความน่าจะเป็นและระยะเวลาอันยาวนานต่างหาก และนั่นก็ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการทั้งปวง
.
----------------
.
#ผู้ทำสำเนาอัจฉริยะ
แรกๆ ผู้ทำสำเนากินทรัพยากรในถังหมักกันแบบไม่อั้น แต่พอนานเข้าทรัพยากรก็เริ่มขาดแคลน จึงต้องพัฒนากลวิธีแข่งขันกันมากขึ้น ผู้ทำสำเนาที่เก่งกว่าจะมีคุณสมบัติดังนี้
1. อายุยืน (longevity) อยู่ได้นานที่สุด
2. ทำสำเนาได้เร็ว (speed of replication)
3. ทำสำเนาได้แม่นยำ (accuracy) ยิ่งผิดพลาดน้อยยิ่งดี
ยีนผู้ทำสำเนาต้องการอยู่รอดนานที่สุด ขยายพันธุ์ให้มากที่สุด และส่งต่อข้อมูลพันธุกรรมให้ได้แม่นยำที่สุด ซึ่งเป็นกลยุทธ์สากลที่ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในทุกยุคสมัย ยีนที่มีความสามารถเหล่านี้ ย่อมได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดและสืบทอดเผ่าพันธุ์
ความจริงแล้ว ยีนไม่ได้อยากจะวิวัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงเลย มันแค่ต้องการทำสำเนาตัวเองให้เหมือนเดิมที่สุดต่างหาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผิดพลาดหรือกลายพันธุ์เล็กๆ น้อยๆ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการกลายพันธุ์เหล่านั้นเองที่สร้างความหลากหลายของลักษณะ ทำให้ยีนบางชนิดมีคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม จึงถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติให้อยู่รอดและสืบทอดต่อไปในที่สุด นั่นจึงเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมด
.
----------------
.
#ผู้ทำสำเนาชิงไหวชิงพริบ
เมื่อทรัพยากรเริ่มหมด ผู้ทำสำเนาเริ่มใช้วิธีรุนแรงมากขึ้น บางตัวสร้างเกราะป้องกันตัวเอง บางตัวโจมตีทำลายผนังเซลล์ของคู่แข่ง แล้วกินทรัพยากรที่เหลือ นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป
เหมือนเกมจับคู่สู้กันยังไงยังงั้น ใครที่ชิงไหวชิงพริบ มีกลยุทธ์ที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวเองหรือการโจมตีคู่ต่อสู้ ก็จะสามารถครองทรัพยากรอาหารไว้ได้มากกว่า จากนั้นก็ยิ่งเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ดีกว่าคู่แข่ง วนเวียนไปเช่นนี้เรื่อยๆ ในที่สุดสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการและปรับตัวได้ดีที่สุดก็จะค่อยๆ กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่สืบต่อมรดกทางพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น
ส่วนนี้ดูฮามาก จินตนาการภาพการต่อสู้ของผู้ทำสำเนาตัวจิ๋วออกมาได้เลย บางทีมันอาจจะผลิตสารพิษออกมา บางทีก็อาจจะหลบหลีกได้อย่างว่องไว บางทีก็อาจจะพรางตัวกลืนไปกับสภาพแวดล้อม หรือไม่ก็ปล่อยสปอร์เป็นล้านๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการแพร่พันธุ์ ใครๆ ก็อยากชนะเพื่อครองโลกใบนี้ แต่มีเพียงไม่กี่เผ่าพันธุ์เท่านั้นที่วิวัฒนาการและรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
.
----------------
.
#เกิดเป็นเครื่องจักรแห่งการเอาชีวิตรอด
จากนั้น ผู้ทำสำเนาพัฒนาสร้าง "เครื่องจักรเอาตัวรอด" (survival machine) เพื่อป้องกันยีนของมันเอาไว้ จากถุงเซลล์ง่ายๆ ก็ซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสุนัข ช้าง นก ปลาวาฬ หรือแม้กระทั่งมนุษย์อย่างเรา ก็ถือเป็นเครื่องจักรเอาตัวรอดที่วิเศษซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยผู้ทำสำเนาหรือยีน
เดี๋ยวก่อน แล้วเราเนี่ยนะเป็นแค่เครื่องจักรเอาตัวรอดของพวกยีนน่ะหรอ? ไม่น่าเชื่อ แต่พอคิดๆ ดูแล้วมันก็เป็นเรื่องจริง เพราะร่างกายของเราถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องดีเอ็นเอซึ่งเป็นแหล่งเก็บยีนไว้นั่นเอง เราหายใจ กิน ขับถ่าย เคลื่อนไหว ผสมพันธุ์ ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการรักษายีนของเราให้อยู่รอดและสืบทอดต่อไปให้ได้มากที่สุดนั่นเอง จะว่าไปแล้ว เราก็เหมือนหุ่นยนต์ชีวภาพที่ถูกควบคุมด้วยโปรแกรมจากธรรมชาติก็ว่าได้ แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ได้หมายความว่าเราจะถูกบังคับให้ทำตามสัญชาตญาณเสมอไปนะ เรายังมีสติปัญญาที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เพียงแต่กรอบคิดทั้งหลายอาจจะถูกกำหนดจากยีนของเรามาแล้วตั้งแต่แรก
.
----------------
.
#วิวัฒนาการของสมอง
คิดว่าตัวเองตื่นมาตอนเช้า กินข้าว ทำงาน ใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่เกี่ยวกับยีนเลย ? จริงๆแล้วยีนเป็นผู้โปรแกรมสมองเราตั้งแต่แรก เหมือนการเขียนโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์หมากรุกฉลาด ยีนให้กฎพื้นฐาน บอกตำแหน่งเริ่มต้น บอกเป้าหมายปลายทาง สอนวิธีเดินแต่ละตัว
แต่ยีนไม่สามารถบอกเราได้ทุกอย่างว่าควรทำอะไรบ้าง เพราะสถานการณ์ต่างๆมีมากเกินไป เลยต้องปล่อยให้สมองตัดสินใจเองโดยใช้กฎพื้นฐานที่ให้มา เราจึงมีอิสระในการตัดสินใจ แต่ก็ภายใต้กรอบที่ยีนได้วางเอาไว้ นั่นแหละคือความมหัศจรรย์ของจิตใจและสมองมนุษย์ เราสามารถคิดได้อย่างอิสระ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แต่ลึกๆ แล้วเราก็ยังทำงานอยู่บนโครงสร้างที่ถูกกำหนดมาแล้วโดยพันธุกรรม
เอาเป็นว่า เราเหมือนหุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ก้าวหน้าสุดๆ ยีนเป็นคนเขียนโค้ดให้เราตั้งแต่แรก แต่พอเราโตขึ้นมา เราก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาโปรแกรมของตัวเองต่อยอดไปได้ไกลกว่านั้น แต่ถึงอย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายีนนั้นเป็นผู้วางรากฐานบุคลิกนิสัย ความชอบ ความกลัว และแนวโน้มพฤติกรรมต่างๆ ไว้ให้เรามาแต่แรกแล้ว เราแค่สานต่อและปรับแต่งมันเท่านั้น
.
----------------
.
#กลยุทธ์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
นอกจากการเห็นแก่ตัวแล้ว บางครั้งยีนถึงขั้นต้องเสียสละชีวิตเพื่อช่วยเหลือเครือญาติที่มียีนใกล้เคียงกัน ยิ่งใกล้ชิดเท่าไหร่ ยีนก็ยิ่งเหมือนกัน เช่น พี่น้องร่วมพ่อแม่มียีนเหมือนกัน 50% ปู่ย่าตายายมียีนเหมือนเรา 25% ลูกพี่ลูกน้องมี 12.5% จนถึงญาติห่างๆแทบไม่เหมือนกันเลย ดังนั้น ยีนที่เสียสละชีวิตเพื่อช่วยญาติสนิทหลายๆคน กลับกลายเป็นยีนที่ประสบความสำเร็จในการส่งต่อมากที่สุด
มันสมเหตุสมผลนะ สมมติถ้ายีนหนึ่งบอกให้เราเสียสละชีวิตเพื่อช่วยญาติห่างๆ คนเดียว เราก็คงไม่ยอมทำหรอก เพราะการช่วยญาติที่มียีนเหมือนเราแค่ 1/128 มันก็ไม่คุ้มกับการสูญเสียชีวิตของเราไปทั้งร่าง แต่ในทางกลับกัน ถ้ายีนบอกให้เราช่วยชีวิตพี่น้อง 5 คน ลูกพี่ลูกน้อง 10 คน แถมปู่ย่าตายายอีกคน อันนี้แหละค่อยยอมเสียสละบ้าง เพราะมันเท่ากับว่าเราได้ช่วยส่งต่อยีนของเราให้อยู่รอดมากขึ้นมหาศาล
.
----------------
.
#มีเพศไว้ทำไม?
เพื่อสืบพันธุ์ต้องมีตัวผู้ตัวเมียมาผสมกัน ไข่กับอสุจิ แต่กระบวนการสร้างไข่กับอสุจินั้นแตกต่างกันมาก ทำให้เพศหญิงและชายมีกลยุทธ์ที่ต่างกันในการสืบพันธุ์
ผู้หญิงใช้พลังงานในการสร้างไข่สูงกว่ามาก และใช้เวลาตั้งครรภ์นาน 9 เดือน ทำให้มีจำนวนไข่จำกัด ขณะที่ผู้ชายผลิตอสุจิได้เป็นล้านตัวต่อวัน ผู้ชายจึงสามารถผสมพันธุ์ได้มากกว่าผู้หญิง
นี่อาจทำให้ผู้ชายดูเหมือนไร้ค่า เพราะขอแค่ผู้ชายคนเดียวก็ผสมพันธุ์กับผู้หญิงได้หมดเลย แต่หากมีแต่ผู้หญิง มนุษยชาติก็สืบพันธุ์ต่อไม่ได้ จึงต้องมีทั้งสองเพศในอัตราส่วน 50:50 จึงเป็นกลยุทธ์ทางวิวัฒนาการที่สมดุลที่สุด
นึกภาพเกาะที่มีผู้ชายแค่คนเดียวกับผู้หญิง 100 คนสิ หนุ่มคนนั้นจะรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ เขาจะสามารถส่งต่อยีนของตัวเองได้เป็นร้อยๆ ชุดเลยทีเดียว แต่ถ้าในทางกลับกัน เกาะที่มีผู้หญิงคนเดียวกับผู้ชายเป็นร้อย ความหวังที่จะสืบเผ่าพันธุ์ก็จะลดลงอย่างมหาศาลเพราะผู้หญิงไม่สามารถตั้งท้องพร้อมกันได้ทุกคน ดังนั้น ยีนที่ฉลาดจึงรักษาสมดุลระหว่างชายหญิงไว้ที่ 50:50
.
----------------
.
#ผู้เสนอ
.
ด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร ผู้หญิงซึ่งลงทุนในการมีลูกมากกว่าจึงเป็นฝ่ายเลือก ส่วนผู้ชายต้องแข่งขันกันเองเพื่อให้ได้สิทธิ์ผสมพันธุ์ ผู้ชายจึงมักใช้กลยุทธ์ก้าวร้าวหรือแสดงความแข็งแกร่ง
ผู้หญิงก็พัฒนากลยุทธ์ของตัวเองด้วยการทดสอบผู้ชาย ผู้ชายคนไหนยอมอยู่กับเราได้นานก่อนจะได้ผสมพันธุ์ แสดงว่าจะไม่ทิ้งไปหาคนอื่นง่ายๆ จะอยู่ช่วยเลี้ยงลูกไปด้วยกัน นี่เป็นที่มาของการจีบและการเกี้ยวพาราสีที่ต้องใช้เวลานานนั่นเอง
ผู้ชายเลยต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความเป็นคู่ครองที่ดี เช่น หาอาหาร สร้างรัง ปกป้องคู่ เพื่อให้ผู้หญิงมั่นใจว่าเขาจะไม่หนีไปไหน ส่วนผู้หญิงก็จะเลือกคู่ที่แข็งแรงและอุทิศตนมากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกของเธอจะมียีนที่ดี และได้รับการเลี้ยงดูจนโต จะเห็นว่าพฤติกรรมเลือกคู่เป็นเรื่องซับซ้อนเหมือนเล่นหมากรุกกันเลยล่ะ ต่างฝ่ายต่างใช้กลเม็ดเด็ดพรายเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดนั่นคือการสร้างรุ่นลูกที่แข็งแรงที่สุดนั่นเอง
.
----------------
.
#เมื่อพิราบรักสันติเจอเหยี่ยวเลือดเย็น
ดอว์กินส์ยกตัวอย่างการแข่งขันระหว่างเหยี่ยวที่ชอบสู้ กับพิราบที่รักสงบ หากเหยี่ยวเจอพิราบ พิราบจะรู้ว่าเหยี่ยวจะต้องสู้ จึงหนีไปก่อน ทั้งคู่ไม่บาดเจ็บ
แต่หากเหยี่ยวสู้กับเหยี่ยว ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตายหรือบาดเจ็บสาหัส
ส่วนพิราบเจอกัน ก็แค่ขู่ฟ่อๆแล้วแยกย้ายกันไป ไม่มีใครเจ็บ
หากมีแต่พิราบ ก็สงบดี ไม่มีใครต้องบาดเจ็บ แต่พอมีเหยี่ยวแค่ตัวเดียวบุกเข้ามา มันจะสยบพิราบได้หมดเลย เพราะไม่มีใครกล้าสู้
สังคมจึงต้องมีทั้งเหยี่ยวและพิราบในสัดส่วนที่พอดี เพื่อให้เกิดสมดุลตามทฤษฎีกลยุทธ์เสถียรทางวิวัฒนาการ (Evolutionary Stable Strategy)
หากมีเหยี่ยวมากไป พวกมันจะฆ่ากันเองตาย พิราบจะกลายเป็นข้อได้เปรียบ
แต่หากมีพิราบมากไป เหยี่ยวจะเข้ามาครองโลก เพราะไม่มีใครต้านทาน ระบบนิเวศจะเสียสมดุล
เรื่องนี้ขำขำดี ลองนึกภาพหนุ่มๆ ในผับที่ชอบทำเป็นเข้าไปจีบสาวแบบห้าวๆ พอเจอคนที่แกร่งกว่า ดันกลายเป็นพิราบรักสันติไปซะงั้น ก็เหมือนกับเหยี่ยวที่เจอเหยี่ยวด้วยกันนั่นแหละ ต้องรู้จักเก็บปีกเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นหัวหลุดแน่ แต่พอไปเจอพิราบน่ะสิ โหพุ่งเข้าไปเต็มที่ จีบแบบไม่กลัวใครเลย เห็นแล้วชักสงสารพิราบเหมือนกัน
.
----------------
.
#เมื่อสมองจำลองเหตุการณ์
การลองผิดลองถูกมีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าเกิดพลาดขึ้นมา ยีนอาจสูญพันธุ์ไปเลย
ดังนั้น หากมีเครื่องจักรเอาตัวรอดที่สามารถจำลองเหตุการณ์ต่างๆในหัวได้ จะทำให้ประเมินความเสี่ยงได้ดีกว่า ไม่ต้องลองผิดลองถูกให้เสียเวลา
นี่คือที่มาของจิตสำนึกในมนุษย์ ที่ทำให้เราเป็นเครื่องจักรเอาตัวรอดที่ทรงพลังที่สุดบนโลกใบนี้
สมองของเราทำงานเหมือนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถจำลองสถานการณ์ สมมติเหตุการณ์ และประเมินผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เราจึงไม่จำเป็นต้องไปลองเสี่ยงด้วยตัวเองจริงๆ เพราะแค่คิดในหัว เราก็รู้แล้วว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร นี่คือความสามารถพิเศษที่ยีนมอบให้เรา ซึ่งสัตว์อื่นๆ ไม่มี เราจึงครองโลกใบนี้ได้อย่างง่ายดาย
ลองคิดภาพเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ สิครับ สมมติว่ามีกวางน้อยตัวหนึ่งที่กำลังกระหายน้ำมาก มันอยากไปกินน้ำที่ริมหนองแต่ก็กลัวว่าจะมีสิงโตซุ่มอยู่ ถ้ามันไม่ระวังตัวล่ะก็ โดนสิงโตกินเป็นมื้อเช้าแน่ มันคงต้องค่อยๆ ย่องไปที่ริมหนอง กินน้ำแค่อึกสองอึกแล้วก็รีบวิ่งหนีทันที แต่นั่นก็ยังไม่พอแก้กระหาย มันอาจจะต้องเสี่ยงอีกหลายรอบกว่าจะได้น้ำเต็มท้อง แต่ทุกครั้งก็มีความเสี่ยงว่าจะถูกสิงโตกินเอาได้
นี่แหละครับความยากลำบากของสิ่งมีชีวิตที่มีสมองไม่ซับซ้อนพอ มันไม่สามารถจำลองสถานการณ์หรือวางแผนล่วงหน้าได้ มันต้องลองผิดลองถูก เสี่ยงด้วยชีวิตจริงๆ ทุกครั้ง แต่สำหรับคนเรานั้นต่างกันลิบลับ สมองอันทรงพลังของเราช่วยให้เราสามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างรอบคอบก่อนลงมือทำ เราสามารถชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ไม่ต้องไปเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลก แค่คิดในหัวเราก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไร จิตสำนึกนี่แหละที่ทำให้เราเหนือกว่าสัตว์อื่นๆ บนโลกใบนี้ และมันก็คือกลยุทธ์ชั้นเลิศของยีนที่จะช่วยให้เราเอาตัวรอดได้อย่างชาญฉลาดที่สุด
.
----------------
.
#จากยีนสู่วัฒนธรรม
พูดถึงตัวทำสำเนา มันมีอีกแบบที่วิวัฒนาการไวกว่ายีนเสียอีก นั่นคือ "มีม" (memes)
ไม่ใช่มีมในโซเชียลนะ แต่เป็นมีมในความหมายของข้อมูล ความคิด เพลง แฟชั่น หรือวัฒนธรรมต่างๆที่ถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง
เหมือนกับที่ยีนส่งผ่านจากร่างกายหนึ่งไปอีกร่างกายผ่านทางสเปิร์มกับไข่ มีมก็กระโดดจากสมองหนึ่งไปสมองหนึ่งผ่านการเลียนแบบ
มีมนี่ก็คือข้อมูลจำพวกไอเดีย ความเชื่อ แฟชั่น เพลงฮิต หรือศาสนา ที่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน ทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่าเหมือนยีนของข้อมูลนั่นแหละ มันถูกถ่ายทอดและส่งต่อกันเรื่อยๆ ราวกับไวรัส แต่ไวรัสชนิดนี้ไม่ได้แพร่ผ่านร่างกาย แต่แพร่ผ่านความคิดของผู้คนต่างหาก
ถ้ามองในแง่ของดาร์วิน มีมก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเหมือนกัน พวกที่ปรับตัวได้ดีก็จะอยู่รอด ส่วนพวกที่ไม่เข้าท่าก็ค่อยๆ สูญพันธุ์หายไป เพราะสมองคนเราก็มีพื้นที่จำกัดเหมือนกัน เราจดจำมีมได้ไม่มากนัก พวกมีมจึงต้องแย่งชิงความสนใจจากคนเราตลอด บางทีคุณอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความคิดบางอย่างที่ฝังอยู่ในหัวคุณ จริงๆ แล้วก็คือมีมที่เขาจงใจปล่อยออกมาเพื่อล้างสมองคุณให้คิดเหมือนพวกเขา
.
----------------
.
#มีมสุดปัง
มีมที่ประสบความสำเร็จจะมีคุณสมบัติคล้ายๆยีน คือ
1. อายุยืน (longevity) ถ้ามีมไหนอยู่ในความทรงจำได้นาน ก็ยิ่งได้เปรียบ
2. แพร่กระจายเร็ว (speed of replication) ยิ่งติดหูติดปากคนเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งอยู่รอดได้มากขึ้น
3. ทำซ้ำได้แม่นยำ (accuracy) เพลงฮิตที่ร้องตามได้ง่าย มักจะดังกว่าเพลงที่จำทำนองยาก เป็นต้น
คราวนี้ลองนึกภาพการแพร่กระจายของมีมในชีวิตจริงดูครับ ยกตัวอย่างเพลงฮิต เพลงบางเพลงแพร่ไวเหมือนไฟลามทุ่ง คนฟังทีไรก็ติดหู ติดปาก ฮัมมแล้วฮัมอีก บางทีก็ร้องในใจไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พอเวลาผ่านไปสักพัก เพลงนั้นก็กลายเป็นตำนานไปเลย แต่ก็มีเพลงบางเพลงที่ต้องบอกเลยว่า ออกมาแป๊บเดียวก็จางหายไป เหมือนจะฮิตแต่ก็แค่ช่วงสั้นๆ คนฟังไม่กี่รอบก็เบื่อ ร้องตามก็ยาก ถ่ายทอดต่อก็ไม่ได้ สุดท้ายก็ตายไปในที่สุด
หรือถ้าจะยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนอีกอย่างก็คือ ศาสนา ศาสนาหลักของโลก ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ล้วนอยู่คู่โลกมานานนับพันๆ ปี ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปไหน นั่นก็เพราะมันเป็นมีมที่มีอายุยืนยาว แพร่กระจายได้ง่าย และรักษารูปแบบเดิมได้อย่างแม่นยำ จึงยังครองใจผู้คนมากมายในทุกยุคทุกสมัย
เพราะงั้นครับ ต่อไปนี้ลองสังเกตดูนะ มีมแฝงอยู่รอบตัวเราเยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นคำพูดติดปาก ความเชื่อต่างๆ แฟชั่น หรือพฤติกรรมเลียนแบบ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกถ่ายทอดจากคนสู่คนเหมือนยีนทั้งนั้น ผู้ที่เข้าใจหลักการวิวัฒนาการของมีม ย่อมสามารถสร้างมีมของตัวเองให้แพร่กระจายไปทั่วโลกได้ไม่ยากนัก แต่คนที่ไม่รู้ตัว ก็จะกลายเป็นแค่พาหะที่คอยส่งต่อมีมของคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ โดยไร้ซึ่งวิจารญาณ
.
----------------
.
#สรุป The Selfish Gene
หนังสือเล่มนี้อธิบายการวิวัฒนาการจากจุดเริ่มต้นของจักรวาล ที่มีแค่ไฮโดรเจน ค่อยๆซับซ้อนขึ้นเป็นโมเลกุลใหญ่ จนเกิดสารละลายในถังหมักบนโลก
แล้ววันหนึ่ง โดยความบังเอิญ ก็ปรากฏ "ผู้ทำสำเนา" หรือ "ยีน" ที่สามารถลอกเลียนแบบตัวเองได้ มันค่อยๆปรับปรุงประสิทธิภาพ สร้างกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึง "เครื่องจักรเอาตัวรอด" หรือสิ่งมีชีวิตที่เราเห็นทั่วไปในปัจจุบัน
มนุษย์เป็นเครื่องจักรเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะมีสมองจำลองเหตุการณ์ได้ เรียกว่า "จิตสำนึก " แต่ก็ยังทำงานภายใต้กฎเกณฑ์ที่ยีนได้ตั้งค่าเอาไว้
และแล้ว เราก็มาถึงจุดที่มีผู้ทำสำเนาอีกตัวที่วิวัฒนาการเร็วยิ่งกว่ายีนเสียอีก นั่นคือ "มีม" หรือข้อมูล ความคิด วัฒนธรรม ที่ส่งต่อกันระหว่างสมองของผู้คน
ไม่ว่าจะเป็นยีนหรือมีม สิ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการเอาตัวรอด ก็มักจะมีคุณสมบัติคล้ายๆกันเสมอ คืออายุยืน แพร่กระจายเร็ว และทำซ้ำได้แม่นยำ
หนังสือเล่มนี้ทำให้เรามองเห็นภาพรวมของวิวัฒนาการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ผ่านมุมมองของยีนหรือผู้ทำสำเนาที่ต่างแข่งขันและปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและพฤติกรรมมนุษย์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลและจุดประสงค์ของมันเสมอ แม้เราอาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม
.
.
.
.
#SuccessStrategies
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies
.