สรุป Options, Futures, and Other Derivatives – เขียนโดย John C. Hull
📌 ทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงสำคัญ?
ในโลกของการเงิน "อนุพันธ์" (Derivatives) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด
ใช้ป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
ใช้เก็งกำไร (Speculation)
ใช้สร้างกลยุทธ์ทางการเงินที่ซับซ้อน
และถ้าคุณต้องการเข้าใจ "Options, Futures, Swaps, และ Derivatives อื่น ๆ" ในระดับลึก หนังสือของ John C. Hull คือ ตำราหลักของ Wall Street, Hedge Funds, และนักคณิตศาสตร์การเงินทั่วโลก
=====================================
📌 Part 1: อะไรคือ "อนุพันธ์" (Derivatives)?
Derivatives คือ สัญญาทางการเงินที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อื่น (เช่น หุ้น, ดัชนี, อัตราดอกเบี้ย, หรือสินค้าโภคภัณฑ์)
🎯 ตัวอย่างอนุพันธ์ที่สำคัญ
Options – สิทธิ์ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคต
Futures & Forwards – สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ต้องมีการดำเนินการจริง
Swaps – การแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือสกุลเงิน
Exotic Derivatives – อนุพันธ์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น Barrier Options และ Asian Options
🔍 อธิบายเพิ่มเติม:
คำว่า "อนุพันธ์" มาจากแนวคิดที่ว่ามูลค่าของสัญญาเหล่านี้ "derived" (อนุพันธ์) มาจากสินทรัพย์อ้างอิงอื่น ๆ เหมือนกับการที่คำในภาษามีรากศัพท์ อนุพันธ์ทางการเงินก็มี "สินทรัพย์อ้างอิง" (underlying asset) เป็นรากฐาน
อนุพันธ์เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อประมาณ 4,000 ปีที่แล้วในเมโสโปเตเมีย เมื่อพ่อค้าทำสัญญาล่วงหน้าสำหรับการส่งมอบสินค้า ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ตลาดอนุพันธ์ดอกทิวลิปในประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้สัญญาล่วงหน้า แต่การพัฒนาทางคณิตศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะ Black-Scholes Model ได้ปฏิวัติวงการและนำไปสู่การเติบโตอย่างมหาศาลของตลาดอนุพันธ์
=====================================
📌 Part 2: Futures และ Forwards – เครื่องมือที่ขับเคลื่อนตลาดโลก
"อนุพันธ์ประเภทนี้เปรียบเหมือนสัญญารับประกันราคาล่วงหน้า"
🔹 Futures Contracts คืออะไร?
Futures เป็นสัญญามาตรฐานที่ซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยน เช่น CME, NYMEX, และ ICE
ใช้เก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราดอกเบี้ย
มี Margin Requirements และต้องปรับ Mark-to-Market ทุกวัน
🎯 ตัวอย่าง: สมมติว่า
คุณเป็นโรงงานผลิตกาแฟ และต้องการล็อกต้นทุนเมล็ดกาแฟที่ 200 บาท/กก.
คุณซื้อ Futures Contract ที่ล็อกราคานี้ไว้
หากราคากาแฟขึ้นไป 250 บาท/กก. คุณยังจ่ายที่ 200 บาทเท่านั้น
🔹 Forwards ต่างจาก Futures ยังไง?
Forwards เป็น สัญญาแบบเจรจาโดยตรง (OTC – Over-the-Counter)
ไม่มีมาตรฐานตายตัว
ไม่มีการ Mark-to-Market ทุกวัน
📌 Key Takeaway: Futures เหมาะกับนักเก็งกำไร ส่วน Forwards เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่น
🔍 อธิบายเพิ่มเติม:
Futures Contracts มีประวัติศาสตร์ยาวนานโดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่ 19 ที่ Chicago Board of Trade (CBOT) ซึ่งถูกก่อตั้งในปี 1848 เพื่อมาตรฐานการซื้อขายธัญพืชล่วงหน้า ความสำเร็จของตลาดนี้นำไปสู่การพัฒนา Futures ในสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ และต่อมาขยายไปสู่สินทรัพย์ทางการเงิน
กลไกสำคัญของ Futures คือระบบ Margin และ Mark-to-Market ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ:
Initial Margin - เงินประกันเริ่มต้น (มักประมาณ 5-15% ของมูลค่าสัญญา)
Variation Margin - การปรับมูลค่าบัญชีตามราคาตลาดทุกวัน
Maintenance Margin - ระดับขั้นต่ำที่ต้องรักษาไว้ หากต่ำกว่านี้จะเกิด Margin Call
Forwards ในทางกลับกัน มีความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (counterparty risk) สูงกว่า แต่มีความยืดหยุ่นในการออกแบบเงื่อนไขที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะ เช่น ระยะเวลา ปริมาณ และคุณภาพของสินค้าที่ส่งมอบ
=====================================
📌 Part 3: Options – เครื่องมือเปลี่ยนโลกการลงทุน
🔹 Call & Put Options คืออะไร?
Options คือสัญญาที่ให้สิทธิ์ (แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัด) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์
Call Option: สิทธิ์ในการซื้อ (Bullish)
Put Option: สิทธิ์ในการขาย (Bearish)
🎯 ตัวอย่าง:
คุณซื้อตั๋วคอนเสิร์ตในราคา 1,500 บาท
ถ้าตั๋วราคาพุ่งไป 3,000 บาท คุณได้กำไร (เหมือน Call Option)
ถ้าตั๋วราคาตกเหลือ 500 บาท คุณไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์ (ขาดทุนแค่ค่าตั๋ว)
📌 Key Takeaway: Options ช่วยให้คุณ จำกัดขาดทุน แต่มีโอกาสทำกำไรแบบไม่จำกัด
🔍 อธิบายเพิ่มเติม:
Options มีความพิเศษตรงที่เป็นสัญญาที่ไม่สมมาตร (asymmetric contract) ผู้ซื้อ Option มีสิทธิ์แต่ไม่มีหน้าที่ ขณะที่ผู้ขาย (Writer) มีหน้าที่แต่ไม่มีสิทธิ์ ความไม่สมมาตรนี้ทำให้ Options มีโปรไฟล์ความเสี่ยง/ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
Options แบ่งตามรูปแบบการใช้สิทธิ์เป็น 2 ประเภทหลัก:
European Options - ใช้สิทธิ์ได้เฉพาะวันหมดอายุเท่านั้น
American Options - ใช้สิทธิ์ได้ตลอดอายุของสัญญา
นอกจากนี้ ยังมีพารามิเตอร์สำคัญที่เรียกว่า "The Greeks" ซึ่งวัดความอ่อนไหวของราคา Option ต่อปัจจัยต่าง ๆ:
Delta (Δ) - ความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง
Gamma (Γ) - อัตราการเปลี่ยนแปลงของ Delta
Theta (Θ) - ความอ่อนไหวต่อเวลาที่ผ่านไป (time decay)
Vega (ν) - ความอ่อนไหวต่อความผันผวน
Rho (ρ) - ความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย
The Greeks เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ Options และถูกใช้อย่างแพร่หลายโดย Market Makers และ Hedge Funds
=====================================
📌 Part 4: การกำหนดราคา Options – Black-Scholes Model
🔹 สูตรของ Black-Scholes Model
Call Option Price (C) = S₀N(d₁) - Xe⁻ʳᵀN(d₂)
โดยที่
d₁ = [ln(S₀/X) + (r + σ²/2)T]/(σ√T)
d₂ = d₁ - σ√T
📌 ความสำคัญของโมเดลนี้:
ช่วยคำนวณมูลค่าของ Options
ใช้ Risk-Neutral Measure ทำให้การกำหนดราคาแม่นยำขึ้น
เป็นพื้นฐานของ Exotic Derivatives เช่น Barrier Options และ Asian Options
🔍 อธิบายเพิ่มเติม:
Black-Scholes Model คิดค้นโดย Fischer Black, Myron Scholes และ Robert Merton ในปี 1973 เป็นการค้นพบที่ปฏิวัติวงการการเงินจนทำให้ Scholes และ Merton ได้รับรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ในปี 1997 (Black เสียชีวิตไปก่อนจึงไม่ได้รับรางวัลร่วม)
ในสูตรข้างต้น:
S₀ คือราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง
X คือราคาใช้สิทธิ์ (Strike Price)
r คืออัตราดอกเบี้ยปลอดความเสี่ยง
T คือเวลาที่เหลือจนถึงวันหมดอายุ (ในหน่วยปี)
σ คือความผันผวน (Volatility) ของสินทรัพย์อ้างอิง
N(.) คือฟังก์ชันการแจกแจงปกติสะสม (Cumulative Normal Distribution Function)
ความท้าทายหลักในการใช้โมเดลนี้คือการประมาณค่า "Implied Volatility" ซึ่งเป็นค่าความผันผวนที่ตลาดคาดการณ์ในอนาคต มันไม่ใช่ค่าที่สังเกตได้โดยตรงแต่ต้องคำนวณย้อนกลับจากราคา Option ในตลาด
อย่างไรก็ตาม Black-Scholes Model มีข้อจำกัดหลายประการที่นักลงทุนต้องตระหนัก:
สมมติให้ความผันผวนคงที่ (ในความเป็นจริงมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา)
ไม่คำนึงถึงต้นทุนธุรกรรมและภาษี
สมมติให้ราคาสินทรัพย์อ้างอิงเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่อง (ไม่มีการกระโดด)
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการพัฒนาโมเดลขั้นสูงอื่น ๆ เช่น Heston Model และ SABR Model เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้
=====================================
📌 Part 5: Swaps – การแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยและค่าเงิน
"Swaps เป็นเหมือนการแลกเปลี่ยนดอกเบี้ยหรือสกุลเงินระหว่างสองฝ่าย"
🔹 Interest Rate Swaps
บริษัท A และ B อาจแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยกันเพื่อบริหารต้นทุน
A มีเงินกู้แบบ Fixed Rate
B มีเงินกู้แบบ Floating Rate
พวกเขาสามารถ Swap ดอกเบี้ยกันได้ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้อัตราที่ดีกว่า
📌 Swaps สำคัญกับตลาดตราสารหนี้ เพราะช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้
🔍 อธิบายเพิ่มเติม:
Swaps เป็นอนุพันธ์ประเภท Over-the-Counter (OTC) ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดอนุพันธ์ทั้งหมด ตลาด Interest Rate Swaps มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 450 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจาก Interest Rate Swaps แล้ว ยังมี Swaps ประเภทอื่น ๆ ที่สำคัญ:
Currency Swaps - แลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในสกุลเงินที่แตกต่างกัน ช่วยให้บริษัทบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
Credit Default Swaps (CDS) - เป็นประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ผู้ซื้อ CDS จ่ายเบี้ยประกันเพื่อได้รับการชดเชยหากเกิดเหตุการณ์ผิดนัดชำระ
Total Return Swaps - แลกเปลี่ยนผลตอบแทนทั้งหมดของสินทรัพย์กับอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือลอยตัว
Commodity Swaps - แลกเปลี่ยนราคาคงที่กับราคาลอยตัวของสินค้าโภคภัณฑ์
การประเมินมูลค่า Swaps ใช้หลักการของ Discounted Cash Flow โดยหักลบมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่จะได้รับในอนาคตกับมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่ต้องจ่าย
วิกฤตการเงินปี 2008 เผยให้เห็นความเสี่ยงของตลาด Swaps ที่ไม่มีการกำกับดูแลอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะ Credit Default Swaps ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการล่มสลายของ Lehman Brothers และวิกฤต AIG ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการกำกับดูแลตลาด OTC Derivatives ทั่วโลก
=====================================
📌 Part 6: การประยุกต์ใช้อนุพันธ์ในโลกจริง
🎯 1. การป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
บริษัทน้ำมันใช้ Futures เพื่อล็อกราคาน้ำมัน
ธนาคารใช้ Swaps เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
🎯 2. การเก็งกำไร (Speculation)
เทรดเดอร์ใช้ Options เพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาด
🎯 3. การบริหารพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Management)
Hedge Funds ใช้ Exotic Options สร้างกลยุทธ์ลงทุนที่ซับซ้อน
🔍 อธิบายเพิ่มเติม:
แม้ว่าอนุพันธ์มักจะถูกมองว่าซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินได้อย่างมาก ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:
กรณีศึกษา: Southwest Airlines และการ Hedge ราคาน้ำมัน
Southwest Airlines เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการใช้อนุพันธ์เพื่อการป้องกันความเสี่ยง ในช่วงปี 2000-2008 สายการบินนี้ล็อกราคาน้ำมันไว้ล่วงหน้าผ่าน Futures และ Options ในขณะที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก สายการบินคู่แข่งซึ่งไม่ได้ทำ Hedging ประสบปัญหาต้นทุนพุ่งสูง แต่ Southwest สามารถรักษาต้นทุนให้ต่ำกว่าตลาดได้ถึง 25-30% ช่วยให้บริษัทมีกำไรในขณะที่คู่แข่งขาดทุน
กลยุทธ์ Options ยอดนิยม
นักลงทุนมืออาชีพใช้กลยุทธ์ Options หลากหลายรูปแบบ:
Covered Call - ถือครองหุ้นและขาย Call Option เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม
Protective Put - ถือครองหุ้นและซื้อ Put Option เพื่อป้องกันการขาดทุน
Bull Spread - ใช้ Options สองตัวเพื่อทำกำไรจากการที่ราคาหุ้นขึ้น แต่จำกัดทั้งกำไรและขาดทุน
Iron Condor - กลยุทธ์ที่ทำกำไรเมื่อตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ
Exotic Derivatives ในโลกจริง
นอกจากอนุพันธ์พื้นฐาน ยังมีอนุพันธ์แบบซับซ้อน (Exotic) ที่ถูกใช้ในตลาดการเงินเฉพาะทาง:
Weather Derivatives - ใช้ป้องกันความเสี่ยงจากสภาพอากาศ เช่น บริษัทพลังงานป้องกันความเสี่ยงจากอุณหภูมิที่ผิดปกติ
Catastrophe Bonds - พันธบัตรที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ
Longevity Swaps - ใช้โดยกองทุนบำเหญ็จบำนาญเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่ผู้เกษียณมีอายุยืนยาวกว่าที่คาดการณ์
=====================================
📌 สรุป: หนังสือเล่มนี้เปลี่ยนแปลงโลกการเงินอย่างไร?
✅ เป็นตำราแม่บทของ Derivatives และใช้สอนในมหาวิทยาลัยระดับโลก
✅ อธิบายแนวคิดพื้นฐานของ Futures, Options, Swaps และ Exotic Derivatives
✅ ให้แนวทางการใช้อนุพันธ์เพื่อ Hedging, Speculation และ Portfolio Management
.
.
บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies