เมื่อโลกถังแตก: บทเรียนจาก Great Depression

เมื่อโลกถังแตก: บทเรียนจาก Great Depression
.

.
"Great Depression" หรือ "ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่" ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1929 ถึงต้นทศวรรษ 1940 เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกหดตัวอย่างรุนแรง เป็นยุคแห่งการว่างงานครั้งใหญ่ การล้มละลาย และความทุกข์ยากของมนุษยชาติ ผลกระทบแผ่ขยายจากภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในแอฟริกาและเอเชีย ไปจนถึงดินแดนที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปและอเมริกา
.
ก่อนที่เราจะไปดูว่า Great Depression ทำให้โลกพังยับเยินขนาดไหน เรามาดูกันก่อนว่าโลกก่อนหน้านั้นเป็นยังไง ในยุคนั้น สหราชอาณาจักรเป็นมหาอำนาจเดียวของโลก (ใช่ครับ ไม่ใช่สหรัฐฯ ที่ชอบอวดอ้างว่าเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งตลอดกาล) พวกเขาผลักดันนโยบายการค้าเสรีทั่วโลก ซึ่งก็คือให้ประเทศต่างๆ ซื้อขายกันได้อย่างเสรี ไม่มีกำแพงภาษีมากีดกัน เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของทุนนิยมเลยทีเดียว
.
ในระบบนี้ ประเทศยากจนขายพืชผลและวัตถุดิบให้ประเทศที่พัฒนาแล้ว จากนั้นประเทศพัฒนาแล้วก็ใช้โรงงานของตนแปรรูปทรัพยากรเหล่านั้นเป็นสินค้าสำเร็จรูป แล้วก็ขายสินค้าเหล่านั้นทั่วโลก เรียกว่าเป็น "วงจรแห่งความรวย" ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข... (จริงเหรอ?) ถามคนที่ต้องขุดแร่ในเหมืองของประเทศยากจนดูสิครับ ว่าพวกเขามีความสุขแค่ไหน
.
สหรัฐอเมริกาในยุคนั้นถือว่าอยู่สบายที่สุด เพราะเป็นประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมเร็ว มีประชากรเยอะ และไม่โดนสงครามถล่มบ้านเมือง ไม่เหมือนยุโรปที่เพิ่งผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 มาหมาดๆ ทำให้มีโรงงานเพียบ คนงานเต็มไปหมด แถมยังปลอดภัยอีกต่างหาก
.
แล้วคนอเมริกันที่มีงานทำดีๆ เงินเดือนสูงๆ เขาเอาเงินไปทำอะไรกัน? ก็แน่นอนว่าต้องช็อปปิ้งสิครับ! แต่ไม่ใช่แค่ซื้อของนะ พวกเขายังซื้อหุ้นกันอย่างบ้าคลั่งอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้
.
ทำไมคนถึงนิยมซื้อหุ้นขนาดนั้น? ก็เพราะมันให้ผลตอบแทนสองทาง: หนึ่ง บริษัทจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น เหมือนได้เงินฟรีๆ สอง ถ้าบริษัททำกำไรดี ราคาหุ้นก็พุ่ง ขายทีกำไรงามๆ คนเลยพากันกู้เงินจากธนาคารมาซื้อหุ้น หวังว่าจะขายได้กำไร เอาเงินไปใช้หนี้ แล้วยังมีเงินเหลือติดกระเป๋าอีก ฟังดูเหมือนแผนที่สมบูรณ์แบบเลยใช่ไหมล่ะ? แต่รอก่อน... นี่มันฟังดูคุ้นๆ นะ เหมือนกับที่คนสมัยนี้กู้เงินมาเล่นคริปโตเคอร์เรนซีไม่มีผิด!
.

.
-----------------
.
แต่แล้วในเดือนตุลาคม 1929 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตลาดหุ้นดิ่งลงเหวอย่างไม่เป็นท่า มูลค่าหุ้นลดลง 40% ในเวลาแค่เดือนเดียว! ลองคิดดูสิครับ ถ้าคุณลงทุนไป 100,000 บาท ตอนนี้เหลือแค่ 60,000 บาท แถมถ้าคุณกู้เงินมาซื้อหุ้นด้วยล่ะก็... เตรียมกินมาม่าไปอีกนานเลยครับ
.
24 ตุลาคม 1929 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Black Thursday" ตลาดหุ้น Wall Street เต็มไปด้วยนักลงทุนที่วิ่งกรูเข้าไปขายหุ้นเหมือนคนบ้า บางคนถึงกับกระโดดตึกฆ่าตัวตาย (แต่ส่วนใหญ่เป็นแค่ข่าวลือนะ อย่าเชื่อมากเกินไป)
.
ตอนแรกคนก็คิดว่า "โอเค ตลาดหุ้นพัง แต่มันก็แค่ส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจเท่านั้นแหละ" แต่ปัญหาคือ เมื่อคนเสียเงินไปกับหุ้น พวกเขาก็ไม่กล้าใช้จ่ายอีกต่อไป ใครจะกล้าซื้อรถคันใหม่ล่ะ ในเมื่อไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีงานทำอยู่หรือเปล่า?
.
และนี่คือจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ เมื่อคนไม่ซื้อของ ธุรกิจก็ขายสินค้าและบริการไม่ได้ บริษัทต้องลดต้นทุน เลิกจ้างพนักงาน หรือผลิตสินค้าน้อยลง บางบริษัทถึงขั้นล้มละลาย คนตกงานมากขึ้น ทำให้มีเงินใช้จ่ายน้อยลง วนเวียนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น Great Depression ที่ทำให้อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ พุ่งสูงถึงประมาณ 25% เลยทีเดียว
.

.
-------------------
.
Great Depression ไม่ใช่แค่ตัวเลขในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่มันคือความทุกข์ยากของผู้คนนับล้าน ครอบครัวต้องอพยพหางานทำ เด็กๆ ต้องออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยพ่อแม่หาเลี้ยงชีพ อาหารกลายเป็นสิ่งหายาก จนมีคำพูดติดปากว่า "ถ้าคุณมีงานทำและมีอาหารกิน คุณรวยกว่าคนส่วนใหญ่แล้ว"
.
เปรียบเทียบกับปัจจุบัน เราอาจจะบ่นว่าไม่มีเงินซื้อ iPhone รุ่นใหม่ หรือไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ แต่อย่างน้อยเราก็ยังมี Netflix ให้ดูยามว่างงาน
.
ในยุค Great Depression คนต้องคิดค้นวิธีประหยัดสุดโต่ง เช่น ใช้หนังสือพิมพ์เก่าเป็นวอลล์เปเปอร์ (ใครว่า Fake News ไม่มีประโยชน์?) ทำเสื้อผ้าจากกระสอบแป้ง ปลูกผักในกระป๋องนม
.

.
--------------------
.
เมื่อเศรษฐกิจพังยับเยิน รัฐบาลก็ต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นคงโดนโละทิ้งแน่ๆ ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt จึงออกนโยบาย "New Deal" ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยก็คือ "ดีลใหม่ที่หวังว่าจะดีกว่าเดิม"
.
New Deal ประกอบด้วยโครงการมากมาย เช่น สร้างงานให้คนว่างงานผ่านโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ประกันเงินฝากในธนาคาร จัดตั้งระบบประกันสังคม
.
นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังทำอะไรอีกหลายอย่าง เช่น ยกเลิกมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) และพิมพ์เงินเพิ่ม (ฟังดูเหมือนแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่?) ขึ้นภาษีนำเข้า เพื่อให้คนซื้อของอเมริกัน แต่ผลคือประเทศอื่นก็ขึ้นภาษีตอบโต้ ทำให้การค้าระหว่างประเทศแย่ลงไปอีก
.
แน่นอนว่านโยบายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในชั่วข้ามคืน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนมีความหวังว่าพรุ่งนี้อาจจะดีกว่าเมื่อวาน (หรือไม่ก็แย่น้อยกว่า ซึ่งก็ถือว่าดีแล้วในยุคนั้น)
.
แต่ Great Depression ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ นะครับ มันแพร่กระจายไปทั่วโลกเหมือนไวรัสอะไรสักอย่าง มาดูกันว่าภูมิภาคต่างๆ เป็นยังไงบ้าง:
.

.
---------------------
.
ยุโรปหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุโรปก็ยังไม่ทันฟื้นตัวดี ก็โดน Great Depression เข้าให้อีก ธนาคารล่ม รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือ หลายประเทศเริ่มคิดว่าระบอบเผด็จการอาจจะช่วยแก้ปัญหาได้ (spoiler alert: ไม่ช่วย แถมนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อีก)
.
ลาตินอเมริกา พวกเขาพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรและวัตถุดิบเป็นหลัก ราคาสินค้าตกต่ำ ทำให้เกษตรกรและคนงานเดือดร้อนหนัก รัฐบาลหลายประเทศเริ่มหันมาพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศแทน บางประเทศถึงขั้นเผาทำลายผลผลิตส่วนเกินเพื่อพยุงราคา เช่น บราซิลเผากาแฟทิ้งถึง 60 ล้านถุง!
.
แอฟริกา ส่วนใหญ่ยังเป็นอาณานิคม ทำให้ได้รับผลกระทบทางอ้อม ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้ชาวพื้นเมืองยากจนลง หลายคนต้องทิ้งที่ดินไปทำงานในเหมืองหรือไร่ของชาวยุโรปแทน เรียกได้ว่าเป็นการเอา "ความซึมเศร้า" มาใส่ใน Great Depression จริงๆ
.
เอเชีย แต่ละประเทศได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน ญี่ปุ่นฟื้นตัวเร็วที่สุดในโลก เพราะรัฐบาลใช้นโยบายที่ก้าวหน้ามาก (น่าเสียดายที่ต่อมาก็หันไปสู่ลัทธิทหารนิยมและบุกจีน) จีนได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่อื่น เพราะเศรษฐกิจยังไม่เชื่อมโยงกับโลกมากนัก ส่วนอินเดียใช้ระบบเงินรูปีที่ผูกกับเงินปอนด์ ทำให้ส่งออกได้ดีขึ้นเมื่อค่าเงินปอนด์อ่อนลง
.
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พึ่งพาการส่งออกไปอังกฤษเป็นหลัก เศรษฐกิจตกต่ำตามอังกฤษ แต่ฟื้นตัวเร็วเมื่ออังกฤษกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง (เรียกได้ว่าโชคดีที่ยังเป็นลูกรักของแม่อังกฤษอยู่)
.
หลังจากความมืดมิดของ Great Depression โลกก็เริ่มเห็นแสงสว่างอีกครั้ง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่:
.

.
---------------------
.
รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจมากขึ้น (บางคนอาจจะบอกว่ามากเกินไป) ระบบสวัสดิการสังคมเกิดขึ้นในหลายประเทศ (แต่ก็ยังมีคนบ่นว่าไม่พอ) ผู้คนเริ่มประหยัดและระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น จนกระทั่งลูกหลานลืมบทเรียนนี้ไปอีกรอบ
.
ทางการเมือง บางประเทศหันไปสู่ระบอบเผด็จการ นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังสงคราม โลกก็เริ่มเห็นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น เกิดองค์กรอย่าง UN, IMF, World Bank (ซึ่งก็ยังมีคนถกเถียงกันว่าองค์กรเหล่านี้ช่วยหรือซ้ำเติมประเทศยากจนกันแน่)
.
ทางสังคม คนเริ่มเห็นคุณค่าของการศึกษามากขึ้น เพราะคนที่มีความรู้มักจะหางานได้ง่ายกว่า เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคมมากมาย ตั้งแต่สิทธิแรงงานไปจนถึงสิทธิพลเมือง
.
Great Depression อาจจะดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่บทเรียนจากมันยังคงทันสมัยและสำคัญสำหรับเราทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็น Gen Z ที่เพิ่งเริ่มทำงาน Millennial ที่กำลังสร้างครอบครัว หรือ Baby Boomer ที่กำลังวางแผนเกษียณ
.
ประวัติศาสตร์อาจไม่ได้ซ้ำรอยทุกครั้ง แต่มันมักจะส่งเสียงสะท้อนให้เราได้ยิน ถ้าเรารู้จักฟังและเรียนรู้ เราอาจจะไม่ต้องเจอกับ "Great Depression 2.0" ก็ได้
.
แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ ล่ะก็... อย่างน้อยคุณก็มีความรู้พอที่จะเอาตัวรอด และอาจจะกลายเป็นเศรษฐีคนต่อไปในยุควิกฤตก็ได้ ใครจะรู้?
.
ปิดท้ายด้วยคำคมจากนักปราชญ์นิรนาม: "ในวิกฤต ย่อมมีโอกาส... แต่ โอกาสนั้นอาจจะเป็นโอกาสที่จะสูญเสียทุกอย่างก็ได้นะ"
.

.
----------------
.
บทสัมภาษณ์พิเศษ: มุมมองนักคิดระดับตำนานต่อ Great Depression
.

.
ผู้สัมภาษณ์: สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานมาพูดคุยกันถึงเรื่อง Great Depression กันครับ เริ่มที่ท่านแรก ศาสตราจารย์สมุดเหลือง นักกฎหมายผู้สวมชุดไทยไปโอลิมปิกที่ปารีส
.
ศ.สมุดเหลือง: (ยิ้มน้อยๆ อย่างสุภาพ) สวัสดีครับ ผมยินดีที่ได้มาแบ่งปันความคิดเห็นในวันนี้
.
ผู้สัมภาษณ์: ท่านศาสตราจารย์ครับ ท่านมีความเห็นอย่างไรกับ Great Depression และบทเรียนที่เราได้รับ?
.
ศ.สมุดเหลือง: (หยิบสมุดปกเหลืองออกมาเปิด) คือ... อย่างนี้นะครับ เศรษฐกิจมันเหมือนกับการพายเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา บางช่วงน้ำเชี่ยว บางช่วงน้ำนิ่ง Great Depression ก็เหมือนตอนที่เราเจอน้ำวน
.
ผมขอเสนอ "เศรษฐกิจ 6 ประการ" ครับ
1. ให้รัฐบาลควบคุมการผลิตข้าว
2. แจกที่ดินให้ชาวนา
3. จัดตั้งสหกรณ์
4. เก็บภาษีที่ดิน
5. ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการด้านสาธารณูปโภค
6. ให้การศึกษาฟรีแก่ประชาชน
.
ถ้าทำแบบนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และประชาชนจะอยู่ดีกินดีครับ
.
ผู้สัมภาษณ์: แนวคิดที่น่าสนใจมากครับ แต่บางคนอาจมองว่ามันเป็นสังคมนิยมนะครับ?
.
ศ.สมุดเหลือง: (ยิ้มอย่างใจเย็น) ผมไม่สนใจหรอกครับว่าใครจะเรียกมันว่าอะไร ขอให้ประชาชนอยู่ดีกินดีก็พอ ถ้าใครว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ ผมก็จะบอกว่า อย่างน้อยชื่อผมก็อยู่บนถนนแล้วกันครับ
.
ผู้สัมภาษณ์: ขอบคุณครับ ทีนี้เรามาฟังความเห็นจาก ☭ รองศาสตราจารย์ค้อนเคียว กันบ้างนะครับ ท่านมองว่า Great Depression เป็นอย่างไรครับ?
.
☭ รศ.ค้อนเคียว: (ลุกพรวดขึ้นยืน ชูกำปั้น) นี่แหละครับ! หลักฐานชิ้นโบแดงที่พิสูจน์ให้เห็นว่าระบบทุนนิยมมันเน่าเฟะขนาดไหน
.
ผู้สัมภาษณ์: ท่านหมายความว่ายังไงครับ?
.
☭ รศ.ค้อนเคียว: (เดินไปมาอย่างเร่าร้อน) นี่คือจุดที่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพมันถึงจุดแตกหัก! พวกนายทุนขูดรีดแรงงานมาตลอด พอเศรษฐกิจพัง คนงานก็ซวยหนักกว่าใคร!
.
ผู้สัมภาษณ์: แล้วเราควรจะแก้ปัญหายังไงครับ?
.
☭ รศ.ค้อนเคียว: (ตาเป็นประกาย) ชัดเจนมาก เราต้องโค่นล้มระบบทุนนิยม! ให้คนงานลุกฮือขึ้นมายึดปัจจัยการผลิต! สร้างสังคมใหม่ที่ไม่มีชนชั้น ไม่มีเงินตรา ไม่มีรัฐ! ทุกคนทำงานตามความสามารถ และได้รับตามความต้องการ! ปฏิวัติ! ปฏิวัติ! ปฏิวัติ!
.
ผู้สัมภาษณ์: ครับ ขอบคุณสำหรับมุมมองที่เร่าร้อนมากครับ สุดท้ายนี้ เรามาฟังความเห็นจาก ดร.ดัมสมิธ บ้างนะครับ ท่านมีความเห็นอย่างไรกับ Great Depression ครับ?
.
ดร.ดัมสมิธ: (ปรับแว่นตาด้วยท่าทางเคร่งขรึม) ฮึ่ม... ผมขอยืนยันว่า "มือที่มองไม่เห็น" ของตลาดนั้นฉลาดที่สุด Great Depression เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลพยายามยุ่งเกินไป
.
ผู้สัมภาษณ์: แล้วเราควรแก้ปัญหายังไงครับ?
.
ดร.ดัมสมิธ: (ทำหน้านิ่ว) ง่ายมาก ปล่อยให้ตลาดทำงานของมันเอง! ลดภาษี ยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น แล้วทุกอย่างจะกลับมาสมดุล เหมือนกับที่คุณปล่อยแอปเปิ้ลจากต้น มันก็ต้องตกลงมาเองตามแรงโน้มถ่วง ไม่ต้องไปช่วยมัน
.
ผู้สัมภาษณ์: แต่ประชาชนจะเดือดร้อนมากนะครับ?
.
ดร.ดัมสมิธ: (ยักไหล่) ธรรมชาติของตลาดครับ คนที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด คนที่อ่อนแอก็ต้องล้มหายตายจาก นี่แหละคือการคัดเลือกโดยธรรมชาติทางเศรษฐกิจ เราต้องเชื่อมั่นในพลังของตลาดเสรี! แต่หนังสือเล่มท้ายๆของผมก็เขียนบอกวิธีช่วยเหลือสังคมไว้อยู่นะ !
.
ผู้สัมภาษณ์: ครับ ขอบคุณความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทุกท่านมากครับ
.
สรุปแล้ว เราได้เห็นมุมมองที่หลากหลายจากนักคิดระดับตำนานทั้งสามท่าน ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดเศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการของ ศ.สมุดเหลือง การปฏิวัติล้มล้างระบบของ รศ.ค้อนเคียว หรือการปล่อยให้ตลาดเสรีทำงานของ ดร.ดัมสมิธ
.
ถ้าให้ผมสรุป บทเรียนที่สำคัญที่สุดจาก Great Depression ก็คือ... เศรษฐศาสตร์นี่มันยากจริงๆ นะครับ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังถกเถียงกันไม่จบ! แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าลืมมองหาโอกาสในวิกฤต และอย่าทิ้งมนุษยธรรมไปพร้อมกับเศรษฐกิจที่ดิ่งลงครับ!
.
.
.
.
#SuccessStrategies

บทความโดย Pond Apiwat Atichat เจ้าของเพจ SuccessStrategies

.

https://www.facebook.com/SuccessStrategiesOfficial

https://www.facebook.com/pond.atichat

Previous
Previous

ทุกลมหายใจของคุณคือปาฏิหาริย์

Next
Next

ทฤษฎีควอนตัม (ฉบับนิทานอ่านก่อนนอน)